มัทธิว 22

คำอุปมา เรื่องการเลี้ยงเนื่องในพิธีอภิเษกมเหสี

"1 พระเยซูตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาอีกว่า

2 'แผ่นดินสวรรค์ อุปมาเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ได้จัดการเลี้ยงเนื่องในพิธีอภิเษกมเหสีให้ราชโอรสของท่าน

3 แล้วใช้ข้าราชการไปตามผู้ที่รับเชิญในการนี้ แต่เขาไม่ใคร่จะมา

4 ท่านยังใช้ข้าราชการอื่นไปอีก รับสั่งให้บอกผู้รับเชิญนั้นว่า 'ดูเถิด เราได้จัดการเลี้ยงไว้แล้ว ทั้งวัวและสัตว์ขุนแล้วของเราก็ฆ่าไว้เสร็จ สิ่งสารพัดก็เตรียมไว้พร้อม จงมาในการอภิเษกนี้เถิด'

5 แต่เขาก็เพิกเฉย และไปเสีย บางคนไปไร่นาของตน บางคนก็ไปทำการค้าขาย

6 ฝ่ายพวกนอกนั้น ก็จับข้าราชการทำการอัปยศต่างๆ แล้วฆ่าเสีย

7 กษัตริย์องค์นั้นก็ทรงพระพิโรธ จึงรับสั่งให้ยกกองทหารไปปราบปรามฆาตกรเหล่านั้น และให้เผาเมืองเขาเสีย

8 แล้วท่านจึงรับสั่งแก่ข้าราชการว่า 'งานสมรสก็พร้อมอยู่ แต่ผู้ถูกเชิญนั้นไม่สมกับงาน

9 เหตุฉะนั้น จงออกไปตามทางหลวงพบใครๆ ก็ให้เชิญมาในงานนี้'

10 พวกข้าราชการจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามถนน แล้วแต่จะพบให้มาทั้งดีและชั่ว จนห้องโถงงานสมรสนั้นเต็มด้วยแขก

11 แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงาน

12 จึงรับสั่งถามว่า 'สหายเอ๋ย เหตุไฉนจึงมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานแต่งงาน' ผู้นั้นก็นิ่งอั้นอยู่พูดไม่ออก

13 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกข้าราชการว่า 'จงมัดมือมัดเท้าคนนี้ เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก อันเป็นที่ที่มีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

14 ด้วยผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ทรงเลือกก็น้อย' " (มัทธิว 22:1-14)

จากเรื่องราวในคำอุปมาตอนนี้ จะเห็นได้ว่า กษัตริย์ได้ส่งคนไปเชิญแขกซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าจะทราบว่าคนเหล่านั้นไม่ยินดีมาร่วมงาน ท่านก็ยังตั้งใจที่จะจัดเตรียมงานไว้อย่างดี จากคำอุปมาเรื่องนี้ จึงสอนให้เราเห็นถึงพระทัยของพระเจ้า พระองค์ประสงค์ให้คนทั้งหลายมาร่วมงานเลี้ยงฉลองกับพระองค์

ในงานเลี้ยงท่ี่กษัตริย์จัดขึ้น ท่านมีความหวังใจที่จะให้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงาน แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ท่านยังคาดหวัง อยากจะให้ผู้ที่มาร่วมงานนั้นเหมาะสมกับงานนั้นด้วย เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงมีพระทัยอยากจะเห็นคนมากมายถูกเชิญ และมาร่วมในงานนี้ เพราะอาณาจักรแห่งแผ่นดินสวรรค์เป็นดินแดนที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนที่รักพระองค์ เป็นแผ่นดินที่ดีเลิศประเสริฐ เป็นแผ่นดินที่มีค่า สำหรับทุก ๆ คนจะเข้ามามีความสุขร่วมกันในอาณาจักรแห่งนี้ แต่สิ่งที่พระองค์ไม่ปรารถนา คือ บุคคลที่่ไม่เหมาะสมกับแผ่นดินสวรรค์นี้

บุคคลประเภทไหนที่จะเรียกว่า เป็นผู้ที่ถูกเชิญ แต่ไม่เหมาะสมกับงาน ?

  1. บุคคลที่ "เพิกเฉย" พวกเขาเหล่านี้ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้ที่จัดเตรียมงานเลี้ยงนี้

  2. บุคคลที่ "ไม่ใส่ใจ" พวกเขาใส่ใจในไร่นา พวกเขาเห็นว่าทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่สำคัญกว่า อีกพวกหนึ่งก็สนใจในการค้าขาย มองว่าธุรกิจการงานสำคัญกว่า การไปงานเลี้ยงไม่สำคัญเท่ากับทรัพย์สินที่พวกเขาจะได้จากการไปทำการค้าขาย

  3. พวกที่เลวร้ายที่สุด คือ ผู้ที่ตั้งตัวเป็น "ศัตรู" ผู้ที่นอกจากจะไม่ไปร่วม แต่ก็ได้ทำการอัปยศแก่ข้าราชการ ผู้ที่กษัตริย์ใช้ให้มาเชิญไปงานเลี้ยง

แผ่นดินของพระเจ้า พระเจ้าทรงจัดเตรียม โดยการที่พระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์เจ้า พระบุตรของพระองค์ มาสิ้นพระชนม์ ไถ่บาปแทนมนุษย์ เพื่อที่ผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์

เวลานี้ พวกเรา ถูกนับว่าเป็นผู้ถูกเชิญแล้ว เพราะเรารู้จักกับผู้ที่เชิญ เราจึงเป็นผู้ที่ถูกเชิญ เมื่อเราได้มารู้จักกับพระเจ้า

ให้เราสำรวจชีวิตฝ่ายวิญญาณให้ดี เรารู้จักกับพระเจ้าแล้ว และพระเจ้าก็เชิญชวนให้เราเข้าในแผ่นดินสวรรค์ บัตรเชิญนี้ได้ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า และเราก็รู้แล้วว่างานเลี้ยงจะมีขึ้น ท่าทีของเราจึงควรที่จะใคร่ครวญ ว่าชีวิตเรา เหมาะสมที่จะเข้าในแผ่นดินที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้แก่เราแล้วหรือยัง ? เรายังเห็นว่าธุรกิจการงานของเราสำคัญกว่าแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่ ? เราเพิกเฉยต่อการที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์นี้หรือไม่ ?

ดังนั้น เงื่อนไขที่พระเจ้าทรงพอพระทัย คือ ไม่เพิกเฉย แต่มีใจที่ปรารถนาที่จะร่วมงานเลี้ยงฉลองตามคำเชิญของพระองค์ ตระหนักเสมอว่า งานเลี้ยงนี้ เป็นงานเลี้ยงที่จัดเตรียมโดยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่พลั้งเผลอที่จะเห็นสิ่งใดสำคัญกว่า และจะไม่ห่วงไร่นา ห่วงธุรกิจค้าขายจนปฏิเสธไม่ยอมที่จะร่วมงานเลี้ยงฉลองนี้

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 11:28)

ขอที่เราจะคิดถึงแผ่นดินสวรรค์ทุกครั้งก่อนนอน และตื่นขึ้นมาก็จะยังคิดถึงอยู่ เพื่อที่เราจะแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด ๆ เพื่อที่เราจะไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดมากไปกว่าแผ่นดินสวรรค์ เพื่อที่เราจะไม่รักสิ่งที่เรามีไปมากกว่าแผ่นดินสวรรค์

หลาย ๆ คนได้รับบัตรเชิญแต่งงาน บางทีก็ลืม และมาเห็นบัตรเชิญอีกทีก็เลยเสียแล้ว แต่ถ้าหากผู้ที่ได้รับบัตรเชิญใส่ใจ และตระหนักว่าผู้ที่เชิญตั้งใจที่จะเชิญเรา มีใจจดจ่อ เราก็จะไม่ลืม เราก็จะจดจำ ไม่เพิกเฉย นี่คือภาพที่อยากจะให้เรานำไปใช้สำหรับงานเลี้ยงที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ คือแผ่นดินสวรรค์ แล้วเราก็จะไม่พลาดที่จะร่วมงานเลี้ยงนั้น

พวกอิสราเอล เป็นพวกที่รู้จักพระเจ้าอยู่แล้ว ได้รับเชิญเป็นกลุ่มแรก ข่าวประเสริฐเองพระเจ้าก็ทรงให้แก่พวกยิวก่อน แต่พวกยิวกลับเฉยเมย ไม่ใส่ใจ และบางคนก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า จึงเป็นเหตุที่ชาวต่างชาติได้รับเชิญด้วย นี่คือโอกาส และเป็นแผนงานของพระเจ้า ที่ความรอดจะไปถึงมวลชนทั้งหลายที่ไม่ใช่กลุ่มคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้เป็นกลุ่มแรก

พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องง้อให้คนทั้งหลายมาร่วมงานฉลองกับพระองค์ แต่พระองค์มีใจปรารถนาที่จะให้ทุกคนเต็มใจที่จะมาร่วมงาน แต่ถ้าในที่สุดแล้วยังไม่ยอมมาร่วมงาน หรือไม่พร้อมกับงาน พระองค์ก็จะไม่ให้โอกาสอีก

ความรักของพระเจ้า ให้ทุกคน ทั้งคนดีและคนชั่ว แต่ทว่าการที่จะได้รับความรักนั้น ก็มีเงื่อนไขเช่นกัน เงื่อนไขของพระเจ้าก็คือ เขาสวมเสื้อสำหรับงานหรือไม่ เล็งถึงการให้เกียรติเจ้าของงาน ว่าเขาให้เกียรติเจ้าภาพหรือไม่

"เสื้อสำหรับงานในแผ่นดินสวรรค์" มีลักษณะเช่นใด ? แผ่นดินสวรรค์จะต้อนรับเฉพาะผู้ที่ใส่เสื้อสีขาวเท่านั้น เสื้อเราจะต้องขาวสะอาด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่จะชำระล้าง เราจึงจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้

"ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และดูเถิด คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก" (วิวรณ์ 7:9)

"13 แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้น ถามข้าพเจ้าว่า 'คนที่สวมเสื้อสีขาวเหล่านี้ คือ ใครและมาจากไหน'

14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า 'ท่านเจ้าข้า ท่านก็ทราบอยู่แล้ว' ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า 'คนเหล่านี้ คือ คนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขา ในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด

15 เพราะเหตุนั้น เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงสถิตด้วย และปกป้องคุ้มครองเขา

16 พวกเขาจะไม่หิวกระหายอีกเลย แสงแดด และความร้อนจะไม่ส่องต้องเขาอีกต่อไป

17 เพราะว่า พระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้น จะคุ้มครองดูแลเขา และจะทรงนำเขาไปให้ถึงน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยด จากตาของเขาเหล่านั้น' " (วิวรณ์7:13-17)

เมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะได้รับเสื้อสีขาวแล้ว และเราจะต้องดูแลรักษาเสื้อตัวนี้ ที่จะขาวอยู่เสมอ เราจะต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ คนที่บริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าได้ เพราะว่าเจ้าของแผ่นแห่งนี้ทรงบริสุทธิ์

ในโลกนี้ มนุษย์เห็นพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าใจไม่บริสุทธิ์เพียงพอ พระเจ้าไม่อยากมาปรากฎให้เราเห็น เพราะผู้ที่ไม่บริสุทธิ์จะต้องพินาศ แต่ถ้าเสื้อของเราไม่ขาวสะอาดขณะที่่กำลังจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ เราก็จะถูกจับออกจากงานเลี้ยงแห่งนี้ และถูกทิ้งในที่ที่ทุกข์ทรมาน

เสื้อสีขาว เปรอะเปื้อนเลอะเทอะง่าย แม้แต่เสื้อที่เราใส่ในโลกนี้เรายังดูแลรักษา ดังนั้น พวกเราที่ได้รับเสื้อสีขาวที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ตัวนี้ เป็นเสื้อที่พระองค์ประทานให้แก่เราเพื่อที่เราจะได้ใส่เมื่อได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ เราจะต้องระมัดระวังดูแลรักษาให้ดี ที่จะไม่สกปรกเลอะเทอะ เราจะต้องดูแลยิ่งกว่าเสื้อสีขาวที่เราใส่ในโลกนี้ เพราะเสื้อสีขาวที่พระเจ้ามอบแก่เรานั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่เรา ตั้งใจที่จะให้แก่เรา แลกด้วยพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อที่เราจะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองกับพระองค์

เราไม่ได้อยู่ในโลกที่สะอาด แต่เป็นโลกที่สกปรกเลอะเทอะ ไม่ง่ายนักที่เราจะดูแลรักษาเสื้อสีขาวที่พระเยซูทรงประทานให้ เราจึงต้องระมัดระวังอย่างดี ตระหนักอยู่เสมอว่า พระเจ้าของเราเข้มงวดมาก อย่าให้เรายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของบาปอยู่ ให้เราปฏิเสธความบาปอย่างสิ้นเชิงจริงจัง

"17 ด้วยว่า ถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการพิพากษานั้นเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร

18 และถ้าคนชอบธรรมจะรอดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนที่ไม่เคารพพระเจ้า และคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน

19 เหตุฉะนั้น ขอให้คนทั้งหลายที่ทนทุกข์ทรมานตามพระประสงค์ของพระเจ้า จงประพฤติชอบ และฝากวิญญาณจิตของตน ไว้กับองค์พระผู้สร้าง ผู้เที่ยงธรรมนั้นเถิด" (1เปโตร 4:17-19)

การที่เราจะเข้างานเลี้ยงฉลองได้นั้น จะต้องถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด การจะผ่านเข้าไปได้นั้นไม่ง่ายเลย จึงอยากหนุนใจแก่พวกเราว่า "อย่าประมาท" เพราะว่าการตรวจสอบนี้ ละเอียดรอบคอบ และการจะผ่านได้หรือไม่นั้น มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

"ด้วยผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ทรงเลือกก็น้อย" (มัทธิว 22:14)

การเสียส่วยให้แก่จักรพรรดิซีซาร์

"15 ขณะนั้น พวกฟาริสีไปปรึกษากันวางแผนว่า จะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์ให้ได้

16 จึงใช้พวกศิษย์ของตน กับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระองค์ว่า 'อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนสัตย์ซื่อ ได้สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ โดยมิได้เอาใจผู้ใด เพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด

17 เหตุฉะนั้น ขอโปรดให้พวกข้าพเจ้าทราบว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้แก่จักรพรรดิซีซาร์นั้น ควรหรือไม่'

18 พระเยซูทรงทราบเจตนาร้ายของเขาจึงตรัสว่า 'โอ คนหน้าซื่อใจคด มาจับผิดเราทำไม

19 จงเอาเงินที่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดูก่อน' เขาจึงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งถวายพระองค์

20 พระองค์ตรัสถามเขาว่า 'รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร'

21 เขาทูลว่า "ของซีซาร์' แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า 'เหตุฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า'

22 คำตรัสตอบของพระองค์นั้น พวกเขานึกไม่ถึง จึงพากันกลับไป ละพระองค์" (มัทธิว 22:15-22)

ชาวยิวถูกกดขี่ข่มเหงโดยโรมันมาก จึงไม่มีผู้ใดที่จะยินดีที่จะจ่ายภาษีแก่พวกโรม จึงเป็นคำถามที่เป็นเล่ห์กลมาก เพราะว่าจะตอบอย่างไรก็อันตรายแก่ผู้ตอบมาก

ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงตอบได้อย่างลึกซึ้งมาก พระเยซูคริสต์ทราบดีว่า พวกยิวเหล่านี้ไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า คำตอบของพระเยซูคริสต์ นอกจากทำให้ผู้ฟังอึ้ง และยังเป็นการกล่าวโทษพวกเขาอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ และอย่าละเลย พวกเราจะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

สิ่งที่เรามีอยู่ เราต้องแยกออก ว่าส่วนใดเป็นของซีซ่าร์ และส่วนใดที่จะเป็นของพระเจ้า ส่วนที่จะต้องให้ซีซาร์ เราก็ต้องให้ตามกฎเกณฑ์ และส่วนของพระเจ้า เราก็ต้องไม่ละเลยเช่นกัน แล้วส่วนที่เหลือก็จะเป็นของเรา

ส่วนของพระเจ้า สิ่งใดบ้างที่เรายังไม่ได้ให้คืนให้กับพระเจ้า ? ขออย่าที่เราจะเป็นอย่างพวกยิว ฟาริสี สะดูสี ที่จะไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า

นอกจากเรื่องเงินทองแล้ว ก็ยังมีเรื่อง "ของประทาน" ทุกวันนี้ ตะลันที่เราได้รับจากพระเจ้า เราได้คืนแก่พระเจ้าแล้วหรือยัง ? ถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้ความสามารถ ไม่ให้กำลังแก่เรา เราจะทำสิ่งต่าง ๆ ได้หรือไม่ ? ทุก ๆ วันที่เราใช้กำลัง ใช้ความสามารถในชีวิตประจำวัน เราได้มอบคืนแก่พระเจ้าบ้างหรือไม่ ? ตะลันที่พวกเรามี อยากให้เราใคร่ครวญเสมอว่า เราจะทำอย่างไร ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า ก่อนที่จะสายเกินไป อย่ารอจนเราป่วยหนักจนใกล้ตายแล้วจึงคิดที่จะรับใช้พระเจ้า เพราะเวลานั้น เราอาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว พระเจ้าต้องการให้เราใช้เวลาที่เรามีกำลังวังชานี้แหละ ที่จะใช้ของประทานที่พระเจ้าให้แก่เรา เพื่อแผ่นดินของพระองค์

สิ่งต่อมา คือ "ชีวิต" เราได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เรา เราได้พ้นจากความพินาศจากความบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย แต่ได้รับชีวิตใหม่โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ดังนั้น ชีวิตของเราเป็นของพระเจ้าแล้ว เราจะต้องสำนึกเสมอว่า เราได้ตายต่อชีวิตเก่าแล้ว เราได้พ้นจากความพินาศแล้ว และโดยพระคุณของพระเจ้าเราจึงได้มีชีวิตใหม่ ดังเช่นที่อาจารย์เปาโลได้ตระหนักเสมอว่า

"เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า" (1โครินธ์ 9:16)

"เพราะว่า สำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร" (ฟิลิปปี 1:21)

และสุดท้าย ที่เราต้องอย่าลืม คือ "สิบลด" หรือ "ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ" อย่าหวง แต่ให้เรากล้าที่จะถวายแด่พระเจ้า

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com