คนทั่วไปมักถามดังนี้

คำถามที่ 1:
ถ้าพระเจ้ารักฉันแล้ว ฉันจะต้องกังวลอะไรอีกเล่า?

บางคนรู้สึกว่าเมื่อพระเจ้ารัก พระเจ้าต้องปกป้องพวกเขาให้พ้นจากผลร้ายที่เขาทำไป

ตัวอย่างเช่น วัยรุ่นยืดอกพูดอย่างเต็มที่ แล้วพูดว่า "อย่ามายุ่งกับผม ผมจัดการเองได้ พ่อกับแม่ไม่ยอมให้อะไรที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับผมหรอก พ่อแม่รักผมจะตายไป ถ้าผมมีปัญหา ท่านก็จะช่วยผมแก้ ถ้าผมมีปัญหาเรื่องเงิน พ่อก็จะช่วยผม พ่อมีเงินมากมาย ถ้าผมมีคดี พ่อก็จะช่วยผม พ่อจะจ้างทนายชั้นดีมาแก้คดีแน่ ถ้าผมคิดอย่างไรไป ผมก็มั่นใจว่าผมจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อผมต้องการ"

เด็กที่ต้องต้านความรักของพ่อแม่ อาจตกอยู่ในความลำบากได้ฉันใด

บุคคลที่ต่อต้านความรักของพระเจ้าก็อาจตกอยู่ในปัญหาหนักได้ฉันนั้น

จากท่าทีดังกล่าวนี้ เราพบว่า ความรักของพ่อแม่อาจจะมีมากจนก่อให้เกิดผลเสีย เด็กที่พ่อแม่รักอาจคิดว่าพ่อแม่ขอ่งเขาสามารถช่วยเขาได้ทุกสถานการณ์ แต่พ่อแม่ที่รักลูกจริง ๆ จะไม่ทำอย่างนั้น

เช่นเดียวกับพระบิดาในฟ้าสวรรค์ของเรา พระองค์เป็นพ่อที่ดีที่รักเราด้วยความรักที่ดี ที่ประกอบด้วยสติปัญญา และที่ไม่เปลี่ยนแปลง พ่อที่ดีจะไม่ยอมตามใจลูกทุกครั้งที่ลูกร้องไห้

ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่พระเจ้ารัก เขาก็ยังคงมีเรื่องต้องกังวลใจอยู่ ดังนั้น บุตรของพระเจ้า อาจต้องสูญเสียอะไร ๆ เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เช่น

  • สูญเสียประโยชน์ในตัวเอง กลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ (1โครินธ์ 9:27)

  • สูญเสียความเข้มแข็งฝ่ายจิตวิญญาณ (กาลาเทีย 5:16-17)

  • พระเจ้าไม่พอพระทัย (1โครินธ์ 10:5,6)

  • สูญเสียบำเหน็จนิรันดร์ (2ยอห์น 8)

  • สูญเสียสุขภาพ เช่น อ่อนกำลัง และป่วยไข้ (1โครินธ์ 11:29-30)

  • สูญเสียครอบครัว (1ซามูเอล 2:22-25, 3:13, 4:17-18, 2ซามเอล 12:1-23)

  • สูญเสียชีวิต (กิจการ 5:1-10, ยากอบ 5:19-20)

  • สูญเสียความมั่งคั่ง (สุภาษิต 10:4-5)

  • สูญเสียชื่อเสียง (2ทิโมธี 4:10)

เราไม่รู้ว่าการสูญเสียเหล่านี้จะเกิดในรูปใด แต่บางครั้ง พระเจ้าก็เมตตาช่วยเหลือให้เราผ่านพ้นปัญหาของเราไปได้ ทั้ง ๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับ แม้กระนั้น สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ อ่านข้อความใน 1โครินธ์ บทที่ 10 เพื่อหาตัวอย่างบุคคลที่พระเจ้ารัก ซึ่งกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจจะสูญเสีย เด็กที่ต่อต้านความรักของพระเจ้าอาจตกอยู่ในปัญหาหนักได้ฉันนั้น

ขอให้เรามาพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนถึงสิ่งที่อาจารย์เปาโลกล่าวไว้ว่า ชนชาติอิสราเอลมีประสบการณ์กับความรัก และการช่วยกู้ของพระเจ้า และทันที่ที่พวกเขากบฎต่อพระเจ้า พระเจ้าก็ทิ้งพวกเขาไว้ในถิ่นทุรกันดาร อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า

"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า บรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าสนิทกับโมเสสทุกคน และได้รับประทานอาหารทิพย์ทุกคน และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลาที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์" (1โครินธ์ 10:1-4)

อาจกล่าวได้ว่า ชนชาติอิสราเอลมีประสบการณ์อย่างดีว่า พระคริสต์เอาใจใส่เกื้อกูลพวกเขาด้วยความรักมาเป็นเวลานาน ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมายังโลกนี้ในฐานะของเยซูชาวนาซาเร็ธเสียอีก

อาจารย์เปาโลยังกล่าวต่อไปอีกว่า

"แต่ถึงกระนั้นก็ดีมีคนส่วนมากในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย เราทราบได้ ก็เพราะว่าเขาล้มตายกันเกลื่อนกลาดในถิ่นทุรกันดาร เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ไม่ให้เรามีใจโลภปรารถนาสิ่งที่ชั่วเหมือนเขาเหล่านั้น ท่านทั้งหลายอย่านับถือรูปเคารพเหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกสนาน อย่าให้เราคบหญิงชั่วเหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ แล้วก็ล้มลงตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน อย่าให้เราลองดีองค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ แล้วก็ต้องตายด้วยงูร้าย อย่าให้เราบ่นเหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้บ่น แล้วก็ต้องพินาศด้วยองค์เพชฌฆาต เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย ซึ่งกำลังประสบวาระสุดท้ายแห่งบรรดายุคเก่า เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง" (1โครินธ์ 10:5-12)

คำพูดนี้ดูท่าทางจริงจัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นช่วงหนึ่งของความรักที่ต้องประสบกับความลุ่ม ๆ ดอน ๆ เท่านั้น มีบางเวลาที่ความรักก็ต้องพบกับความจริงที่เจ็บปวด และต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่าง ความรักที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่ลักษณะโรแมนติก และรู้สึกอบอุ่นเท่านั้น ความรักที่แท้จริงยังรวมถึงการเอาใจใส่มากจนกระทั่งยอมที่จะเผชิญ และยอมรับผลของพฤติกรรมที่ไม่ดีอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าผู้ประกอบด้วยความรัก จึงตักเตือนบุตรของพระองค์ว่า เราอาจจะหลงหายไปก็ได้ หากพวกเราหันหนีไปจากการเกื้อกูลที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้เรา

บุคคลที่ไม่เคยได้เข้าอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เพราะไม่เชื่อไม่วางใจในองค์พระคริสต์ ก็ต้องเผชิญกับการสูญเสีย และมีเรื่องกังวลมากมาย ผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ก็ต้องกังวลว่าเขาจะสูญเสียชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับการอภัยโทษ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าเสนอชีวิตนิรันดร์ให้ เขากังวลว่าต้องสูญเสียความสุขหลังความตาย ใช่แล้ว ผู้ที่ไม่ได้รับความรอด ผู้ที่ปฏิเสธความรักของพระเจ้า จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง (มัทธิว 10:28,32,33)

ความรักที่แท้จริง ยังรวมถึง การเอาใจใส่มาก

จนกระทั่ง ยอมที่จะเผชิญและยอมรับผลของพฤติกรรมที่ไม่ดีอีกด้วย

พระเจ้าไม่ใช่อนุสาวรีย์แห่งจักรวาลที่ประทานความรักให้ พระองค์ไม่ใช่สถาบันยิ่งใหญ่ในท้องฟ้า แต่พระองค์เป็นบุคคล บุคคลที่มีความรัก เป็นบุคลิกหนึ่งของพระองค์ บุคคลผู้ซึ่งสำแดงความรักของพระองค์ในวิถีทางต่าง ๆ กัน และความรักของพระองค์ก็ได้รับการตอบสนองในวิถีทางที่ต่าง ๆ กันด้วย

คำถามที่ 2:
พระเจ้ารักบางคนมากกว่าบางคนหรือเปล่า?

บางครั้งที่ดูเหมือนว่าพระองค์มีคนที่พระองค์โปรดปรานมาก บางคนเกิดมาในโลกนี้พร้อมกับทุก ๆ สิ่งที่เป็นไปอย่างราบรื่น ในขณะที่บางคนเกิดมาพร้อมกับมรสุมชีวิต

ถ้าเห็นเช่นนี้ พระเจ้ารักบางคนมากกว่าบางคนหรือ

คำตอบในพระคัมภีร์อาจทำให้เราแปลกใจ ขอให้เราดูใน 3 ประเด็นด้วยกัน

ก. พระเจ้ารักบางคนมากกว่าบางคน

เมื่อพูดถึงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอล ผู้พยากรณ์มาลาคีได้เชียนไว้ว่า

"พระเจ้าตรัสว่า “เราได้รักเจ้าทั้งหลาย” แต่ท่านทั้งหลายพูดว่า “พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์สถานใด” พระเจ้าตรัสว่า “เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบมิใช่หรือ เราก็ยังรักยาโคบ 3แต่เราได้เกลียดเอซาว เราได้กระทำให้เทือกเขาของเขาร้างเปล่า และมอบมรดกของเขาให้แก่หมาป่าแห่งถิ่นทุรกันดาร” " (มาลาคี 1:2-3)

ถ้าเราเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่า พระเจ้ารักทุก ๆ คนเท่า ๆ กัน เราก็จะลงท้ายด้วยความเข้าใจที่อันตราย และเป็นไปในทางที่ผิด ในตัวพระเจ้า และในความรักที่พระองค์มีต่อเรา

ทำไมเราจึงไปสนใจกับอะไรที่เข้าใจยาก ๆ อย่างนั้น ทำไมเราไม่สนใจกับความจริงเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า ในอีกแง่มุมหนึ่งแล้ว เราจะไม่ต้องรู้สึกน้อยใจ ไม่อิจฉา ไม่ริษยาคนที่เรารู้สึกว่าพระเจ้ารักเขามากกว่าเรา เพราะถ้าเราเข้าใจผิด ๆ ว่า พระเจ้ารักทุก ๆ คนเท่า ๆ กันแล้ว เราก็จะเข้าใจตัวพระเจ้าอย่างผิด ๆ เข้าใจผิดในเรื่องความรักที่พระองค์มีต่อเรา และเป็นการสรุปที่อันตรายด้วย ถ้าเราต้องการเข้าใจพระเจ้าและความรักของพระองค์ เราก็ต้องกล้าเผชิญกับคำถามที่ว่า ทำไมพระเจ้าจึงรักบางคนมากกว่าบางคน

ข. พระเจ้ารักบางคนมากกว่าบางคนด้วยเหตุผลที่เหมาะสม

น่าสนใจที่อาจารย์เปาโลไม่ได้ละเลยหัวข้อที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ ความจริงแล้ว เปาโลอ้างถึงข้อความที่เราเพิ่งได้ดูกันไป

"ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาวเราได้ชัง" (โรม 9:13)

และเมื่อเขาอ้างถึงนั้น เขาก็รู้ว่าต้องมีคนขัดแย้งว่า การรักคนหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่งนั้น ดูจะไม่ถูกต้อง และไม่ยุติธรรม อาจารย์เปาโลตอบคำถามนี้อย่างไร เหตุผลที่เหมาะสมที่พระเจ้ารักเช่นนั้นคือะไร

เหตุผลที่เหมาะสมก็คือ พระเจ้ามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะรักผู้ที่พระองค์ต้องการจะรัก เพราะแท้จริงก็ไม่มีใครที่สมควรได้รับความรักของพระเจ้าอยู่แล้ว สิ่งที่พระองค์ต้องทำก็คือ ทำตามสิ่งที่พระองค์สมัครใจสัญญาไว้ ดังนั้น พระองค์มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเลือกใคร และไม่เลือกใคร เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นหนี้อะไรใคร (อพยพ 33:19 และ โรม 9:15)

"เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราประสงค์จะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาผู้นั้น" (โรม 9:15)

ดังนั้น ก่อนอื่นเราต้องยอมรับเสียก่อนว่า เราไม่สมควรที่จะได้รับสิ่งใดเลย นอกจากความตาย และเราจึงค่อยมาดูว่าพระเจ้าดีต่อเราทุกคนเพียงใด พระเจ้าเป็นพระผู้เป็นเจ้าของทุก ๆ สิ่ง และมีค่าควรกับทุก ๆ สิ่ง แต่สำหรับเรา เพราะความบาปของเรา เราจึงมีค่าควรกับความตายเท่านั้น

ค. ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะพูดว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม

พระองค์มีความรักมากมายเพียงพอที่จะให้กับทุก ๆ คน และมีมากมายกว่านั้นด้วย พระองค์ไม่เคยที่จะปกปิดความรักนั้นไว้จากใครก็ตามที่ต้องการความรัก นั่นไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ปัญหาดังที่อาจารย์เปาโลได้ชี้ให้เห็นในโรมบทที่ 9 ถ้าพระเจ้าไม่ได้เลือกบางคนไว้เฉพาะให้รับความรักของพระองค์ ทุก ๆ คนจะต้องปฏิเสธพระองค์ ไม่มีกรณียกเว้นเลย คือ

"และตามที่ท่านอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าพระเจ้าจอมโยธา มิได้ทรงเหลือพงศ์พันธุ์ไว้ให้เราบ้าง เราทั้งหลาย ก็จะเป็นเหมือนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์" (โรม 9:29)

"ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย" (โรม 3:11-12)

นั่นเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เราไม่ได้ถูกนอกใจ แต่เราเองที่นอกใจพระเจ้า และรักโลกนี้มากกว่าพระเจ้า

ในโรม 2:4 อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า วัตถุประสงค์ของความรัก และความเมตตาของพระเจ้า ก็คือ เพื่อหนุนใจให้ทุก ๆ คนสารภาพบาปของตน และรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เพื่อเร้าให้โกรธ หรือให้ริษยา เมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้รับความรักอย่างเดียวกับที่คนอื่นได้รับ

"หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดม และความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้น มุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่" (โรม 2:4)

เราควรจะมีสำนึกอย่างเต็มเปี่ยมว่าพระเจ้ารักเราที่สุด เราควรจะรีบฉวยโอกาสที่เรามีในตอนนี้ที่จะคืนดีกับพระองค์ ก่อนที่เราจะสูญเสียโอกาสนั้นไป ซึ่งในลักษณะนั้นเราควรซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า และควรจะรู้สึกราวกับคนที่ถูกดึงขึ้นมาจากหิมะน้ำแข็ง และผู้ที่ช่วยเหลือเรานั้นต้องสูญเสียชีวิตของเขาเพื่อช่วยเรา ดังนั้น เราจึงควรกตัญญูรู้พระคุณของพระเจ้ามาก ๆ เหมือนกับคนที่รู้ว่าไม่มีใครสักคนรักเขา มากจนกระทั่งยอมสละชีวิตของตนเพื่อเขา (โรม 5:8)

"แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา" (โรม 5:8)

วัตถุประสงค์ของความรักและความเมตตาของพระเจ้า ก็คือ

หนุนใจให้ทุก ๆ คนสารภาพบาปของตน และรับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์

คุณเข้าใจความหมายของข้อความนี้ไหม หมายความว่า ตามทัศนะคติของมนุษย์ เราสามารถตัดสินใจเองว่า เราจะเป็นคนที่ได้รับความรักมากกว่าผู้อื่นหรือไม่ก็ได้

"เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน" (1ยอห์น 4:19)

แต่ถ้าเราเลือกที่จะยอมรับพระเจ้าผู้ซึ่งรักเราก่อน เราก็จะไม่รู้สึกว่าถูกลำเอียง เราจะไม่เป็นเหมือนน้องชายที่รู้สึกว่าพ่อแม่ของเขารักพี่ชายของเขามากกว่า เพราะพี่ชายของเขารูปหล่อกว่า หรือเล่ากีฬาเก่งกว่า เพราะเรารู้ว่าในพระเยซูคริสต์นั้น เราได้รับการยอมรับ และได้รับความรักอย่างสมบูรณ์จากพระเจ้า

คำถามที่ 3:
ความรักของพระเจ้าขึ้นอยู่กับการกระทำของฉันหรือเปล่า

ฉันต้องทำอย่างไร เพื่อฉันจะแน่ใจว่าพระเจ้ารักฉัน ต้องทำอะไรบ้างหรือ ไม่ต้องเลยหรือ แล้วเรื่องความคิดเกี่ยวกับความรักแบบไม่มีเงื่อนไขล่ะเป็นอย่างไร ความรักของพระเจ้ามีเพียงเท่านี้หรือ พระองค์จะยังรักเราเหมือนเดิมโดยไม่ใส่ใจว่าการกระทำของเราจะเป็นอย่างไรหรือเปล่า ในแง่หนึ่ง ความรักของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา และในอีกแง่หนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราด้วย ฟังดูอาจเป็นคำพูดที่กำกวมขัดกัน แต่นี่เป็นคำตอบที่ตรงตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า ความรักของพระเจ้ามีทั้งที่มีเงื่อนไข และไม่มีเงื่อนไข และเมื่อเราได้เห็นทั้งสองด้าน เราก็จะพบกับความสมดุล ซึ่งปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์

อย่างไรก็ดี อาจเป็นไปได้ว่า การพูดถึงความรักของพระเจ้าแบบที่มีเงื่อนไข ทำให้คุณรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ถ้าคุณรู้สึกเช่นนี้ ก็อาจเป็นเพราะว่าคุณเคยประสบกับความรักที่มีเงื่อนไขประเภท "ฉันรักคุณถ้า...นั้น" ซึ่งเป็นความรักที่ทำร้ายจิตใจมาก นี่เป็นความรักที่พ่อแม่แสดงออกเมื่อพวกเขาบอกกับลูกของตนว่า "พ่อแม่จะรักหนู ถ้าหนูไม่ทำให้พ่อแม่ขายหน้า" หรือสามีที่บอกกับภรรยาว่า "ฉันจะรักเธอก็ต่อเมื่อเธอเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ฉันพูดและฉันทำ"

ดังนั้น ขอให้ดูทั้งสองด้าน ขอให้ดูทั้งในแง่ที่ความรักของพระเจ้านั้นไม่มีเงื่อนไข และในแง่ที่ความรักของพระเจ้านั้นมีเงื่อนไขด้วย

ความรักของพระเจ้าไม่มีเงื่อนไข

มีเหตุผลอย่างน้อยสองประการที่พระเจ้ารักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข

ประการแรก เพราะว่าพระองค์มีพระลักษณะเช่นนั้นอยู่แล้ว ในพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าเป็นความรัก (1ยอห์น 4:8,16) นี่คือพระลักษณะของพระองค์ และนี่ก็เป็นพระลักษณะที่พระองค์เป็นตลอดมา พระองค์เป็นพระเจ้าที่มีความรัก พระองค์รักเราบนพื้นฐานของพระลักษณะของพระองค์ และความเป็นพระองค์เอง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่ว่าเราเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับพระกรุณาคุณของพระองค์ และทั้ง ๆ ที่พระองค์มิได้เป็นหนี้อะไรเราเลย แต่เพราะพระองค์เป็นพระองค์เอง

  • พระองค์ประทานชีวิตและลมหายใจแก่เราด้วยความรัก (กิจการ 17:24-25)

  • พระองค์ตระเตรียมอาหารแก่ร่างกาย และชีวิตของเรา (สดุดี 136:25)

  • พระองค์อดกลั้นพระทัยไว้ด้วยความรัก (2เปโตร 3:9)

  • พระองค์ประทานความสุขแก่เราด้วยความรัก (สดุดี 36:7-9)

  • พระองค์สละพระองค์เองเพื่อเราด้วยความรัก (ยอห์น 3:16)

  • พระองค์ช่วยให้เรารอด ซึ่งเราไม่สมควรจะรอดพ้นจากความตายเลย พระองค์ทำด้วยความรัก (โรม 5:8)

พระองค์ไม่เพียงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขเพราะนั่นเป็นลักษณะของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะว่า นั่นเป็นความรักที่เราต้องการด้วย โดยธรรมชาติแล้ว พวกเราไม่น่ารักในสายพระเนตรของพระเจ้า แม้กระทั่งคนที่ดีที่สุดในพวกเรา ก็ยังไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ (อ่านโรมบทที่ 1-3)

เราทุกคนเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แม้ว่าบางคนจะเคร่งศาสนา มีการศึกษา และดีอย่างอาจารย์เปาโล (ฟิลิปปี 3:4-6) แต่เขาเหล่านั้นก็ยังต้องยอมรับว่า โดยธรรมชาติแล้ว เขาก็ยังคงเป็นคนประเภทที่ตัวเขาเองไม่อยากจะเป็น (โรม 7:15-24) อาจารย์เปาโลรู้ว่าตนเองมีปัญหา เขารู้ว่าตนเองต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าเราไม่สมควรจะได้รับ เขาได้พบกับความรักในพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่ไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำของเขา ไม่ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แบบของเขา ความรักที่เอาชนะความบาปของเขาได้ เป็นความรักที่เมตตาให้อภัย ไม่มีเงื่อนไข จนกระทั่งอาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า

"แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ...เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้" (โรม 8:25,38-39)

นั่นเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นภาพที่เหนือคำบรรยาย วัดไม่ได้ เกินกว่าจะเปรียบเทียบกับอะไร และเป็นความรักที่ไม่มีการทวงคืนได้ ก็ดีแล้วล่ะ มันเป็นสิ่งที่เราต้องการความรักแบบนั้นจริง ๆ ถ้าปราศจากความรักเช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่สามารถแม้แต่จะเริ่มทำให้พระเจ้าผู้ประกอบด้วยความดีพอพระทัยได้ ถ้าปราศจากความรักเช่นนั้นแล้วละก็ ความกดดัน และสิ่งต่าง ๆ ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึง ก็อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดว่าพระเจ้าหยุดรักเรา เพราะเราทำผิดต่อพระองค์

ความรักของพระเจ้านั้นมีเงื่อนไข

ถ้าเราเน้นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า แล้วหยุดที่จุดนั้น เราก็จะต้องเสียใจที่ได้ทำให้ความจริงที่มหัศจรรย์ที่สุดของโลกกลายเป็นความจริงที่อันตราย ผู้คนพากันคิดว่า ความรักที่อาจารย์เปาโลบรรยายไว้ในโรมบทที่ 8 เป็นความรักที่ในที่สุดจะมาถึงทุก ๆ คนเอง แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้บอกเช่นนั้น เขาชี้ให้เห็นว่า ความรักที่เขาบรรยายนั้น มีให้เฉพาะผู้ที่วางใจ มอบชีวิตให้กับพระคริสต์เท่านั้น มีให้แก่ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น (โรม 8:1-4,10,16-17)

ขอให้มาดูกันอีกทีที่อาจารย์เปาโลกล่าวถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่เราเพิ่งจะอธิบายไป ท่านเขียนไว้ว่า

"เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้" (โรม 8:38-39)

วลีสุดท้ายที่ว่า "ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา" แสดงให้เป็นว่านี่เป็นเงื่อนไขในการได้รับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตามที่อาจารย์เปาโลกล่าวถึง

ขอให้เรามาดูเนื้อหาของเงื่อนไขนี้ พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับคนบางคนว่า "เรารักเจ้า เพราะเจ้าแข็งแรง ฉลาด และมั่งคั่ง เรารักเจ้าเพราะเจ้าเป็นคนดี และอดทน และมีเมตตา" เปล่าเลย... พระเจ้าเสนอความรักนิรันดร์ และความรักที่ช่วยกู้ของพระองค์ด้วยเงื่อนไขเดียว และเป็นเงื่อนไขเดียวเท่านั้น พระองค์ขอให้ผู้คนทุกที่ทุกแห่งยอมรับความต้องการของตนเอง และเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิงในความสามารถขององค์พระเยซูคริสต์ที่ได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความบาปของพวกเขาเองได้ เมื่อใดที่พวกเขาอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะแยกพวกเขาจากความรักของพระเจ้าได้

นี่เป็นจุดสำคัญ เราอาจจะไม่สามารถทำให้คนที่มีความรักประเภทที่มีเงื่อนไขพึงพอใจได้ เช่น พ่อที่ไม่มีความเมตตา หรือคู่สมรสที่ใช้อำนาจเข้าข่มนั้น แต่สำหรับความรักของพระเจ้านี้ ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ มองไปที่องค์พระเยซูคริสต์ ยอมรับว่าพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเชื่อว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แทนเรา ณ ที่นั้น เมื่อเราเห็นถึงความบาปของเรา สารภาพ และเชื่อไว้วางใจในองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นพระเจ้าของเราแล้ว พระองค์ก็จะให้อภัยในความบาปของเราด้วยความรักของพระองค์ และประทานชีวิตใหม่แก่เรา

คำถามที่ 4:
เป็นไปได้ไหมที่จะสูญเสียความรักของพระเจ้า?

เราเคยเห็นตัวอย่างของมิตรภาพที่เริ่มต้นอย่างแน่นแฟ้น แต่ต้องแตกสลายในที่สุด เราเคยเห็นการแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกว่าจะคงอยู่ตลอดไป แต่ก็จบลงด้วยความโกรธ การหลอกลวง และความเกลียดชัง ใช่แล้ว ... เราได้เห็นมาแล้วว่าเมื่อมีรักอยู่ ก็ย่อมมีการสูญเสียความรักได้ด้วย

แล้วการที่เรารู้เช่นนั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับความรักของพระเจ้าหรือ เป็นไปได้หรือไม่ที่เราอาจสูญเสียความรักของพระองค์ไปเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง

ประการแรก เราต้องระลึกว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องเรื่องเดียว คือ ความรัก ซึ่งเราจะสามารถเข้าใจได้ดีที่สุด หากได้จำแนกออกเป็นส่วนย่อย ๆ แล้ว ตัวอย่างเช่น ในภาษาอังกฤษ ความรักนี้อาจมีหลายรูปแบบ การใช้คำว่า "รัก" ในพระคัมภีร์ก็เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับการใช้คำ และข้อความแวดล้อม ความรักในพระคัมภีร์อาจหมายถึง เอาใจใส่ ให้คุณค่า ชอบมาก มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า กระทำดีด้วย เป็นมิตร หวังดีต่อเรา มองในแง่ดี ยอมรับผิดชอบเรา

นอกจากนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่พวกเราจะต้องตระหนักว่า ความหลากหลายของคำนี้ ไม่เพียงปรากฎในความสัมพันธ์ของมนุษย์ กับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังปรากฎในความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าด้วย พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พระเจ้ามิได้ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก พระคัมภีร์อธิบายว่า พระเจ้ามีอารมณ์อยู่มากมายหลายอย่าง พระองค์แสดงอารมณ์ความรู้สึกในลักษณะของเพื่อน และของพ่อแม่ พระองค์รัก พระองค์เกลียด พระองค์สงสาร พระองค์เศร้าโศก พระองค์หวง พระองค์สำแดงความรักที่ลึกซึ้ง

น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ความจริงนี้ต้องสูญหายไป เพราะผู้คนที่พากันให้ความสำคัญกับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า คนเหล่านี้พยายามที่จะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความรักที่สูงส่งที่สุด ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และไม่ขึ้นอยู่กับความดีของผู้รับความรัก คนเหล่านี้ได้ละเลยอีกมิติหนึ่งของความรักไป

นี่เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้เราสามารถตอบคำถามที่ว่า "เป็นไปได้ไหมที่จะสูญเสียความรักของพระเจ้า" พระเจ้าสำแดงความรักต่อเราด้วยวิธีที่แตกต่างกันมากมาย จนเราไม่สามารถตอบได้เด็ดขาดลงไปว่าเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ ความจริงแล้ว คำตอบที่ถูกต้องก็มีทั้งเป็นไปได้ และเป็นไปได้ ผมเชื่อว่า คำตอบที่ค่อนข้างเป็นไปได้ของคำถามนี้ ก็คือ

  • เป็นไปได้ที่เราจะสูญเสียความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไป เพราะเราได้ปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์ครั้งแล้วครั้งเล่า (ฮีบรู 26-31)

  • เป็นไปได้ที่คน ๆ หนึ่งจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย และสูญเสียความรักของพระองค์ เพราะได้มีส่วนในสิ่งที่พระเจ้าเกลียดชัง (1พงศ์กษัตริย์ 11:1-11)

  • เป็นไปได้ที่คน ๆ หนึ่งจะทำให้พระเจ้าไม่เอาพระทัยใส่ และละพระเมตตาคุณของพระองค์ก็เพราะความยโส และการยึดตัวเองเป็นใหญ่ (ดาเนียล 4:30-37)

  • เป็นไปได้ที่คน ๆ หนึ่งจะไม่รู้สึกตัว และออกจากประสบการณ์ในความรักของพระเจ้า เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระองค์ (ยูดา 20-21)

  • เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าคน ๆ หนึ่งได้ปฏิเสธพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่เคยทำให้พระองค์ละความเอาพระทัยใส่ (9:28-31)

  • เป็นไปไม่ได้ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์จะไม่มีวันขาดจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เพราะพระเจ้าสัญญากับพระองค์เองว่า จะนำผู้นั้นไปถึงสภาพที่ดีสมบูรณ์ (โรม 8:35-39)

  • เป็นไปไม่ได้ แม้คริสเตียนที่ไม่เชื่อฟัง ก็ไม่อาจหลีกหนีการเอาใจใส่ด้วยความรักที่พระบิดามีต่อเขาได้ (ฮีบรู 12:5-11)

ขอให้ระลึกอีกครั้งว่า ความรักของพระเจ้าเป็นเพียงบุคลิกหนึ่งของพระองค์เท่านั้น ซึ่งสำแดงออกในวิถีทางที่แตกต่างกันมากมาย และได้รับการตอบสนองที่แตกต่างกันเช่นกัน

จากสิ่งนี้ ขอให้เรามาพิจารณาอีกประเด็นหนึ่ง พระคัมภีร์บ่งไว้อย่างแน่ชัดว่า ความรักจะสูญเสียได้ เราไม่เพียงสามารถเห็นตัวอย่างได้ในพระคัมภีร์เดิม จากความสัมพันธ์ของความรักระหว่างพระเจ้ากับอิสราเอล เช่น โฮเชยา 9:15 แต่เรายังเห็นความสัมพันธ์ของความรักที่พระองค์มีต่อคริสตจักรของพระองค์ที่มีในพันธสัญญาใหม่ด้วย (วิวรณ์ 2:5,14-16,20-23, 3:1-3,15-19)

เราสามารถเห็นได้จากข้อความที่พระคริสต์ตรัสเกี่ยวกับประชากรของพระองค์ (ลูกา 13:34) และยังสามารถเห็นได้จากข้อความที่เขียนโดยผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ เพราะพวกเขาเขียนเนื่องจากได้รับการดลใจ เพื่อสะท้อนท่าทีของพระเจ้า (1โครินธ์ 5:1-5,9-13)

ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดนั้น ปรากฎอยู่ในจดหมาย 7 ฉบับที่มีไปถึงคริสตจักรต่าง ๆ (วิวรณ์ 2-3) อัครทูตยอห์นเป็นผู้ส่งจดหมายเหล่านี้ที่ขึ้นหัวข้อว่า "สถานะของคริสตจักร" ซึ่งพระเจ้าประทานให้ในช่วงปลายศตวรรษแรก จดหมายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเกิดขึ้นในคริสตจักร การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่ไม่ดี และทำให้พระคริสต์บอกกับคริสตจักรในเมืองเลาดีเซีย ว่า พระองค์ไม่อาจทนต่อความไม่เย็นไม่ร้อนของพวกเขาได้ (วิวรณ์ 3:15-16)

นี่ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าจะเลิกรักเขาเหล่านั้นไปเสียทีเดียว แต่กลับตรงกันข้าม ความจริงแล้ว พระองค์ตรัสว่า เพราะพระองค์ยังคงรักพวกเขา พระองค์จึงตักเตือนและตีสอนพวกเขา (วิวรณ์ 3:19) อย่างไรก็ดี ความผูกพันของพระองค์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากพวกเขายโส และเย่อหยิ่งพอใจในตัวเอง และที่แน่นอน คือ พระองค์ไม่ได้ชอบพระทัยที่พวกเขาต้องตกอยู่ในสภาพนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายกำลังขาดความสนิทสนมกัน

ในขณะนี้ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พระเจ้าสัญญาว่าจะนำพาเราไปสู่สภาพที่ดีสมบูรณ์ แต่เรากำลังพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าเห็นว่าดีเหมาะสม ความชื่นชมยินดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมของความรัก เป็นความจริงที่ว่า ความรักไม่ได้หมายความเพียงแค่ความสนิทสนมเท่านั้น แต่ความรักที่สมบูรณ์มีความสนิทสนมอยู่ด้วย ในฐานที่พระเจ้าเป็นบุคคล พระองค์มีอารมณ์ความรู้สึก

อาจารย์เปาโลบอกกับเราว่า อย่าทำให้พระวิญญาณของพระเจ้าเสียพระทัย (เอเฟซัส 4:30) ท่านยังบอกว่าพระเจ้ารักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี (2โครินธ์ 9:7) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าชื่นชมยินดีกับผู้ที่ให้อย่างเต็มใจ มากกว่าผุ้ที่ไม่เต็มใจให้ พระเยซูตรัสข้อหนึ่งที่ว่า "ด้วยเหตุนี้ พระบิดาจึงรักเรา เพราะเราได้สละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก" (ยอห์น 10:17) เห็นได้ชัดว่า พระคริสต์ต้องการให้เรารับรู้ว่าพระบิดามีความรักพิเศษให้กับพระบุตร และพอพระทัยในพระบุตร เพราะพระบุตรนั้นยินยอมที่จะสละพระองค์เองมาเพื่อช่วยเหลือเรา (มัทธิว 3:17, 17:5)

อาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าไม่เหมือนดวงอาทิตย์ ที่ส่องแสงให้กับใคร ๆ อย่างไม่เจาะจง วันแล้ววันเล่า โดยที่เราเองก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรเลย แต่พระองค์เป็นบุคคลที่ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวได้ พระองค์รักสิ่งที่ถูกต้อง และเกลียดชังสิ่งที่ผิด พระเจ้า (ในขณะที่รักและดีต่อทุก ๆ คน) ก็เหมือนกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็มีคนที่พระองค์สนิทสนม พระองค์รักและชอบผู้ที่เปิดใจให้พระองค์ ผู้ที่แสวงหาที่จะทำสิ่งที่ชอบพระทัยพระองค์ ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ผู้ที่พยายามจะเป็นในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เขาเป็น

จากหนังสือ พระเจ้ารักฉันอย่างไร
(How Does God Love Me?)
เขียนโดย มาร์ติน อาร์เดอ ฮานห์
แปลโดย วรินทรา
เรียบเรียงโดย กนกบรรณสาร
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com