มัทธิว 13

(27/06/2008)

จุดมุ่งหมายของคำอุปมา

ก่อนที่เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ อยากให้เราพิจารณาข้อที่ 10-17 ก่อน ซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยให้เราทราบถึงวัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงสอนคำอุปมาเหล่านี้

"10 ส่วนสาวกทั้งหลายจึงมาทูลพระองค์ว่า 'ทำไมพระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมา?'

11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า 'ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ โปรดให้พวกท่านรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้

12 เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา

13 เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ

14 สภาพของพวกเขาก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น

15 เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาของพวกเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตา จะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย' " (มัทธิว 13:10-15)

นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องพิจารณาก่อนที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับคำอุปมาเหล่านี้ คำอุปมาเหล่านี้ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะเปิดเผยให้บางคนรู้ สำหรับผู้ที่เมื่อได้รับฟัง ได้อ่านแล้วพิจารณา ใส่ใจ นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต และทรงประสงค์ที่จะปิดบังจากคนบางคน สำหรับผู้ที่ฟังผ่าน ๆ อ่านเฉย ๆ มิได้เรียนรู้ที่จะนำไปสู่คุณค่าต่อการดำเนินชีวิต

คำอุปมาเหล่านี้ มีคุณค่ามาก พระองค์ทรงหวงแหน ถ้าหากผู้ใดเมื่อได้รับฟังสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่เห็นความสำคัญ ดังที่พระธรรมอิสยาห์ได้บอกว่าเป็นผู้ที่ "ได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น เพราะมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาก็ปิด" พระองค์ก็จะทรงกลับ และนำไปให้แก่ผู้ที่เห็นความสำคัญ

ดังนั้น เมื่อเราได้อ่านพระวจนะคำของพระองค์ อยากให้เราพิจารณาว่า เราควรจะให้ความสำคัญมากเพียงใด ทุก ๆ คำสอนของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้เราเรียนรู้ และดำเนินตาม และสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เขาก็จะเสียโอกาสที่ดีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมแก่พวกเขา

คำอุปมาเหล่านี้ พระองค์ทรงที่จะสอนเหล่าสาวกของพระองค์ ทรงบอกกับเราผู้ซึ่งได้เข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณแล้ว เพื่อที่จะพิจารณาตัวเอง


"16 แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน

17 เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน" (มัทธิว 13:16-17 ThaiTSV2002)

พระองค์ทรงกล่าวว่า ในยุคที่เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์นั้น เป็นยุคที่พวกเขาได้สิทธิพิเศษ ที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมในสมัยก่อนหน้านั้น ปรารถนาอย่างมากที่จะได้เห็นและได้ยิน

แต่สำหรับเราในยุคนี้ เรามิได้เสียเปรียบผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมในสมัยก่อน เพราะว่าพระองค์ได้ทรงประทานผู้ช่วย คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะอยู่กับเรา สำแดงให้แก่เรา

สำหรับผู้ที่รักพระองค์ เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระวจนะคำของพระองค์แล้ว ก็จะได้เห็นและได้ยิน แต่สำหรับผู้ที่ไม่รักพระองค์ ก็จะเหมือนกับผู้ที่เห็นแต่ไม่เห็น ได้ยินแต่ไม่ได้ยิน และจะเป็นเหมือนที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า

"อย่าให้ของบริสุทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกรงว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดพวกท่านด้วย" (มัทธิว 7:6)

และสำหรับผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจแล้ว จะต้องประพฤติปฏิบัติตาม

"22 แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง

23 เพราะถ้าใครเป็นเพียงผู้ฟังพระวจนะและไม่ใช่ผู้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตนเองในกระจกเงา

24 เพราะว่าเมื่อเห็นแล้วก็จากไป และลืมในทันทีว่าตนเองเป็นอย่างไร

25 แต่ผู้ที่พินิจพิจารณาธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพ และตั้งมั่นในธรรมบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่ฟังแล้วก็ลืม แต่เป็นผู้ที่ประพฤติตาม ผู้นั้นจะได้รับความสุขในการประพฤติของตน" (ยากอบ 1:22-25 ThaiTSV2002)

คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

"3 แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาหลายเรื่อง เป็นต้นว่า 'นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช

4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย

5 บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก

6 แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี

7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย

8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง

9 ใครมีหูจงฟังเถิด' " (มัทธิว 13:18-23 ThaiTSV2002)

"18 'เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชนั้น

19 เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง

20 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี

21 แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด

22 และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล

23 ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง' " (มัทธิว 13:18-23 ThaiTSV2002)

จากคำอุปมาเหล่านี้ พระองค์ทรงกล่าวแก่สาวก และได้ทรงกล่าวคำอธิบายไว้ด้วย

พวกแรก คือ พวกที่ตกตามทาง นั้น ไม่เกี่ยวกับพวกเราโดยตรง

สำหรับพวกที่สอง คือ พวกที่ตกบนพื้นหิน รับเชื่ออย่างง่ายดาย แต่เมื่อได้มาเป็นคริสเตียนแล้ว พบว่า ชีวิตคริสเตียนลำบาก อึดอัด เพราะว่าทำหลายสิ่งหลายอย่างมิได้ โดนการข่มเหง ดังนั้น เนื่องจากมิได้มีรากลึก จึงได้เลิกที่จะติดตามพระองค์ไป ซึ่งจะสอดคล้องกับที่พระองค์ทรงกล่าวว่า

"และเขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ในสภาพดี" (มัทธิว 9:17 ThaiTSV2002)

สำหรับเราที่เป็นคริสเตียน อยากให้พิจารณาให้ดีถึงพวกที่สาม นั่นคือ เมล็ดพืชที่ตกในกลางต้นหนาม เมื่อได้รับพระวจนะคำของพระองค์แล้ว เกิดอุปสรรค 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก คือ "ความกังวลของโลก" คนพวกนี้มีความวิตกกังวลมากมาย มาโบสถ์ ก็คิดถึงกิจการการงาน และพระองค์ทรงกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ เป็น "ธรรมดาของโลก" ที่มนุษย์ทุกคนก็คิดเรื่องนี้ และพระองค์ก็มิได้ทรงละเลย พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่เราแล้ว ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า

"แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้" (มัทธิว 6:33 ThaiTSV2002)

และ อุปสรรคประการที่ 2 สำหรับพวกที่ตกในกลางต้นหนาม คือ คือ "การล่อลวงของทรัพย์สมบัติ" ซึ่งพบในพวกที่มีฐานะดี แต่ใจของเขาอยู่ที่ทรัพย์สมบัติ

จากคำอุปมาเหล่านี้ พระองค์ทรงตรัสว่า มีเพียงเมล็ดพืชประเภทเดียว ที่พระองค์ทรงรับ คือ พวกที่ 4 ได้แก่ พวกที่ตกในดินดี และเกิดผล 100 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง และ 30 เท่าบ้าง มีเพียงพวกเดียวเท่านั้น เพราะแม้แต่พวกที่ 3 พระองค์ก็ไม่ทรงรับ ดังที่พระธรรม ยอห์น และ 1 ยอห์นได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน คือ

"แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิด(แปลได้อีกว่า ทรงชำระให้สะอาด) เพื่อให้ออกผลมากขึ้น" (ยอห์น 15:2 ThaiTSV2002)

"15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น

16 เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก

17 และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1ยอห์น 2:15-17 ThaiTSV2002)

จาก ยอห์น 15:2 ให้เราสังเกตให้ดีว่า พระองค์จะทรงลิดเฉพาะแขนงที่เกิดผลเท่านั้น แต่สำหรับแขนงที่ไม่เกิดผล พระองค์จะมิทรงลิด แต่จะทรงตัดทิ้งเสีย อยากให้เราทำความเข้าใจให้ดีถึงความล้ำลึกนี้ ซึ่งสอดคล้องอย่างมากกับคำอุปมาสำหรับพวกที่ 3 ในพระธรรมมัทธิวนี้

จึงอยากขอหนุนใจที่เราจะเป็นแขนงที่จะเกิดผล เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงลิด แล้วเราจะเป็นคนที่พระองค์ทรงใช้ได้มากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเราเกิดผลมากขึ้น พระองค์ก็จะทรงลิดเรา เพื่อเราจะยิ่งเกิดผลได้อีกมาก เป็นวงจรไปเรื่อย ๆ

จึงอยากให้เราทำความเข้าใจให้ดี เพราะหลายคนเข้าใจว่า แค่เชื่อ แต่ไม่ต้องเกิดผล ก็สามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ หรืออาจหมายถึงว่า เป็นพวกที่ 3 ก็สามารถเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ ซึ่งไม่ตรงกับคำสอนของพระเยซูเลย เป็นการลดมาตรฐานที่พระองค์ทรงตั้งไว้ให้กับสาวกของพระองค์ อยากให้เราตระหนักว่า นี่คือ มาตรฐานของพระเจ้า เราไม่สามารถที่จะบิดเบือนได้เลย

"13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนทั้งหลายที่เข้าไปทางนั้นมีมาก

14 เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย" (มัทธิว 7:13-14 ThaiTSV2002)

และในจุดนี้ อยากให้เรานำมาพิจารณาเกี่ยวกับของประทานของพระวิญญาณ ซึ่งกล่าวไว้ในพระธรรมโครินธ์ 12 ซึ่งเช่นเดียวกับกับการเกิดผล ถ้าหากเราใช้ของพระทานของเราอย่าสัตย์ซื่อ พระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมให้แก่เรา ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้น เราก็จะยิ่งมีความเชื่อมากยิ่งขึ้น และเกิดผลมากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งของประทานจะต้องเริ่มที่ "ความเชื่อ" เพราะว่าของประทานต่าง ๆ นี้ พระองค์ทรงประทานให้แก่ผู้ที่เชื่อ เมื่อเขาได้รับใช้พระองค์ ถ้าเราไม่ใช้ของประทานเหล่านี้ พระองค์ก็จะไม่ทรงเพิ่มเติมให้แก่เรา

"พระเยซูตรัสกับนาง (มารธา) ว่า 'เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?' " (ยอห์น 11:40 ThaiTSV2002)

เราอย่ากลัวว่า เราไม่มีของประทานอะไร อยากให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับการตอบสนองของโมเสส

"2 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า 'อะไรอยู่ในมือของเจ้า?' ท่านทูลว่า 'ไม้เท้า พระเจ้าข้า'

3 พระองค์ตรัสว่า 'โยนลงที่พื้นดินเถิด' ท่านจึงโยนไม้เท้าลงบนพื้นดิน ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู โมเสสก็หนีไปจากงูนั้น' " (อพยพ 4:2-3 ThaiTSV2006)

โมเสส ท่านคิดว่าท่านไม่มีอะไร แต่ว่าพระเจ้าทรงใช้สิ่งที่โมเสสมี นั่นคือ "ไม้เท้า" ในการที่จะทำงานรับใช้พระองค์

เช่นกัน อยากให้เราพิจารณาว่าเรามีอะไร เพราะว่าพระองค์จะทรงใช้สิ่งที่เรามี แม้ว่าจะดูเล็กน้อย แต่เมื่อเราใช้สิ่งเหล่านั้น พระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมของประทานต่าง ๆ ให้อย่างแน่นอน ขออย่าให้เรากลัวที่จะรับใช้

(25/07/2008)

คำอุปมาเรื่องข้าวละมาน ท่ามกลางต้นข้าวสาลี

"24 พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า 'แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน

25 แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป

26 เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย

27 บรรดาทาสของเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านไม่ใช่หรือ? แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?'

28 นายก็ตอบว่า 'นี่เป็นการกระทำของศัตรู' ทาสเหล่านั้นจึงถามว่า 'ท่านปรารถนาจะให้เราไปถอนและเก็บข้าวละมานไหม?'

29 แต่นายตอบว่า 'อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย

30 ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งบรรดาผู้เกี่ยวว่า 'จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของเรา' ' " (มัทธิว 13:24-30 ThaiTSV2002)

"36 แล้วพระเยซูเสด็จไปจากฝูงชนเข้าไปในบ้าน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า 'ขอพระองค์โปรดอธิบายให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าใจอุปมาเรื่องข้าวละมานในนานั้น'

37 พระองค์ตรัสตอบว่า 'ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์

38 และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย

39 ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์

40 เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น

41 บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน

42 และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

43 เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด" (มัทธิว 13:36-43 ThaiTSV2002)

จากพระคัมภีร์ตอนนี้ ได้ย้ำเตือนเราว่า เมื่อถึงเวลากำหนด การเก็บเกี่ยวจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และ จากคำอุปมานี้ ทรงชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้และการลักลอบหว่านเมล็ดพืชเลวได้เกิดขึ้นอยู่ตลอด ดังนั้น เมื่อใดที่ยังไม่ถึงวันเก็บเกี่ยว เราจะต้องเข้าใจว่า พลเมืองของมารร้ายได้ปะปนอยู่ในพลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราจำเป็นต้องเรียนรู้และระวัง เพราะทั้งสองอย่างก็เติบโตขึ้นพร้อมกัน

แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นพืชคนละชนิด และทรงตรัสว่า

"17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว

18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้

19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ

20 เพราะฉะนั้น พวกท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของพวกเขา" (มัทธิว 7:17-20 ThaiTSV2002)

ดังนั้น เราจะสามารถสังเกตได้ว่าใครเป็นพืชดี และใครเป็นพืชเลว โดยดูที่ผลของเขา เพื่อถ้าเราได้เห็นว่าผู้ใดที่มิใช่พืชเมล็ดดี เราจะได้สามารถช่วยเหลือเขาได้

อย่างไรก็ตาม เราจะต้องระวังผู้หว่านข้าวละมานให้ดี เพราะว่าเราผู้ซึ่งเป็นดินดี เมื่อข้าวละมานถูกหว่านเข้ามา ก็จะสามารถเกิดผลได้เช่นกัน ดังนั้น เราจะต้องระมัดระวัง พิจารณาคำสอนต่าง ๆ ให้ดี อย่าถูกล่อลวงให้หลง เพื่อไม่ให้ข้าวละมานเกิดเป็นต้นได้

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ ได้เน้นย้ำอีกว่า มีบุคคล 2 พวก ที่จะถูกบรรดาทูตสวรรค์เก็บกวาด และทิ้งลงในเตาไฟ ได้แก่ "ทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด" และ "พวกผู้ที่ทำชั่ว" ดังนั้น บุคคลทั้งสองกลุ่มนี้ จะไม่สามารถเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้เลย เพราะการทำชั่วเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรับไม่ได้ และเราไม่สามารถที่จะอ้างได้ว่า เราโดนล่อลวงให้ทำชั่ว เพราะพระองค์ทรงได้เตือนเราให้ระมัดระวังที่จะแยกแยะระหว่างผู้หว่านเมล็ดพืชดี และเมล็ดพืชชั่ว

ในขณะเดียวกัน ชีวิตของเรา ในท่ามกลางสิ่งที่ชั่วร้าย จะต้องเป็นแสงสว่าง ดังที่พระองค์ทรงตรัสถึงเรื่องตะเกียง ในคำเทศนาบนภูเขาว่า

"เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้น" (มัทธิว 5:15 ThaiTSV2002)

และเมื่อเราส่องแสง เราจะเห็นถึงการอัศจรรย์ต่าง ๆ เราจะได้เห็นผู้ที่กลับใจมาเชื่อในพระเจ้าเพราะชีวิตของเรา โดยเราจะสามารถส่องแสงสว่างได้ ก็เมื่อเราติดสนิทกับเถาองุ่นเท่านั้น

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพืช

"31 พระองค์ยังตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า 'แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน

32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และเติบโตเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้' " (มัทธิว 13:31-32 ThaiTSV2002)

จำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าผู้ใดอยากให้พืชเติบโตใสไร่นาของเขา เขาคงจะไม่อยู่เฉย ๆ แต่จะต้องทำการเพาะหว่านเมล็ดพืชในแผ่นดินไร่นาของเรา เช่นเดียวกันถ้าผู้ใดที่อยากให้แผ่นดินของพระเจ้าเกิดขึ้นในไร่นาของเขา เขาจำเป็นต้องนำเมล็ดพืชไปเพาะ ต้องนำเมล็ดพืชแห่งพระวจนะของพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงประทานให้แก่เราไปหว่านไปเพาะในไร่ของตน ซึ่งหมายถึงแผ่นดินของพระเจ้าต้องเกิดขึ้นในชีวิตของเราก่อน แล้วจึงจะสามารถแผ่ขยายออกไปได้ เพื่อที่เราจะได้สามารถแตกติ่งก้านสาขาเป็นต้นไม้ใหญ่ เพื่อให้นกในอากาศมาทำรังได้

พระองค์ทรงมีพระสัญญา ถ้าเมล็ดพืชแห่งแผ่นดินสวรรค์เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แผ่นดินของพระเจ้าจะขยายออกจากชีวิตของเราได้อย่างแน่นอน โดยขยายออกไปตามกิ่งก้านของต้นไม้แห่งแผ่นดินสวรรค์นั้น

คำอุปมาเรื่องเชื้อขนม

"พระองค์ยังตรัสอุปมาให้พวกเขาฟังอีกเรื่องหนึ่งว่า 'แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด' " (มัทธิว 13:33 ThaiTSV2002)

เชื้อเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้แป้งจำนวนมากสามารถฟูขึ้นได้ เช่นเดียวกับแผ่นดินสวรรค์ สามารถเกิดผลที่ยิ่งใหญ่ได้ เพียงแค่แป้งของเรายอมที่จะรับเชื้อนั้นเข้ามาในชีวิต เราจึงจะสามารถฟูขึ้นได้

อยากขอหนุนใจ ถ้าเราอยากเห็นการฟื้นฟูขึ้นในสังคมของเรา เราจะต้องเริ่มที่ชีวิตของเราเองก่อน เราจะต้องให้ชีวิตของเราพร้อมที่จะรับเชื้อนั้นได้ พร้อมที่จะเป็นภาชนะรับเมล็ดพันธุ์แห่งแผ่นดินสวรรค์ เพื่อให้แผ่นดินของพระเจ้าขยายออกดั่งแป้งฟู และพืชที่เกิดกิ่งก้านสาขา

อย่างไรก็ดี ในพระคัมภีร์นั้น คำว่า "เชื้อ" สามารถใช้ได้ในทางที่ดีและทางที่ไม่ดี เราจะต้องดูบริบท อาทิเช่น

"พระองค์ทรงเตือนพวกสาวกว่า 'จงสังเกตและระวังเชื้อของพวกฟาริสี และเชื้อของเฮโรดให้ดี' " (มาระโก 8:15 ThaiTSV2002)

และอยากจะฝากให้เราลองพิจารณาว่า เชื้อของเฮโรด คืออะไร ?

(22/08/2008)

สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยนั้น ล้วนซ่อนพระสัญญาอยู่ ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเรายอมที่จะเป็นดังเมล็ดพืช หรือยอมที่จะเป็นเชื้อของพระองค์ พระสัญญาของพระเจ้าก็คือ เราก็จะเกิดผลอย่างมากมาย เป็นดังเมล็ดพืชที่งอกเป็นต้นไม้ใหญ่ และเป็นเชื้อที่ทำให้แป้งฟู แล้วเราก็จะได้เห็นพรที่มาจากพระองค์อย่างแน่นอน

การที่พระเยซูทรงใช้คำอุปมา

"34 ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมา และนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย
35 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก" (มัทธิว 13:34 ThaiTSV2002)

ถ้าไม่ใช่คนของพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสสอนนั้นก็จะไม่เกิดผลในชีวิตของเขา

อยากให้เราพิจารณาว่า อะไรคือสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ทรงปิดซ่อนเอาไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก

ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเรามีโอกาสมากกว่าคนสมัยนั้นมาก เราสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นได้จากพระคัมภีร์

ในพระคัมภีร์เดิม ได้กล่าวสิ่งต่าง ๆ ถึงพระเยซูคริสต์ ได้ทำนายถึงการเสด็จมาของพระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ทรงเต็มไปด้วยฤทธานุภาพ ดังนั้น พระองค์จึงกล่าวเป็นคำอุปมาเพื่อให้พวกเขาได้ใคร่ครวญ เพื่อจะได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นั้น เป็นผู้ที่จะมาเพื่อนำพวกเขากลับเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ เนื่องจากหลังที่อาดัมเอวาแล้ว มนุษย์ไม่ทราบหนทางที่จะกลับไปสู่พระเจ้าได้เลย แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่จะสามารถนำพวกเขาได้

"26 คือความล้ำลึกที่ซ่อนไว้หลายยุคและหลายชั่วอายุคน ซึ่งเวลานี้โปรดให้ปรากฏแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว

27 พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่า ความล้ำลึกนี้มีศักดิ์ศรีอุดมเพียงไรในหมู่คนต่างชาติ นั่นคือพระคริสต์สถิตในพวกท่าน อันเป็นความหวังที่จะได้รับศักดิ์ศรี" (โคโลสี 1:26-27 ThaiTSV2002)

สิ่งที่เป็นความล้ำลึกที่ถูกซ่อนไว้ ก็คือ ศักดิ์ศรีอันอุดม ที่เราจะได้รับจากพระคริสต์ คือ การที่เราจะได้ไปสู่แผ่นดินสวรรค์

พระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อให้เราทราบว่าสิ่งนั้นมีค่าเพียงใด เปิดหนทางให้แก่เรา เพื่อเราจะได้ไปถึงชีวิตนิรันดร์ในที่สุด

ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่

"แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น" (มัทธิว 13:44 ThaiTSV2002)

ในอุปมานี้ พระองค์ทรงให้เราเห็นว่าแผ่นดินสวรรค์มีค่าเพียงใด พระองค์ทรงเปรียบกับขุมทรัพย์ และผู้ที่พบนั้นรู้ว่าสิ่งนี้มีค่า มีค่ายิ่งกว่าสิ่งที่เขามีทั้งหมด เขาจึงยอมที่จะแลกมาเพื่อจะได้ขุมทรัพย์นั้น นี่คือภาพที่เราจะต้องปรับความเข้าใจ

แผ่นดินสวรรค์นั้นเปรียบเหมือนขุมทรัพย์ เราเห็นว่าสิ่งนี้มีค่าหรือไม่ สิ่งที่ผู้ที่พบขุมทรัพย์กระทำจะเป็นสิ่งที่บอกว่าผู้ที่พบขุมทรัพย์นั้นมองเห็นค่าของขุมทรัพย์นั้นเพียงไร ถ้าเห็นว่าขุมทรัพย์นั้นมีค่า เขาก็จะยอมที่จะแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะได้มา

เช่นเดียวกับเรา ถ้าหากเราเห็นว่าแผ่นดินสวรรค์นั้นมีค่า เราก็จะไขว่คว้ามาให้ได้ เราก็จะยอมที่จะเดินทางแคบ แม้ว่าจะเห็นว่าการเดินทางกว้างนั้นสบายเพียงไร การที่จะได้แผ่นดินสวรรค์นั้น เราจะต้องแลกเอาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี

อยากให้เราใคร่ครวญดู เราเห็นคุณค่าของขุมทรัพย์ คือ แผ่นดินสวรรค์นั้นเพียงไร ?

"5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ

6 การเอาใจใส่เนื้อหนังก็คือความตาย และการเอาใจใส่พระวิญญาณ ก็คือชีวิตและสันติสุข" (โรม 8:5-6)

ถ้าเราอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ เราก็จะสนใจพระวิญญาณ เราก็จะยอมขายทุกสิ่ง เพื่อแลกมาเพื่อแผ่นดินสวรรค์นั้น

ไข่มุกที่ราคามาก

"45 อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี

46 และเมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายทุกสิ่งซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น" (มัทธิว 13:45 ThaiTSV2002)


ทั้งขุมทรัพย์ และไข่มุกนั้น ก็เป็นในทิศทางเดียวกัน คือ ผู้ที่เห็นสิ่งเหล่านี้ แล้วเห็นคุณค่า ก็จะยอมสละสิ่งที่เขามีอยู่ทุกสิ่ง เพื่อแลกนำสิ่งเหล่านั้นมา

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะสามารถเลือกเช่นผู้ที่พบขุมทรัพย์ และพ่อค้าที่พบไข่มุกนี้

เราจะต้องมีความรู้เหมือนพ่อค้า ที่ด้วยความชำนาญจะเห็นคุณค่าของไข่มุกนั้น เพราะถ้าเราไม่ชำนาญ เราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีค่าเพียงไร แล้วเราก็อาจจะพลาด ไม่พยายามที่จะช่วงชิงมา ในทางกลับกัน ถ้าเรามองเห็นสิ่งอื่นมีคุณค่ามากกว่า เราก็จะทุ่มเทในสิ่งที่มีคุณค่าน้อยกว่า แล้วเราจะพลาดสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเช่นกัน

อีกนัยหนึ่ง ที่พระองค์ทรงสอนในคำอุปมานี้ คือ คุณค่าของการที่สืบเสาะหา ความหมายของแผ่นดินสวรรค์นั้นจะครบถ้วนบริบูรณ์ถ้าหากเราสืบเสาะหา สืบเสาะหาที่จะนำผู้อื่นเข้ามาอยู่แผ่นดินสวรรค์นั้นด้วย เก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ

พระองค์ทรงมอบหมายให้คนของพระองค์กระทำพันธกิจของพระองค์ ก็เพราะทรงไว้ใจคนเหล่านั้น เราจะต้องเป็นผู้ที่พระองค์ทรงไว้ใจได้ เราจะต้องแสวงหา สืบเสาะ ทำตามพระมหาบัญชา รีบสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ สร้างอาณาจักรแห่งขุมทรัพย์นั้นให้เจริญขึ้น ดังที่พระองค์ตรัสสอนให้เราอธิษฐานว่า "ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่"

เรื่องอวน

"47 อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลามาทุกชนิด

48 เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย

49 ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะออกมาแยกพวกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม

50 แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน" (มัทธิว 13:47-49 ThaiTSV2002)

เวลานี้ พระองค์ทรงให้โอกาสปลาทุกชนิดที่จะติดอวน แต่มิใช่ปลาทุกชนิดจะสามารถได้รับการเลือกโดยเจ้าของนั้น นี่คือสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจว่า โดยพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้ทุกคนมีโอกาสเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์

เมื่อเราเข้าอยู่ในอวนแล้ว อย่าดีใจ ที่จะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์แน่ ๆ เพราะในวันพิพากษานั้นเอง พระองค์จะทรงเลือกเฉพาะปลาที่ดีที่จะได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์

เราจะต้องค้นหาใจของผู้ที่จะทำการคัดเลือก ว่าพระเจ้าทรงมีเกณฑ์ในการแยกปลาที่ดี หรือปลาที่ไม่ดีอย่างไร

นอกจากนี้ เราจะต้องแสวงหาที่จะนำคนทั้งหลายที่จะเข้ามาอยู่ในอวนนี้ เราจะต้องประกาศเพื่อให้เขาเข้ามา เพราะพระประสงค์ของพระเจ้าคือต้องการที่จะให้ทุกคนเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ แม้ว่าจะมีแค่บางส่วนที่จะเป็นปลาที่ดี หน้าที่เรามิใช่เป็นผู้แยก ผู้ที่ทำหน้าที่แยกคือทูตสวรรค์ แต่หน้าที่เราคือเป็นผู้ที่นำคนทั้งหลายมาอยู่ในอวนนี้เท่านั้น ให้เขามีโอกาสที่จะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์

(29/08/2008)

ทรัพย์เก่า และทรัพย์ใหม่

"51 'ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ?' พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า”

52 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 'เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน' " (มัทธิว 13:51-52 ThaiTSV2002)

เรื่องแผ่นดินสวรรค์เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งในพระคัมภีร์เดิมมิได้กล่าวถึง พวกเขาไม่เข้าใจว่าจุดหมายปลายทางของเขาเป็นอย่างไร แต่พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงให้พวกสาวกให้เข้าใจ เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อชีวิตของเขา และยังได้ให้เขาได้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของพวกเขา

แต่ในที่นี้ต้องระวัง ต้องทำความเข้าใจให้ดี ว่าพระเยซูคริสต์นั้น ทรงมาเพื่อให้บัญญัติสำเร็จ ซึ่งแสดงว่าสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมได้บัญญัติไว้นั้น แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดที่จะทำสำเร็จได้ เราก็จะต้องทำต่อไปจนกว่าจะสำเร็จในที่สุด โดยอาศัยกำลังจากพระองค์

"3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้มันอ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เองมา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่(ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า และเกี่ยวกับ) บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงลงโทษบาป

4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้จะได้สำเร็จในตัวเราที่ไม่ดำเนินตามเนื้อหนัง แต่ตามพระวิญญาณ" (โรม 8:3-4 ThaiTSV2002)

กฎเกณฑ์ของพระเจ้ามิได้ถูกยกเลิกทั้งหมด แต่สิ่งที่ยังเกี่ยวข้องกับฝ่ายวิญญาณยังคงอยู่ ที่ถูกยกเลิกคือสิ่งที่เกี่ยวกับเนื้อหนัง หรือเกี่ยวกับฝ่ายกายเท่านั้น

พระเยซูคริสต์ทรงนำเราให้พ้นจากสภาพทาสของบาป ให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ให้มีกำลังที่จะสามารถรักษาตามธรรมบัญญัติได้ และที่เรามิต้องถวายเครื่องบูชานั้น มิได้เป็นสิ่งที่ถูกยกเลิก เพียงแต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำแล้ว เนื่องจากเรามีเครื่องบูชาที่ประเสริฐกว่า และเพียงพอ นั่นคือ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน เช่นเดียวกัน การเข้าสุหนัดก็มิได้ถูกยกเลิก เพียงแต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัดแล้ว เนื่องจากการที่เรารับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์นั้น ก็คือเป็นการเข้าสุหนัดฝ่ายวิญญาณแล้ว

พระเยซูคริสต์มิได้มาเพื่อล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่มาเพื่อให้สำเร็จบริบูรณ์

"อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ" (มัทธิว 5:17 ThaiTSV2002)

พระองค์มิได้มาเพื่อพิพากษา มิได้มาเพื่อกล่าวโทษ แต่มาเพื่อช่วยเราให้พ้นบาป

"17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

18 คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า" (ยอห์น 3:17-18 ThaiTSV2002)

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มิได้ทรงช่วยให้เราสามารถทำบาปได้อย่างอิสระ แต่ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ พระองค์เคยเข้มงวดอย่างไรในพระคัมภีร์เดิม ในปัจจุบัน และในอนาคตก็จะทรงเข้มงวดเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงยุติธรรม พระองค์จะทรงพิพากษาตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ ดังนั้น แม้เราอาจจะไม่เห็นพระพิโรธของพระองค์ชัดเจนเช่นเดียวกับในอดีต แต่ก็อย่าให้เราประมาท นี่เป็นเวลาที่พระองค์ทรงเมตตาอย่างมาก ทรงระงับพระพิโรธไว้อยู่ แต่พระองค์จะทรงกลับมาอีกครั้งในฐานะผู้พิพากษา มาเพื่อลงโทษ เพื่อนำไปสู่การพิพากษา เราจึงต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเข้าข้างตัวเอง คิดแต่พระพรพระเมตตา โดยไม่คำนึงถึงพระอาชญา แต่ให้เรามองที่พระอาชญาเช่นกัน เพื่อเราจะระมัดระวังในการดำเนินชีวิต

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com