ต่อพระพักตร์
บทสนทนา
4

เขาคุยกับผมบ่อยครั้ง โดยเปิดใจกว้างถึงวิธีการเข้าเฝ้าพระเจ้าของเขา ซึ่งเราได้กล่าวไปแล้วบ้าง

เขาบอกผมว่า "สิ่งเดียวที่จำเป็น คือ การเต็มใจละทุกสิ่งที่เราสำนึกได้ว่าไม่อาจนำไปสู่พระเจ้าอย่างเด็ดขาด เราควรเคยชินกับการสนทนากับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ มีเสรีภาพและเรียบง่าย โดยเพียงแต่ตระหนักว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ใกล้ชิดกับเรา พูดกับพระองค์ทุกวินาทีเพื่อทูลขอให้ทรงช่วยเหลือเราให้รู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ในสิ่งที่ไม่แน่ใจ และเพื่อเราจะปฏิบัติอย่างถูกต้องต่อสิ่งที่ปรากฎชัดว่าทรงประสงค์ให้เราทำ และขอบพระคุณพระองค์เมื่อทำเสร็จแล้ว

ในการสนทนากับพระเจ้านี้ เราจะทั้งสรรเสริญเทิดทูนบูชา และรักพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะคุณความดีและความสมบูรณ์แบบอันไม่จำกัดของพระองค์

เราไม่ควรย่อท้อเพราะความบาปผิดของเรา แต่ควรทูลขอพระคุณของพระองค์ด้วยความมั่นใจเต็มที่ โดยพึ่งพาอาศัยพระคุณอันเหลือล้นแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระเจ้าจะทรงยื่นพระคุณให้แก่กิจการแต่ละอย่างของเราอย่างไม่ขาดเลย เขารู้แจ้งเห็นจริงถึงสิ่งนี้อย่างชัดเจน และไม่เคยผิดหวัง เว้นเสียแต่เมื่อความคิดของเขาได้ล่องลอยไปจากการสำนึกถึงการอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า หรือได้ลืมขอความช่วยเหลือจากพระองค์

พระเจ้าทรงให้ความกระจ่างเสมอเมื่อเรามีข้อสงสัย ในขณะที่เราไม่มีจุดประสงค์อื่นใด เว้นแต่เพื่อให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์

การรับการชำระให้เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงการกระทำของเรา แต่ขึ้นอยู่กับการทำสิ่งนั้นเพื่อพระเจ้า ขณะที่ปกติแล้วเราจะทำเพื่อตนเอง น่าสลดใจที่เห็นคนจำนวนมากสำคัญผิดว่าวิธีการคือจุดมุ่งหมาย โดยทำให้ตัวเองติดอยู่กับศาสนกิจบางอย่างด้วยเหตุผลของมนาย์และการเห็นแก่ตัวเอง แถมยังทำศาสนกิจเหล่านั้นแบบขอไปที

วิธีดีเยี่ยมที่สุดในการเข้าเฝ้าพระเจ้า คือ การประกอบธุรกิจธรรมดาโดยไม่ใช่เพื่อที่จะเอาใจมนุษย์ แต่ (เท่าที่เราสามารถทำได้) ล้วนทำเพราะความรักที่มีต่อพระเจ้า"

"บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ ข้าพเจ้าทำให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามิใช่หรือ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์" (กาลาเทีย 1:10)

"5 ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนที่กระทำแก่พระคริสต์

6 ไม่เหมือนอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนที่ทำให้ชอบใจคน แต่จงทำเหมือนอย่างทาสของพระคริสต์ คือกระทำตามชอบพระทัยพระเจ้าด้วยความเต็มใจ" (เอเฟซัส 5:5-6)

"เป็นการหลงผิดอย่างมากที่คิดว่าเวลาแห่งการอธิษฐานควรต่างจากช่วงเวลาอื่น เราจำเป็นต้องติดสนิทกับพระเจ้าอย่างเคร่งครัดในขณะทำกิจกรรม เท่า ๆ กับที่ติดสนิทกับพระองค์ขณะอธิษฐาน"

การอธิษฐานของเขาเพียงประกอบด้วยความรู้สึกว่า พระเจ้าทรงอยู่ใกล้นั่นเอง โดยจิตใจของเขาไม่สำนึกถึงอะไรอื่นทั้งสิ้น นอกจากความรักของพระองค์ เมื่อเวลาแห่งการอธิษฐานที่กำหนดไว้ได้ผ่านไปแล้ว เขาไม่รู้สึกถึงความแตกต่างอะไรเลย เพราะเขายังคงอยู่จำเพาะพระพักตร์ต่อไป และโมทนาพระคุณของพระองค์โดยสุดกำลัง ดังนั้น เขาจึงใช้ชีวิตโดยมีความสุขสำราญเสมอไป แต่ยังหวังว่าพระเจ้าจะทรงให้เขาทนทุกข์บ้าง เมื่อเขาเข้มแข็งขึ้นแล้ว

"เราควรตัดสินใจแน่วแน่สักครั้งหนึ่งที่จะไว้วางใจในพระเจ้าอย่างเด็ดขาด และยอมจำนนทั้งสิ้นต่อพระองค์ โดยมั่นใจว่าพระองค์จะไม่ทรงหลอกลวงเรา

เราไม่ควรอ่อนใจในการทำสิ่งเล็กน้อย เพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าผู้มิได้ใส่พระทัยในความยิ่งใหญ่ของงาน ทว่าใส่พระทัยต่อการกระทำด้วยความรักที่เรามีต่อพระองค์ เราไม่ควรแปลกใจถ้าในตอนแรกความพยายามของเราไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ในที่สุดเราจะได้นิสัยใหม่ ซึ่งจะเกิดผลภายในเราอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่ต้องคอยระวังซึ่งจะก่อความยินดีอย่างเหลือล้นขึ้นในใจเรา

แก่นแท้ของศาสนาประกอบด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรัก การทำตามสามสิ่งนี้ทำให้เรากลายเป็นอันหนึ่งอันเดียงวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า นอกจากนี้แล้ว สิ่งอื่น ๆ ไม่สำคัญเลย เพียงแต่ใช้เป็นวิธีการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายของเรา และในที่สุดเราก็จะถูกสวมทับด้วยความเชื่อและความรัก

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับผู้เชื่อ ไม่ยากนักสำหรับผู้มีความหวัง และง่ายขึ้นสำหรับผู้มีความรัก และง่ายขึ้นไปอีกสำหรับผู้มีความเพียรพยายามในการปฏิบัติตามคุณธรรมทั้งสามอย่างนี้

ในที่สุดเราควรตั้งเป้าว่า เราจะกลายเป็นผู้นมัสการพระเจ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในชีวิตนี้ เช่นเดียวกับที่เราหวังว่าจะเป็นไปตลอดชั่วนิรันดร์

เมื่อเราเริ่มต้นชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราควรพิจารณาและสำรวจว่าเราเป็นคนอย่างไร โดยเจาะลึกลงไปในใจของเรา แล้วจะพบว่าตัวเราสมควรถูกดูถูกดูหมิ่นทุกด้าน และแท้จริงแล้วไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนเลย เรามักตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากทุกอย่าง และอุบัติเหตุนับไม่ถ้วน ซึ่งรบกวนเรา และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในด้านสุขภาพ อารมณ์ อุปนิสัย และปฏิกิริยาต่าง ๆ ของเรา กล่าวสั้น ๆ ได้ว่า เป็นคนที่พระเจ้าทรงประสงค์จะทำให้ถ่อมใจลงด้วยความเจ็บปวด และตรากตรำทั้งภายในจิตใจและร่างกายภายนอก หลังจากนี้เราไม่ควรแปลกใจเลยที่มีปัญหา การทดลอง การต่อต้าน และการขัดแย้งเกิดขึ้นกับเราจากน้ำมือมนุษย์ ตรงกันข้าม เราควรยอมอยู่ใต้สิ่งเหล่านี้ และสู้ทนกับมัน ตราบเท่าที่พระเจ้าจะทรงพอพระทัย โดยถือว่ามันมีประโยชน์เหลือล้นสำหรับเรา

ยิ่งจิตใจของผู้ใดแสวงหาที่จะเป็นคนดีพร้อมสมบูรณ์แบบ เขายิ่งต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้า"

คนหนึ่งในสำนักเดียวกัน (ซึ่งเป็นคนที่เขาจำเป็นต้องเปิดใจให้) ถามเขาว่า เขาบรรลุถึงการสำนึกตัวที่จะอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีใด ? เขาเล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในสำนักพรต เขาได้ตั้งให้พระเจ้าเป็นเป้าหมายของความคิดและความปรารถนาทั้งมวลของเขา คือ ดุจดังว่าความคิดความปรารถนานั้น ควรมุ่งไปสู่และจบลงที่พระเจ้า โดยไม่หันเหไปในทางอื่นใด

ในตอนเริ่มต้นของการเข้ามาทดลองดูใหม่ ๆ เขาได้ใช้ชั่วโมงที่กำหนดไว้สำหรับการอธิษฐานส่วนตัวในการใคร่ครวญถึงพระเจ้า เพื่อก่อให้เกิดความแน่ใจว่ามีพระเจ้า และเพื่อหัวใจจะดื่มด่ำกับความจริงนี้อย่างลึกซึ้ง โดยเทิดทูนบูชาพระองค์และจำนนต่อความกระจ่างที่มาจากความเชื่อ แทนที่จะแสวงหาด้วยเหตุผล หรือการภาวนาอันสลับซับซ้อน เขาใช้วิธีสั้น ๆ และแน่นอนนี้เพื่อฝึกตัวเองให้รู้จักและรักพระเจ้า โดยตั้งใจที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการดำเนินชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ และถ้าเป็นไปได้ จะไม่มีวันลืมพระองค์อีกเลย

เมื่อเขาได้ทำให้ความคิดเต็มไปด้วยความรู้สึกยิ่งใหญ่ถึงพระผุ้ไม่มีขีดจำกัดนี้ด้วยการอธิษฐานแล้ว เขาก็ไปรับผิดชอบหน้าที่ในครัวตามที่ทางสำนักกำหนดให้ (เพราะเขาเป็นพ่อครัวของสำนัก) หลังจากพิจารณาหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบทีละอย่าง และดูว่าควรทำสิ่งไหนเมื่อไรและอย่างไร เขาก็ใช้ช่วงเวลาอื่น ๆ รวมทั้งก่อนและหลังการทำงานในการอธิษฐาน

เมื่อเขาเริ่มทำธุรกิจการงานของเขา เขาจะทูลต่อพระเจ้าอย่างลูกที่ไว้วางใจในพ่อว่า "โอ ข้าแต่พระเจ้า ผู้สถิตอยู่กับข้าพระองค์ บัดนี้ ข้าพระองค์ต้องเชื่อฟังพระองค์โดยใช้ความคิดทำกิจการงานเหล่านี้ ข้าพระองค์จึงทูลขอให้พระองค์ทรงประทานพระคุณที่จะดำรงต่อไปจำเพาะพระพักตร์ และเพื่อการนี้ ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ ทรงยอมรับการงานทั้งหมดของข้าพระองค์ และเป็นผู้ที่รับความรักทั้งหมดของข้าพระองค์"

ขณะทำหน้าที่การงาน เขายังสนทนาต่อไปอย่างสนิทสนมกับองค์พระผู้สร้างของเขา โดยอ้อนวอนขอพระคุณและถวายกิจการทั้งหมดแด่พระองค์

เมื่อทำงานเสร็จแล้ว เขาจะพิจารณาว่าตัวเองได้ทำหน้าที่ไปอย่างไรบ้าง ถ้าพบว่าทำได้ดี เขาก็จะขอบพระคุณพระเจ้า แต่ถ้าไม่ เขาจะขอการอภัยโทษและตั้งใจใหม่โดยไม่ย่อท้อง และฝึกตัวในการอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าต่อไป เสมือนว่าไม่เคยหันเหออกไปจากสภาพนั้นเลย "ด้วยวิธีนี้" เขาบอก "โดยการลุกขึ้นหลังจากล้มลง โดยการอุทิศตัวใหม่ด้วยความเชื่อและความรักบ่อย ๆ ผมมาถึงขั้นที่รู้สึกว่า การไม่คิดถึงพระเจ้าเป็นสิ่งยากยิ่งเท่า ๆ กับการเรียนรู้ที่จะจดจ่ออยู่กับพระองค์จนเป็นนิสัยอย่างในตอนแรกนั้น"

เมื่อบราเธอร์ลอเร็นซ์พบว่า การดำเนินชีวิตต่อพระพักตร์พระเจ้ามีประโยชน์มากเช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะมีใจร้อนรนในการชักชวนให้คนอื่น ๆ ทำด้วย แต่แบบอย่างจากชีวิตของเขา จูงใจได้ดียิ่งกว่าเหตุผลใด ๆ ทั้งใบหน้าของเขายังมีอิทธิพลในการสร้างสรรค์ เพราะแสดงถึงความรักอันอ่อนหวานและสงบ ซึ่งอดมิได้ที่จะมีผลต่อผู้พบเห็น และคนอื่นสังเกตว่า ในท่ามกลางความเร่งรีบอย่างที่สุดของธุรกิจงานครัว เขายังรักษาจิตใจอันสงบ และความคิดที่ฝักใฝ่สวรรค์ไว้ได้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่ไม่รีบร้อน ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนเฉื่อยแฉะ แต่ทำทุกสิ่งตามจังหวะ ด้วยอารมณ์ที่คงเส้นคงวา และใจที่สงบ

"สำหรับผมแล้ว" เขาบอก "เวลาทำธุรกิจการงานหาได้ต่างจากเวลาอธิษฐานไม่ ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กช้งเช้งในครัว ขณะที่คนนั้นขอไอ้นี่ คนนี้ขอไอ้โน่น ผมสัมผัสพระเจ้าได้ด้วยใจสงบ ดุจเดียวกับตอนคุกเข่าในพิธีมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์"

Nicholas Herman of Lorraine (Brother Lawrence)
จากหนังสือ ต่อพระพักตร์ (The Practice of The Presence of God)
แปลโดย พ.ญ. เออร์ซูลา โลเวนธอล
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com