คำถาม คำตอบ

วิญญาณคืออะไร ?

ท่านผู้อ่านที่รัก คุณเป็นมนุษย์ที่มีวิญญาณ ก็เพราะคุณมีวิญญาณนี่เอง ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ถ้าไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์

และถ้าเป็นเช่นนั้น วิญญาณของพวกเราเป็นอย่างไรล่ะ ? และหลังจากที่พวกเราตายไปแล้วจะไปที่ไหนล่ะ ?

คำตอบของปัญหานี้ ไม่มีทางที่นักวิทยาศาสตร์จะหาคำตอบได้เลย แต่ว่าพระคัมภีร์ได้บอกพวกเราล่วงหน้าไว้แล้วอย่างชัดเจนว่า วิญญาณของพวกเรานั้นจะไม่มีวันสูญสลายเป็นนิจนิรันดร์ และร่างกายของเรานั้นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น คือ เป็นเพียงห้องหรือบ้านหลังหนึ่ง และวิญญาณของพวกเราก็คือเจ้าของห้องหรือบ้านหลังนั้น

แต่น่าเสียดายว่า ปัจจุบันนี้พวกเราต่างก็ดูแลแต่เปลือกนอกของตัวเอง และละเลยวิญญาณของตัวเองที่เป็นนิจนิรันดร์ ทำให้สูญเสียคุณค่าชีวิตที่แท้จริง และความหมายของชีวิตไป และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะต้องพบกับความพินาศเป็นนิจนิรันดร์

แท้จริงแล้ว ถ้าเราใช้เวลาตั้งมากในการดูแลร่างกายของตัวเองแล้ว เราก็ควรใช้เวลามากเป็นสิบเท่า พร้อมกับทุ่มเทในการไปดูแลวิญญาณของตัวเองจึงจะถูก ก็เพราะว่าวิญญาณนั้นเป็นนิจนิรันดร์ แต่เนื้อหนังเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และถ้าเอาความเป็นนิจนิรันดร์กับระยะเวลาสั้น ๆ มาเปรียบเทียบกันดู จะเห็นว่ามันแตกต่างกันเป็นล้าน ๆ เท่า เพราะฉะนั้น การละเลยจิตวิญญาณของตัวเองจึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจจริง ๆ

เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ให้แก่พวกเรา และมาถูกตรึงตายบนไม้กางเขนก็เพื่อเรา พระองค์กระทำเช่นนี้เพราะอะไร ? นั่นก็เพราะว่าพระองค์ทรงรักวิญญาณของพวกเรา และพระคัมภีร์ได้ขนานนามพ่อของเราบนโลกว่า "บิดาที่ให้กำเนิดทางเนื้อหนัง" แต่ขนานนามพระเจ้าองค์ที่ทรงสร้างสรรพสิ่งว่า "พระบิดาของวิญญาณทั้งปวง" นั่นก็เพราะว่าที่แท้วิญญาณของพวกเรานั้นมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า แต่เพราะมนุษย์ได้กระทำความผิดบาปจนลืมพระเจ้า และทำให้ความรู้สึกทางวิญญาณของพวกเราพบกับความพินาศ จึงได้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์โดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อช่วยเราให้พ้นจากความผิดบาป และเพื่อจะให้พวกเรากลับคืนดีกับพระองค์ ได้เป็นลูกของพระองค์อีกครั้ง และยังได้อยู่กับพระเจ้าเป็นนิจนิรันดร์

นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขที่สุดหรือ ? แล้วทำไมคุณยังจะหลงเข้าใจผิดคิดว่ามนุษย์ไม่มีวิญญาณอยู่อีกเล่า ?

เมื่อหลังจากที่มนุษย์ตายแล้ว จะกลายเป็นผีใช่ไหม ?

ไม่ครับ นี่เป็นแผนการของมารซาตานที่จะหลอกให้คนเชื่อว่า เมื่อคนตายไปแล้วจะกลายเป็นผี คนเลยวางใจในการติดต่อกับผี และเชื่อคำบอกของผีในการไปทำบาป เช่น ทำร้ายตัวเอง จนถึงกับฆ่าตัวตาย และหลังจากตายไปแล้วก็จะต้องไปอยู่กับมันในนรกตลอดไป

เพราะฉนั้น ในโลกนี้มีหลายคนติดต่อกับผี และยังยกตัวเองว่าสามารถที่จะติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วคนนั้นได้ หรือยอมให้ผีเข้าสิงร่าง เพื่อจะตอบคำถามของคนที่ขอมัน แท้จริงแล้วผีสกปรกเหล่านี้ ได้ยืมเสียง ท่าทางของคนที่ตายแล้วมาหลอกคนเพื่อให้คนเชื่อมัน และถึงขั้นที่จะมอมเมา จนไม่มีทางที่จะหาพระเจ้าเที่ยงแท้ได้ ในที่สุดเขาจะต้องทำตามมัน และจะต้องตายในความบาป และอาศัยอยู่กับมันในนรกเป็นนิจนิรันดร์

แท้จริงแล้ว ตามที่พระเยซูได้เล่าเรื่อง "เศรษฐีกับขอทานลาซารัส" (ลูกา 16:19-31) หลังจากที่เศรษฐีตายไปแล้ว ก็ถูกวางไว้ในแดนคนตาย ในฝั่งที่เต็มไปด้วยไฟ และแสนทุกข์ทรมาน และถึงแม้เขาจะคิดถึงพี่น้องของเขาอีก 5 คนที่ชอบทำความผิดบาปอยู่เสมอ และไม่ยอมเชื่อว่าตายไปแล้วมีการพิพากษาก็ตาม เขาก็ไม่สามารถไปบอกพวกเขาได้เลย เขาทำได้แต่เพียงขอร้องให้อับราฮัมช่วยส่งลาซารัสให้ขึ้นไปบอกพวกเขา เพราะเขารู้ดีว่า คนบาปตายไปแล้วไม่สามารถที่จะมาปรากฎตัวบนโลกได้อีกเลย มีเพียงแต่การฟื้นจากความตายเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ แต่อับราฮัมได้ปฏิเสธคำขอร้องของเรา และได้ชี้ให้เห็นว่าเขามีพระคัมภีร์ และผู้รับใช้พระเจ้าในการที่จะบอกทางให้พวกเขาอย่างเพียงพอแล้ว

หรืออาจจะถามว่า ในเมื่อหลังจากความตายไปแล้วไม่สามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้อีก ถ้าเช่นนั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับผีในที่ต่าง ๆ ของโลก มันเป็นอย่างไรกันแน่ ?

ตามที่มีคำอธิบายในพระคัมภีร์ ได้บอกไว้ว่า ผีในโลกทั้งหมด ต่างก็เป็น "พวกฑูตสวรรค์ที่ทำบาป" (2เปโตร 2:4) "ฑูตสวรรค์ที่ละทิ้งถิ่นฐานอันเหมาะสม" (ยูดา 6) พวกมันนั้นได้เคยรับใช้พระเจ้าบนสวรรค์ ต่อมาตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเจ้า จึงถูกพระเจ้าขับไล่ไป และพวกมันคิดจะทำลายกิจการของพระเจ้าโดยการหลอกลวง มอมเมา และวิธีการต่าง ๆ มากมายในการที่จะดึงคนให้หนีห่างจากพระเจ้า และมันได้ก่อตั้งศาสนาเทียมเท็จ และพระเจ้าปลอมแปลงต่าง ๆ ในการมาควบคุมจิตใจมนุษย์

แต่เมื่อพระเยซูได้ทำลายอำนาจของมันโดยการตายของพระองค์แล้ว พวกมันก็ไม่มีวิธีที่จะทำร้ายคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูได้เลย แต่คนเหล่านั้นที่ไม่ยอมเชื่อพระองค์ และกลับคิดว่าคนเราตายไปแล้วก็จะกลายเป็นผี ก็เลยถูกมอมเมาอยู่โดยไม่รู้ตัว

คนที่เชื่อพระเยซูนั้นไม่ไหว้บรรพบุรุษ ไม่กตัญญู ใช่หรือไม่ ?

พระคัมภีร์เน้นมาก ก็คือ เรื่องที่ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ และนี่ก็เป็น 1 ในบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้า โดย 4 ข้อแรกนั้นพูดถึงพระเจ้า และ 6 ข้อหลังนั้นพูดถึงคน ท่ามกลาง 6 ข้อหลังนั้น ข้อที่กตัญญูพ่อแม่นั้น อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด และพระคัมภีร์ยังได้บอกว่า คนที่ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ และกลับแช่งด่าพ่อแม่ ต้องโดนก้อนหินขว้างจนถึงตาย (เลวีนิติ 20:9) เพราะฉะนั้น ศาสนาคริสเตียน ให้ความสำคัญกับการกตัญญูต่อพ่อแม่มาก

แต่วิธีการที่เรากตัญญูต่อพ่อแม่นั้น ไม่ได้หมายความว่า รอพวกเขาตายไปแล้วกราบไหว้พวกเขาเหมือนกับผู้วิเศษ เพราะถ้าหากตอนที่พ่อแม่มีชีวิตอยู่ ไม่กตัญญู ตายแล้วมากราบไหว้ นั่นเป็นการหลอกลวงตนเอง และหลอกลวงพ่อแม่ และไม่ว่าศาสนาพุทธ หรือศาสนาคริสต์ อิสลาม หรือศาสนาใด ๆ ก็ตาม ต่างก็ไม่เชื่อว่าคนตายไปแล้วจะมีฤทธิ์เป็นผู้วิเศษ การที่ลูกหลานไปไหว้นั้น เป็นเพียงประเพณีที่สืบทอดกันมาเท่านั้น

คุณลองคิดดูซิ การที่พ่อแม่หลายคน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำความชั่วไว้มากมาย ตายไปแล้วกลายเป็นผู้วิเศษ สามารถที่จะคุ้มครองและประทานพรให้แก่ลูกหลานได้นั้น มันสมควรหรือไม่ ?

และถึงแม้คริสเตียนจะไม่กราบไว้บรรพบุรุษ แต่เราก็มีพิธีที่จะระลึกและแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างดีที่สุด นั่นคือ ทุกครั้งที่เราไปทำความสะอาดหลุมฝังศพนั้น เราก็นำดอกไม้ไปวาง และอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า และก็จะระลึกถึงคำสั่งสอนของพ่อแม่ และเล่าเรื่องการต่อสู้ของพ่อแม่เราให้แก่ลูกหลานฟัง และการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการกตัญญูต่อพ่อแม่หรือ ? ทำไมต้องใช้การจุดธูปเทียนไหว้จึงจะนับว่ากตัญญูด้วยเล่า ? (บางคนใจไม่ได้ระลึกถึงพ่อแม่แม้แต่นิดเดียว)

เพราะฉะนั้น การกตัญญูพ่อแม่ที่จริงนั้น มันขึ้นอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพิธีกรรม

นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหน แดนคนตายและเมืองบรมสุขเกษมนั้นเป็นสถานที่อย่างไร ?

คนที่ถามปัญหาเช่นนี้ เพราะตามความคิดของเขา เขาคิดว่าในจักรวาลนี้ไม่มีทางหาสถานที่ที่เรียกว่า สวรรค์ หรือนรก ได้อย่างแน่นอน สุดท้ายจึงไม่ยอมเชื่อว่านรกสวรรค์นั้นมีอยู่จริง

แท้จริงแล้ว ความคิดนี้ไร้เดียงสาจริง ๆ เรพาะประการแรก มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับจักรวาลนี้น้อยมากจริง ๆ ถ้าหากพระเจ้าบอกว่าสวรรค์ นรกนั้นอยู่ในดาวดวงหนึ่งในกาแลคซีอันใดอันหนึ่งแล้ว พวกเราจะมีทางพิสูจน์ได้อย่างไรล่ะว่ามีจริง

แท้จริงแล้วที่เรียกว่าสวรรค์ นรกนั้น เป็นสถานที่ที่พระเจ้าสร้างไว้สำหรับลงโทษมนุษย์หรือฑูตสวรรค์ที่ตกต่ำ (คือได้ใช้อิสระในการเลือกในทางที่ผิด) ขอเพียงแต่มีพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรม ก็จะต้องมีนรก และสวรรค์อยู่อย่างแน่นอน

ก็เหมือนกับคนที่ทำผิดกฎหมาย เขาไม่จำเป็นต้องถามว่า "คุกอยุ่ที่ไหน" ขอเพียงแค่มีศาลยุติธรรมอยู่เท่านั้น ก็จะมีคุกเตรียมไว้ให้เขาอย่างแน่นอน (เพราะถ้าไม่เช่นนั้น หลังจากศาลตัดสินแล้ว นักโทษจะอยู่ที่ไหน)

เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า เมื่อคนที่ทำบาปตายไปแล้ว พวกเขาจะต้องไปอยู่สถานที่ที่หนึ่ง ที่เรียกว่า "แดนคนตาย" ที่นั่นเต็มไปด้วยไฟ และมีแต่ความทุกข์ทรมาน แต่ที่นั่นเป็นเพียง "ที่กักขัง" ชั่วคราวเท่านั้น รอจนถึงวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษามนุษย์ (คือวันสุดท้ายของโลก) บรรดาคนบาปทุกคนจะฟื้นขึ้นมาใหม่ และจะต้องเผชิญกับการพิพากษาของพระเจ้า และเมื่อถึงเวลานั้น คนที่ทำบาปจะถูกกำหนดโทษ แล้วแต่การกระทำของเขาว่าหนักหรือเบา และหลังจากนั้นก็จะถูกทิ้งลงไปในนรก รับความทุกข์ทรมานนิจนิรันดร์

และเมื่อพูดถึงสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า หลังจากที่พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั้นได้ตายลง ก็จะไปที่ที่หนึ่ง ที่เรียกว่า "เมืองบรมสุขเกษม" ที่นั่นก็คือที่ที่พระเยซูทรงประทับอยู่ และพระเยซูยังทรงจัดเตรียมเมืองใหม่ให้แก่เรา เมืองนี้ชื่อ "กรุงเยรูซาเล็มใหม่" เมืองนี้ก็คือเมืองสวรรค์ และในอนาคตบรรดาคนที่เชื่อพระเยซูและได้รับความรอด พวกเขาจะฟื้นจากความตาย หลังจากนั้นก็จะเข้าสวรรค์พร้อมกัน และอาศัยอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจนิรันดร์

พระเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ทำไมพระองค์จึงมีสิทธิ์ที่จะพิพากษาฉัน ?

ถ้าหากพระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตในดวงดาวอื่น พระองค์ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเรา พระองค์ก็ไปตามทางของพระองค์ เราก็ดำเนินตามทางของเรา ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกัน พระองค์ไม่จำเป็นต้องมาดูแล หรือมามีสิทธิ์ที่จะพิพากษาพวกเราเลย

แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างพวกเราทุกคนขึ้นมา และพระองค์ก็ทรงเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และจักรวาลนี้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พระองค์จะต้องทรงมีเป้าหมาย และมาตรฐานของพระองค์ในการทรงสร้างพวกเรา และแน่นอน พระองค์ก็มีสิทธิ์ที่จะพิพากษาพวกเราด้วย

ก็เหมือนกับว่า ถ้าเราเป็นเจ้าของโรงงานวิทยุ เมื่อเราสร้างวิทยุขึ้นมา เราก็มีมาตรฐานในการสร้างวิทยุให้ได้ตามที่เราต้องการและตามความพอใจของเรา แต่ถ้ามีวิทยุเครื่องไหนมันดันไม่ได้ตามมาตรฐานที่พวกเรากำหนดไว้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะ "ซ่อมแซม" หรือ "ทำลาย" มันได้อย่างแน่นอน

ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเรา ก็เป็นเหมือนเช่นนี้แหละ พวกเราที่เป็นมนุษย์ ได้ทำความผิดบาปต่อพระเจ้า ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ การดำเนินชีวิตไม่ได้ตามมาตรฐานของพระองค์ที่ได้ทรงวางไว้ ทำให้พระสิริของพระเจ้าเสื่อมไป และทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นมลทิน แล้วเช่นนั้นพระองค์จะไม่มีสิทธิ์ในการพิพากษาพวกเราหรือ

เหตุใดพวกเราคริสเตียนจึงไม่กราบไหว้ศพ ?

พระคัมภีร์ได้ย้ำหลายตอนว่า "จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า" และ "ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัว (รวมทั้งพ่อและแม่) ผู้นั้นก็ชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อพระเจ้าเสียอีก" (1ทิโมธี 5:8)

จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทำให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์ให้พวกเราที่เป็นคริสเตียน ดูแลให้เกียรติในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด และการเลี้ยงดูพ่อแม่ของคริสเตียนนั้น ไม่ใช่หมายความว่า พ่อแม่อยากกินอะไรก็ซื้อให้กิน พ่อแม่อยากเที่ยวที่ไหนก็พาไป พ่อแม่ไม่มีเงินก็ให้เงินพ่อแม่ใช้ นี่ไม่ใช่การเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ของคริสเตียน เพราะถ้าเช่นนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ที่อยากกินอะไรก็หาให้มันกิน พามันไปเดินเล่น อาบน้ำให้มัน กอดจูบมัน เวลาอารมณ์ดีก็จับมันมากอดจูบ เวลาอารมณ์เสียก็เตะตีมัน

แต่การเลี้ยงดูพ่อแม่ของคริสเตียนนั้น จะไม่เพียงแต่ดูแลพ่อแม่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงการให้เกียรติแก่ท่าน ไม่ตะคอกท่านเสียงดัง ๆ ไม่ใช้สายตาขมึงถึงต่อพ่อแม่ ไม่ทุ่มเถียงพ่อแม่ มีความสุภาพอ่อนน้อมต่อพ่อแม่ มีอะไรก็ปรึกษาพ่อแม่ จะทำอะไรก็นึกถึงพ่อแม่ นี่จึงจะเป็นการกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริง

และเมื่อเวลาที่พ่อแม่จากโลกนี้ไป เราก็จัดงานศพ และทำการฝังศพของท่านให้เรียบร้อย ในงานศพนั้นเราก็มีการจัดพิธีไว้อาลัยโดยสงบ อธิษฐานต่อพระเจ้า และใช้งานศพของท่านในการเตือนคนที่ยังอยู่ข้างหลังโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า ให้เขาระลึกถึงชีวิตของตน และสำหรับญาติพี่น้องของผู้ตาย พระวจนะของพระเจ้าก็จะทำให้พวกเขาจะได้รับการปลอดประโลม และสันติสุขจากพระเจ้าในยามที่ต้องพบกับการพลัดพรากจากคนที่พวกเขารัก

ส่วนว่า ทำไมพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กราบไหว้ศพนั้น ก็เพราะพวกเราเน้นที่จิตใจภายในของผู้ที่มาร่วมงานศพ (เราเชื่อว่าการมีใจจริงในการมาร่วมระลึกถึงผู้ตาย ก็ดีกว่ามาให้เกียรติผู้ตายโดยการเคารพแต่เพียงพิธี หลังจากนั้นก็กินเหล้า เล่นการพนัน)

วิธีที่เราจัดงานศพ ก็คือ จัดช่อดอกไม้ และจัดบริเวณงานศพให้สวยงาม สะอาดเรียบร้อย เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ตาย (พวกเราจะไม่ลวก ๆ สกปรก หรือยังไงก็ได้เป็นอันขาด) หลังจากนั้นเราก็จะสงบใจหรือยืนไว้อาลัยแก่ผู้ตาย และกล่าวถึงชีวประวัติของผู้ตายและขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงรับเขากลับบ้าน (ในกรณีผู้ตายเป็นคริสเตียน) และนี่ก็เป็นการจัดงานศพและไว้อาลัยแก่ผู้ตายของพวกเราที่เป็นคริสเตียน

(แท้จริงแล้ว ถ้าเราถามตัวเราเองดูว่า เราอยากให้ลูกหลานของเรา หรือเพื่อนพ้องของเราทำดีต่อเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว จึงค่อยมาทำ และให้เกียรติ)

ไว้วันหลังหรือก่อนตายค่อยเชื่อพระเยซูได้ไหม ?

ได้ครับ ขอเพียงแต่คุณยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น คุณก็ยังมีโอกาสเชื่อพระเยซูได้

แต่ทว่าประสบการณ์ได้บอกพวกเราว่า ถ้าคุณรอวันหลังค่อยเชื่อ บางทีคุณอาจจะไม่มีโอกาสที่จะตัดสินใจเชื่อก็อาจเป็นได้ เพราะ

  1. ถ้าคุณทิ้งช่วงเวลาที่จะตัดสินใจตอนนี้ และคิดว่าวันหลังค่อยว่ากันใหม่แล้ว เมื่อคุณวางหนังสือเล่มนี้ลง และทำงานในอาชีพของคุณต่อไป คุณก็จะต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ในที่สุดสภาพแวดล้อมก็ทำให้จิตใจที่อยากจะเชื่อพระเยซูของคุณค่อย ๆ จางลง และมารซาตานก็ฉวยโอกาสตอนที่สภาพจิตใจของคุณกำลังเปลี่ยนไปนั้น มันก็จะบอกคุณหลายอย่าง จนทำให้คุณหมดความเชื่อลง ส่วนมากคำพูดที่มันมักจะใช้ก็คือ "การเชื่อพระเยซูยุ่งยากจริง ๆ" "เดี๋ยวคนอื่นก็หัวเราะเยาะ" "เฮ้ย อย่าไปเชื่อ เดี๋ยวไม่มีคนคบหรอก" "บ้าเหรอ ไปเชื่อพระเยซู" เป้นต้น และคุณก็ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านเสียงกระซิบเหล่านี้ของมัน ในที่สุดการอยากตัดสินใจเชื่อของคุณก็ยืดออกไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด

  2. คุณควรจะเข้าใจอย่างหนึ่ง ก็คือ คุณไม่ทราบเลยว่า อีก 5 นาทีข้างหน้าจะมีอะไรบ้างเกิดขึ้นกับคุณ อุบัติเหตุที่อยู่ข้างหน้าคุณนั้น มันพร้อมที่จะอุบัติขึ้นได้ทุกเมื่อ มีหลายคนที่บอกว่าวันหลังค่อยเชื่อพระเยซู แต่ก็ถูกรถชนตายไปก่อน เขาไม่มีวันหลังที่ให้เขาเชื่อแล้ว ผมขอถามคุณหน่อยเถิดว่า คุณสามารถที่จะควบคุมวันพรุ่งนี้ได้หรือ คุณคิดว่าคุณจะยังคงแข็งแรงเหมือนกับวันนี้หรือ คุณมั่นใจหรือว่า "พรุ่งนี้คุณจะไม่พบอุบัติเหตุ"

  3. ถ้าหากวันนี้คุณได้เข้าใจผลดีของการเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว และก็รู้อีกว่าวันนี้คุณสามารถพึ่งพระองค์ที่จะรอดพ้นจากความบาปและความตายในนรกแล้ว ทำไมจะต้องรอถึงวันหลังล่ะ หากวันนี้มีนักโทษคนหนึ่งที่ถูกจำคุกอยู่ วันหนึ่งพอรู้ว่าในหลวงทรงมีพระราชสารอภัยโทษให้ไปรับด่วน คุณคิดว่านักโทษคนนั้นจะรอวันหลังหรือ ไม่มีทาง เขาจะรีบไปรับสารนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด หรือคุณว่าไม่จริง

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ คุณพร้อมแล้วหรือ?

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com