มัทธิว 25

คำอุปมา เรื่องสาวพรหมจารีสิบคน

"1 เมื่อถึงวันนั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตน ออกไปรับเจ้าบ่าว

2 เป็นคนโง่ห้าคน เป็นหญิงมีปัญญาห้าคน

3 ฝ่ายคนโง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่

4 คนที่มีปัญญานั้น ได้เอาน้ำมันใส่กาไปกับตะเกียงของตนด้วย

5 เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป

6 ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า 'เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด'

7 พวกหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน

8 พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า 'ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง ตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว'

9 พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า 'น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า'

10 เมื่อกำลังไปซื้อนั้น เจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้ว ก็ได้ไปกับท่านในการเลี้ยงเนื่องในงานสมรสแล้วประตูก็ปิด

11 ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกห้าคน ก็มาร้องว่า 'ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย'

12 ฝ่ายท่านตอบว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน'

13 เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังรอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น" (มัทธิว 25:1-13)

พระเยซูคริสต์ทรงห่วงใยเราทุกคน จึงได้ทรงเปิดเผยให้แก่พวกเราทราบถึงเหตุการที่จะต้องเกิดขึ้นในมัทธิวบทที่ 24 เพื่อที่เราจะเตรียมตัว เตรียมพร้อม และไม่ตกใจกลัวเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

ในบทนี้ พระองค์ก็ได้ตรัสคำอุปมาถึงเรื่องหญิงพรหมจารย์ 10 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดที่เราจะได้คิดใคร่ครวญ

เราควรจะทำความเข้าใจภาพรวมเสียก่อน ว่าประเด็นสำคัญในการเตือนสติจากคำอุปมาเรื่องนี้คืออะไร เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงทางเมื่อจะตีความพระคัมภีร์ตอนนี้

ข้อสรุปจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็คือ

"เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังรอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น" (มัทธิว 25:13)

เราจะต้องเอาข้อสรุปนี้มาตั้งเป็นประเด็นสำคัญ ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำความเข้าใจในเหตุการณ์นี้ มีประเด็นสำคัญคือ เพื่อเตือนสติเราให้เฝ้าระวัง ให้เราพร้อมตลอด ไม่ว่าเวลาไหนหรือโมงไหน เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงประเด็นในการตีความ

หญิงสิบคนนี้ มีฉลาด 5 คน และโง่ 5 คน คนโง่ มีตะเกียง มีน้ำมันในตะเกียง แต่ไม่มีน้ำมันสำรอง แต่คนฉลาด มีตะเกียงเหมือนกัน มีน้ำมันในตะเกียงเหมือนกัน แต่มีน้ำมันสำรองด้วย

เหตุการณ์ต่อมา คือ เจ้าบ่าวมาช้า พวกเขาพากันง่วงเหงาและหลับไป จนเที่ยงคืน มีเสียงร้องบอกว่าเจ้าบ่าวมาแล้ว ให้ออกมารับท่าน ก็เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะทั้ง 10 คนตื่นหมด และเริ่มสำรวจว่าน้ำมันในตะเกียงของตน คนโง่ก็พบว่าน้ำมันในตะเกียงของตนมีน้อย ไม่เพียงพอ จึงไปขอแบ่งจากผู้หญิงฉลาด 5 คน แต่หญิงฉลาดไม่ให้ บอกให้ไปหาซื้อเอง

ขณะที่หญิงโง่เหล่านั้นไปหาซื้อ เจ้าบ่าวมาถึง และหญิงโง่ 5 คนนั้นเมื่อกลับมาก็พบว่าประตูก็ได้ปิดเสียแล้ว จึงเคาะประตูเรียก และเจ้าบ่าวก็ปฏิเสธว่า "เราไม่รู้จักท่าน"

เรื่องนี้ได้สอนเราถึงการเฝ้าระวังที่จะรอคอยโมงนั้น เวลานั้น สอนว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง

หญิงพรหมจารีย์ คือ หญิงที่บริสุทธิ์ ซึ่งเล็งถึงผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ผู้ที่เป็นคริสเตียน เพราะว่าหญิงเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าแผ่นดินสวรรค์ และคริสเตียนก็จะได้รับการเลือกให้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ ดังนั้น คำอุปมานี้ เกี่ยวข้องกับคริสเตียนโดยเฉพาะ ไม่ได้พูดถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ

คริสเตียนทุกคนรู้ว่า จะต้องมีชีวิตที่สำแดงออก

"15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น

16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:15-16)

หญิงทั้งสิบคน ทั้งฉลาดและโง่ ก็มีตะเกียงทั้งสิ้น เมื่อมีตะเกียง ก็จำเป็นต้องมีน้ำมัน จึงจะจุดติด และหญิงเหล่านี้ก็มีน้ำมันทุกคน พร้อมที่จะจุดไฟ และเขาทั้งสิบคนก็จุดไฟอยู่แล้ว ซึ่งก็แปลว่า หญิงเหล่านี้มิได้เล็งถึงคริสเตียนที่เป็นแต่ชื่อ แต่เป็นคริสเตียนจริง ๆ เป็นคริสเตียนที่มีแสงสว่าง และเป็นคริสเตียนที่กำลังส่องสว่างอยู่ ซึ่งต่างจากคำอุปมาในบทที่ 24 ที่มิได้เจาะจงว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่

"40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง

41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง" (มัทธิว 24:40-41)

ดังนั้น จึงไม่ควรตีความว่า น้ำมันเปรียบเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่า พระองค์คงจะไม่สามารถซื้อขายได้ เราคงจะไม่ต้องกลัวว่าจะไม่พอถ้าแบ่งให้ผู้อื่น และไม่ต้องกลัวว่าจะหมด

ในพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ ถ้าหากมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์จะทรงอธิบายให้เราเข้าใจด้วย

"37 ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล ซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืน และประกาศว่า "ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเรา และดื่ม

38 ผู้ที่วางใจในเราตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า 'แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิต จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น' "

39 สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เพราะพระเยซูยังมิได้ประสบเกียรติกิจ" (ยอห์น 7:37-39)

แต่ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ได้ตีความหมายให้เราเข้าใจ เราก็จะต้องระมัดระวังอย่างมากที่จะตีความหมาย

ประเด็นสำคัญของพระคัมภีร์ในตอนนี้ คือ ให้เราเป็นคนที่ดีรอบคอบ เฝ้าระวัง ที่จะไม่ให้น้ำมันหมด เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เตรียมให้พร้อมที่สุดแม้ว่าพระเจ้าจะเสด็จมาช้า เพื่อที่เราจะไม่ต้องประสบกับปัญหาเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมา เพื่อที่เราจะไม่พลาด ถูกขับไล่เมื่อเจ้าบ่าวเสด็จมา

"เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:48)

หญิงโง่ 5 คนนี้ แท้จริงแล้วเราจะเห็นได้ว่า เขาพลาดเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ความผิดพลาดของเขาเหล่านั้น ทำให้เขาเหล่านั้นพลาดที่จะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า และเจ้าบ่าวก็บอกว่า "ไม่รู้จัก"

เมื่อเวลานั้น เจ้าบ่าวจะไม่ไว้หน้าผู้ใดเลย แม้ว่าหญิงโง่เหล่านั้นจะได้รับการเลือกและแต่งตั้งแล้ว แต่เจ้าบ่าวก็ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่รู้จักพวกเขา

"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเรา และวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว" (ยอห์น 5:24)

เราจะต้องใคร่ครวญว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับเหตุการณ์นี้ ว่าหญิงโง่ห้าคนนั้นมีข้อบกพร่องในสิ่งใด เพื่อที่เราจะได้ใคร่ครวญตัวเอง และจะไม่เป็นแบบเขา

เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ ทั้ง 10 คนก็หลับหมดเลย ทั้งคนฉลาดและโง่ต่างก็หลับเช่นกัน คำว่าหลับในตอนนี้มีความหมายว่าอะไร ? จะเป็นการหลับเดียวกันกับที่กล่าวใน 1เธสะโลนิกา 5 หรือไม่ ?

"5 ท่านเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน หรือของความมืด

6 เหตุฉะนั้น เราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวัง และไม่เมามาย

7 เพราะว่า คนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน" (1เธสะโลนิกา 5:5-7)

ถ้าเราโยงว่าสองสิ่งเหมือนกัน ก็จะดูว่าขัดแย้งกัน แต่ให้เราสังเกตว่า ใน 1 เธสะโลนิกา ได้เน้นถึงกลางวันและกลางคน ความสว่างหรือความมืด ดังนั้น การหลับใน 1เธสะโลนิกา แตกต่างจากการหลับของหญิงพรหมจารย์ 10 คน เพราะการหลับใน 1เธสะโลนิกานี้ เป็นการหลับ กลับไปสู่ชีวิตในความมืด แต่สำหรับหญิงพรหมจารีย์นี้ มิได้เป็นการหลับเช่นนั้น เพราะทั้ง 10 คนก็ยังคงมีตะเกียง มีน้ำมัน และไฟก็ยังติดอยู่ เมื่อเขาหลับอยู่ พวกเขามิได้กลับไปสู่ความมืด และก็ยังมีผู้ที่สามารถที่จะเข้าร่วมพิธีสมรสได้ด้วย การหลับของหญิงเหล่านี้เป็นการหลับฝ่ายร่างกายจริง ๆ ไม่มีผลต่อความสว่างที่เขามีอยู่

หญิงโง่ห้าคน เมื่อขอแบ่งน้ำมัน หญิงฉลาดมิได้ให้ แสดงให้เห็นว่า ในเวลานั้น การเฝ้าระวัง ไม่สามารถที่จะฝากฝังกับใคร ไม่สามารถเอื้อให้ใครได้ แต่ละคนจะต้องเฝ้าระวังเอง ต้องรอบคอบเอง แม้ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มคริสเตียนที่ร้อนรน แต่เมื่อถึงเวลานั้น พระเจ้าจะทรงพิจารณาอย่างยุติธรรม เป็นเรื่องส่วนตัวของเราว่าเราจะรอบคอบเพื่อพระเจ้าหรือไม่

เมื่อหญิงโง่รู้ตัวแล้ว พวกเขาก็ไปหาซื้อน้ำมัน เพื่อที่จะเติมในตะเกียง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ฉะนั้น การเฝ้าระวังจะประมาทไม่ได้ พระเยซูคริสต์จึงทรงสรุปว่า ให้เราเฝ้าระวังตลอดเวลา ถ้าเราไม่เฝ้าระวังเช่นนี้ เราจะถูกปฏิเสธ

จากคำอุปมาตอนนี้ ทำให้เราเข้าใจถึงบุคลิกของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงดีพร้อม ทรงจริงจัง ทรงเข้มงวด ทรงใส่พระทัย ทรงพิถีพิถันในการคัดสรรคนของพระองค์ และจะไม่ทรงอะลุ้มอล่วย

เมื่อเราทราบถึงพระลักษณะของพระองค์เช่นนี้ ก็ขอที่เราจะใคร่ครวญพิจารณาชีวิตเรา ว่าชีวิตของเราเหมาะสมที่จะเข้าในแผ่นดินของพระองค์หรือไม่ ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา ที่เราจะได้เห็นว่า เราจะต้องเตรียมพร้อมเตรียมตัวมากขนาดไหน ที่เราจะเข้าใจว่ามาตรฐานของพระองค์เป็นเช่นไร และที่เราจะทำตัวเราให้ถึงมาตรฐานของพระองค์ แล้วเราก็จะปลอดภัย

อย่ามองว่า สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่ายาก แต่ให้เรามองว่า สิ่งที่เราจะได้นั้น มีคุณค่าเพียงไร แผ่นดินสวรรค์มีเพียงที่เดียว คือ แผ่นดินของพระเจ้า ถ้าเราพลาดจากที่แห่งนี้ เราก็จะลงนรกทันที พระเจ้าจึงทรงบอกกับเราว่า ให้เราต่อสู้ ไขว่คว้าให้ได้

ตะเกียงจะต้องเป็นความสว่างอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากมิได้เป็นเช่นนี้ เวลาที่ตะเกียงไม่ได้เป็นความสว่าง ถ้าหากว่าพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมาเมื่อนั้น เราก็จะไม่มีข้ออ้างได้เลย แสงสว่างจะต้องส่องตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันนั้น เวลานั้น โมงนั้น

ถ้าหากว่าน้ำมันของเราไม่พอ ให้เรารีบไปหามาให้พอ อย่าให้ตะเกียงดับ และถ้าหากตะเกียงเราดับอยู่ ให้เราเติมน้ำมัน รีบจุดไฟ ส่องสว่าง ก่อนที่จะสายเกินไป

คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์

"14 และยังเปรียบเหมือน ชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไป จึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้

15 คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วท่านก็ไป

16 คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขายทันที ได้กำไรเท่าตัว

17 คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรเท่าตัวเหมือนกัน

18 แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้

19 ครั้นอยู่มาช้านานนายจึงมาคิดบัญชีกับทาสเหล่านั้น

20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์'

21 นายจึงตอบว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'

22 คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์'

23 นายจึงตอบว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'

24 ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงด้วยว่า 'นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย

25 ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด นี่แหละเงินของท่าน'

26 นายจึงตอบว่า 'อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้หรือว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย

27 เหตุฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย

28 เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์

29 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา

30 เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน' " (มัทธิว 25:14-30)

ผู้จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ จะต้องมีอุปสรรคเช่นเดียวกับที่ทั้งสามคนได้เผชิญ และเราก็ได้พบว่า มีเพียงแค่ 2 คนที่จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ อีกคนหนึ่งจะเข้าไม่ได้

สิ่งที่นายมอบให้ คือ "เงินตะลันต์" ซึ่งท่านได้ให้ "ตามความสามารถของแต่ละคน" ซึ่งปริมาณที่นายให้แก่ทาส จะมากหรือน้อยขึ้นกับความสามารถที่บุคคลที่ได้รับ ถ้ามีความสามารถมาก เขาก็ให้มาก แต่ถ้ามีความสามารถน้อย เขาก็ให้น้อย

เช่นเดียวกัน พระเจ้าจะทรงประทานตะลันต์ให้แก่เรา ตามความสามารถที่เรามี ถ้าหากเรามีความสามารถมาก เราก็จะได้รับตะลันต์มาก แต่ถ้ามีน้อย ก็จะได้รับน้อย เพื่อที่เราแต่ละคนจะได้รับภาระที่เหมาะกับตนเอง

อยากให้เราทำความเข้าใจ และแยกสิ่งที่ได้มาจากพระเจ้า ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า "ของประทาน" ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • ของประทานที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน (ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับในพระคัมภีร์ตอนนี้) ซึ่งโดยส่วนตัว มักจะใช้คำว่า "ตะลันต์" เพื่อที่จะไม่สับสน

  • ของประทานฝ่ายพระวิญญาณ ซึ่งไม่ได้ขึ้นกับความสามารถที่เรามีอยู่ (1โครินธ์ 12) ซึ่งขึ้นกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้ประทานให้ เป็นของประทานพิเศษ

"4 ของประทานนั้นมีต่างๆกัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน

5 งานรับใช้มีต่างๆกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน

6 กิจกรรมมีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆในทุกคน

7 การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

8 พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน

9 และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน

10 และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้

11 สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์" (1โครินธ์ 12:4-11)

เราต้องแยกแยะให้ถูกต้อง เพื่อที่เราจะสามารถอธิษฐานได้อย่างถูกต้อง เราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่นำมาปนกัน

เมื่อพระเจ้าตะลันต์ให้แก่เรา พระองค์ประทานความสามารถในด้านต่าง ๆ ประทานทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ให้แก่เรา เราจะต้องทำความเข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงประทานให้แก่เราเพื่ออะไร?

ตามคำอุปมานี้ พบว่า ในที่สุดแล้ว นายจะกลับมาเพื่อคิดบัญชี และคนที่ได้ 5 ตะลันต์และ 2 ตะลันต์นั้น เขาได้เพิ่มเติม ทำการค้าขาย จนได้เพิ่มอีกเท่าตัว และก็นำมามอบให้แก่นายของเขา

เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงประทานตะลันต์ให้แก่เรา เพื่อที่จะให้เรานำไปใช้ให้เกิดผล และในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมานั้น พระองค์จะทรงคิดบัญชีกับเราทุกคน เราจะต้องนำสิ่งนี้มอบถวายแด่พระองค์ นำส่วนที่กำไรนั้นมอบถวายแด่พระองค์

เราใช้ความสามารถเหล่านั้นเพื่อตัวเราเอง หรือให้แก่สิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าหรือไม่? เราจะต้องใคร่ครวญให้ดี เพื่อที่เราจะไม่พลาดไปเหมือนกับคนที่ได้ 1 ตะลันต์ เพราะเขาไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้าเลย เขาไม่ได้ทำให้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้นั้นเพิ่มพูนขึ้นเลย ความสามารถที่เขามีเขาไม่ได้นำมาใช้เพื่อพระเจ้า และให้สังเกตว่า การฝังดินนั้น เขานำเงินไปฝัง แต่ไม่ได้นำความสามารถไปฝัง และเขาก็คงใช้ความสามารถของเขาเพื่อสิ่งอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้ตะลันต์ที่เขาได้รับนั้นเพิ่มขึ้นเลย

ให้สังเกตว่า คนที่ได้รับ 5 ตะลันต์ และ 2 ตะลันต์นั้น เมื่อได้รับแล้ว เขาก็เอาเงินนั้นไปทำการค้าขาว "ทันที" เขารีบทำเมื่อได้รับตะลันต์ ทำเพื่อนายของเขา จนเกิดผลเท่าตัว และนำทั้งหมดมอบคืนให้กับนายของเขา

เช่นกัน เมื่อเราได้รับตะลันต์ของเรานั้น เราควรที่จะมีท่าทีที่ถูกต้อง ก็คือ สัตย์ซื่อ และเร่งใช้ความสามารถของเราทันที เพื่อให้ตะลันต์นั้นเพิ่มพูนขึ้นมา แล้วเราก็จะได้รับพระพรเช่นเดียวกับทาสผู้สัตย์ซื่อสองคนนั้น

พระเจ้าของเราทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม การที่เราจะทำเต็มความสามารถของเราเพื่อพระเจ้านั้น จึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยแน่นอน ไม่ว่าเราจะมีความสามารถมากหรือน้อย เพียงแค่สัตย์ซื่อเท่านั้น พระเจ้าก็ทรงพอพระทัยเช่นกัน

คนที่ได้ 1 ตะลันต์นั้น เป็นคนเดียวที่แสดงตนให้เห็นว่าเขารู้จักนายดี เขาคิดว่าเขารู้จักนายดีและอ้างตัวขึ้นมา เขาอ้างว่า นายของเขาเป็นคนใจแข็ง ที่เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ตนไม่ได้หว่าน

ให้เราระวังให้ดี เพราะเราเห็นได้ว่าข้อแก้ตัวของทาสที่ได้ 1 ตะลันต์นั้น กลับเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาหาเขาเอง และในที่สุด เขาก็ได้ข้อหา 2 ข้อหา คือ "อ้ายข้าชั่วช้า" และ "เกียจคร้าน"

สิ่งที่พระเจ้าใส่ในชีวิตของเราทุกคน จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะมาทวงถามจากพวกเรา เพราะผู้ที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ ก็คือ ผู้ที่จะกระทำตามพระทัย

"มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้" (มัทธิว 7:21)

ดังนั้นเราจะเกียจคร้านไม่ได้ เพราะถ้าเรารู้พระทัยพระเจ้าแล้วไม่เชื่อฟัง เราก็เป็นคนชั่วช้าและเกียจคร้านในสายพระเนตรของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะมิทรงพอพระทัยในตัวเรา

จากคำอุปมานี้ จะพบว่า ถ้าหากไม่นำไปลงทุน เขาก็ยังสามารถนำเงินไปฝากธนาคาร การนำเงินไปฝากธนาคารมีความหมายเช่นไร?

เมื่อเรานำเงินไปฝากธนาคาร เราก็ได้รับผลจากดอกเบี้ย และดอกเบี้ยที่เราได้รับ เกิดจากธุรกิจของธนาคาร

เช่นกัน พระเจ้าทรงเปิดช่องทางให้แก่เรา แม้ว่าเราจะไม่ได้รับใช้พระเจ้าโดยตรง อาจจะเพราะความกลัว หรือเพราะความคิดอะไรก็ตาม แต่เรายังสามารถเข้าไปร่วมอยู่ในส่วนของผู้ที่รับใช้พระเจ้าโดยตรงก็ได้ เพื่อเราจะได้รับดอกเบี้ย เป็นผลกำไรที่พระเจ้าทรงรับได้

การถวายทรัพย์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อเรานำเงินมาถวายให้แก่ผู้รับใช้ คริสตจักร หรือองค์กรคริสเตียน เราก็มีส่วนในการรับใช้นั้น เป็นเหมือนการฝากธนาคาร เพื่อที่เราจะได้ผลที่จะถวายแด่พระเจ้า เป็นผลกำไรที่ผู้รับใช้พระเจ้ากระทำให้เกิดผล

แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด เพราะเพียงแค่นี้ ชีวิตเราก็จะไม่สามารถเกิดผลได้มาก แต่หากเรารับใช้ด้วยความสามารถของเราเต็มที่ เราก็จะเกิดผลได้มาก และผู้ที่เกิดผลมาก พระเจ้าก็จะยิ่งเพิ่มเติมให้มากด้วย อย่าให้เราพอใจแค่จะฝากธนาคารเท่านั้น แต่ให้เราปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุด ให้เราฝึกฝนที่จะรับใช้ ไม่ละเลยที่จะเรียนรู้การประกาศ ไม่เลี่ยงอ้างว่าทำไม่ได้และฝากธนาคารอย่างเดียว แม้จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าเปิดทางให้ แต่พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นเพียงแค่นั้น สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เราเกิดผลมาก ไม่ใช่เพียง 30 เท่า หรือ 60 เท่าเท่านั้น แต่เป็น 100 เท่า

"เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" (ยอห์น 15:5)

ขอที่เราอย่าเป็นเหมือนคนที่ได้ 1 ตะลันต์นั้น เพราะคนเช่นนี้ไม่เคยนำตะลันต์ที่ได้รับมาใช้ให้เกิดประโยชน์แด่แผ่นดินของพระเจ้าเลย และก็ไม่นำเงินไปฝากธนาคารเพื่อให้เกิดผลเลย ซึ่งคนเช่นนี้ พระเจ้าคงจะไม่อนุญาตให้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้เลย คนเช่นนี้จะไม่มีสิทธิ์ในแผ่นดินของพระองค์ จะถูกขับไล่ออกให้อยู่ภายนอก ให้ไปอยู่ในที่ที่จะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และพระองค์จะนำสิ่งที่เขามีไปให้แก่ผู้ที่มีเหลือเฟือ ตัวของเขาเองจะไม่มีอะไรเหลือเลย พระองค์ทรงทราบว่า แม้ว่าเขามี ก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย

คำอุปมาต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อเราจะได้เตรียมชีวิตของเราให้มีคุณสมบัติพร้อมสำหรับแผ่นดินของพระเจ้า

เราจำเป็นต้องใคร่ครวญว่า ความสามารถที่เรามีอยู่แล้ว เรานำมาทุ่มเทให้กับพระเจ้าแล้วหรือยัง? เราได้กระทำ "ทันที" ดังเช่นกับคนที่ได้ 5 ตะลันต์ และ 2 ตะลันต์หรือไม่? เราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?

เราไม่จำเป็นจะต้องรอให้มีฐานะมั่นคง หรือไว้เกษียณก่อนแล้วจึงจะรับใช้ แต่ให้เราสะสมสิ่งเหล่านี้ ให้เรารับใช้ทันที และเมื่อพระองค์เสด็จมาเพื่อคิดบัญชี เราจะมีสิ่งที่จะมอบถวายแด่พระองค์

ถ้าหากว่า เราไม่คิดที่จะใช้ความสามารถของเรา ใช้ตะลันต์ที่พระองค์ทรงประทานแก่เราอย่างสัตย์ซื่อ ไม่ปรารถนาที่จะรับใช้พระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องคิดจะขอของประทานฝ่ายพระวิญญาณเลย เพราะของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้น มีเพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ แต่ถ้าหากเราใช้ตะลันต์อย่างสัตย์ซื่อแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นให้แก่เราอย่างแน่นอน เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จากความสามารถของเรา แต่พระเจ้าจะเพิ่มเติมในสิ่งที่เรามีแล้ว ให้มีมากขึ้นอีก เพราะของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้น พระเจ้าทรงประทานให้ทุกคนที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า และพระองค์จะทรงประทานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

"จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)

ขอที่เราจะมุ่งใช้ความสามารถของเรา ใช้ตะลันต์ที่เราได้รับเต็มที่ แล้วเมื่อนั้น ของประทานฝ่ายวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงประทานให้แก่เราอย่างอัตโนมัติ

สำหรับคนคนหนึ่ง พระเจ้าทรงประทานของประทานให้แบบพิเศษ เป็นสิ่งมีค่าอย่างมาก พระเจ้าจะประทานแก่เขาเพื่อที่เขาจะใช้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ และถ้าเขาสัตย์ซื่อกับพระเจ้าเต็มที่ พระเจ้าก็จะประทานให้แก่เขาตลอดชั่วชีวิตของเขา พระเจ้าทรงทราบชีวิตของเขา พระองค์ทรงทราบว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ทรงประทานอย่างพร่ำเพรื่อแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่า พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ และทรงรอบคอบอย่างมาก

การพิพากษาประชาชาติทั้งหลาย

"31 เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์

32 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ

33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย

34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก

35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้

36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา'

37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร

38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร

39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'

40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย'

41 พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น

42 เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม

43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา'

44 เขาทั้งหลายจะทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'

45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย'

46 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์'' (มัทธิว 25:31-46)


พระเยซูคริสต์ทรงขยายความเพิ่มเติมจากคำอุปมาต่าง ๆ ในมัทธิวบทที่ 13 โดยทรงให้เราทราบถึงเงื่อนไขของพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะต้องเพิ่มเติมเข้าในชีวิตของเรา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้พระเจ้าต้องการที่จะให้เกิดในชีวิตของเรา พระองค์จึงทรงบอกว่า แกะซึ่งอยู่ทางด้านขวานั้น ได้ทำสิ่งใดบ้าง และแพะที่อยู่ด้านซ้าย ไม่ได้ทำสิ่งใด

สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับที่พระองค์ทรงสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน เราจะต้องไม่ลืมในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่มัวแต่มุ่งรับใช้แล้วไม่ใส่ใจพี่น้องเลย

"34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 13:34-35)

จะสังเกตว่า ใน 1โครินธ์ 12 อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึงของประทาน ท่านได้คั่นด้วย 1โครินธ์ 13 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรักโดยตรง ก่อนที่จะเข้าสู่ 1โครินธ์ 14 ซึ่งกล่าวว่า

"จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)

ถ้าเรามีของประทาน แต่เราขาดความรัก ก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เราก็จะกลายเป็นแพะ เพราะไม่มีความรักแก่พี่น้อง

"7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า

8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก" (1ยอห์น 4:7-8)

"1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง

2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย

3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่" (1โครินธ์ 13:1-3)

พระเจ้าของเรา ถ้าหากเรายิ่งศึกษา เราจะยิ่งรู้ว่าทรงเข้มงวดอย่างมาก เราจะละเลยสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไม่ได้เลย ขอที่เราจะระมัดระวังในการดำเนินชีวิต เพื่อที่เราจะไม่พลาดที่จะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า

"กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในพระศาสนา และสอนให้เขาเข้าใจว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมาก จึงจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า" (กิจการ 14:22)

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com