มัทธิว 10

(29/02/2008)

พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคน, พระเยซูทรงใช้อัครทูตสิบสองคนออกสั่งสอน

หลังจากที่พระเยซูทรงสำแดงการอัศจรรย์แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงสอนสาวก ว่า ที่พระองค์ทรงสำแดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ นั้น เพราะพระองค์ทรงสงสารคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระองค์ เพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะไม่มีผู้เลี้ยง รวมทั้งได้สอนสาวกว่า ทุ่งนาเหลืองอร่าม แต่พระองค์ก็ทรงรอผู้ที่จะมาเก็บเกี่ยว

หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ทรงเรียกสาวกทันทีในมัทธิวบทที่ 10 และจากพระธรรมบทนี้ ทำให้เราทราบว่า พระองค์ได้ทรงวางแผนการสำหรับเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งพระองค์ก็ได้ทรงเตือนสาวกถึงสิ่งที่เขาจะต้องพบเจอ

แม้ว่าในบางครั้ง จะดูว่าน่ากลัว เหมือนพระองค์ทรงกำหนดให้ใครต้องพินาศ แต่เราจะต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งมาอย่างสวยงาม แต่เพราะความผิดบาปของมนุษย์ มนุษย์จึงต้องรับผลของความบาป และเพราะมนุษย์เป็นคนบาป ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องพินาศด้วยความบาปนั้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องลงมาช่วยมนุษย์ก็ได้ แต่เพราะความรัก พระองค์จึงต้องทรงยอมมารับสภาพมนุษย์ ยอมทนทุกข์ทรมาน เพื่อตายไถ่บาปแก่มนุษย์

การทรงกำหนดของพระองค์ ตั้งแต่ทรงสร้างโลกนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี พระเจ้าทรงรู้จักมวลมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงทราบดีว่าใครจะเป็นอย่างไร และพระองค์ก็ทรงกระทำให้ทุกสิ่งเป็นผลให้แผนการของพระองค์สำเร็จ แม้เราอาจจะคิดว่า ทำไมพระองค์ทรงไม่ทำลายมารเสียตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นเพราะพระองค์ก็ได้ทรงใช้มารในการพิสูจน์ประชากรของพระองค์ พิสูจน์ว่าใครจะเป็นผู้ที่จะเป็นสาวกของพระองค์ เพื่อให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ และพระองค์ก็ได้ทรงใช้มารนั่นเอง ที่จะทำให้พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อให้แผนการของพระองค์ ในการช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นจากบาปได้

พระองค์ทรงเป็นอัลฟา และโอเมกา พระองค์ทรงอยู่เหนือกาลเวลา พระองค์ทรงสัพพัญญู ทรงทราบทุกสิ่ง ดังนั้น เราจะต้องมีความเชื่อมั่นในพระองค์ ถึงความยุติธรรมของพระองค์ เป็นความล้ำลึก

"19 แล้วท่านก็จะกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า 'ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระองค์จึงยังทรงติเตียน เพราะว่าผู้ใดจะขัดขืนพระทัยของพระองค์ได้'

20 แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า 'ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้'

21 ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิที่จะเอาดินก้อนเดียวกัน มาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ

22 แล้วถ้าโดยทรงประสงค์จะสำแดงการลงพระอาชญา และทรงให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ปรากฏ พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านานต่อผู้เหล่านั้น ที่เป็นภาชนะอันสมควรแก่พระอาชญา ซึ่งเตรียมไว้สำหรับความพินาศ

23 เพื่อจะได้ทรงสำแดงพระสิริอันอุดมของพระองค์ แก่บรรดาผู้ที่เป็นภาชนะแห่งพระเมตตา ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ก่อนให้สมกับศักดิ์ศรี

24 คือเราทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเรียกมาแล้ว มิใช่จากยิวพวกเดียว แต่จากพวกต่างชาติด้วย" (โรม 9:19-24)

เราคงจะไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าได้ทั้งหมดในเวลานี้ แต่เราจะต้องเชื่อและวางใจในพระองค์ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะต้องเข้าสู่ความพินาศอย่างแน่นอน และเมื่อเราอยู่ด้านพระเมตตาและพระคุณของพระองค์แล้ว เราจะต้องรักษาทางนั้นให้ดี เพื่อเราจะไม่ต้องเกรงกลัวพระอาชญา เราจะต้องมีสติปัญญาให้ดี และปัญญาในที่นี้ ไม่ใช่ปัญญาทางโลก แต่เป็นสติปัญญาที่ได้จาก "ความยำเกรงพระเจ้า" ซึ่งจะนำไปสู่ทางรอดในที่สุด เป็นสติปัญญาที่นำเราให้พ้นจากความพินาศ

"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์ เป็นความรอบรู้" (สุภาษิต 9:10)

พระเยซูจึงได้ทรงสั่งสอนสาวกว่า ถ้าผู้ใดที่ไม่รับสาวก เขาก็จะต้องได้รับโทษ เพราะว่าถ้าไม่รับสาวกของพระองค์แล้ว ก็ไม่รับพระองค์ และไม่รับองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะต้องนำไปสู่ความพินาศแน่นอน นี่คือความยุติธรรมของพระองค์

"18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

19 หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม

20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ

21 แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า" (ยอห์น 3:18-20)


"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น" (มัทธิว 10:15)

และโทษของเมืองเหล่านั้นที่ไม่ต้อนรับพระองค์ ก็จะต้องมีโทษหนักอย่างแน่นอน เพราะว่าในสมัยโสดม และโกโมราห์นั้น ไม่มีใครจะมาบอกให้เขากลับใจ แต่ว่าคนในสมัยพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงส่งสาวกเพื่อไปประกาศแก่เขาแล้ว

เราจะต้องฉลาดเหมือนงู เราจะต้องใช้สติปัญญาที่พระเจ้าทรงเปิดแผยให้แก่เรา เพื่อเราจะเข้าใจได้ และสติปัญญานี้จะได้ ก็โดยผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ นี่คือสิ่งสำคัญที่เราจะใช้ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน โดยเฉพาะในการที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่มีความทุกข์ในใจ เราจะต้องใช้ปัญญาที่มาจากพระเยซูคริสต์เท่านั้นในการที่จะช่วยเขาเหล่านั้น และเขาจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง

การข่มเหงที่จะมาถึง

"19 แต่เมื่อเขาอายัดท่านไว้นั้นอย่าเป็นกังวลว่าจะพูดอย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลาคำที่ท่านจะพูดนั้น พระเจ้าจะทรงประทานแก่ท่านในเวลานั้น

20 เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่านผู้ตรัสทางท่าน" (มัทธิว 10:19-20)

แม้แต่การเผชิญต่อการข่มเหงเองก็เช่นเดียวกัน เราก็ไม่ต้องกลัว เพราะเราจะได้รับสติปัญญาจากพระองค์

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เราจะเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์เดิม ตัวอย่างเช่น การที่ทรงใช้โมเสส แม้ว่าโมเสสจะกลัว แต่พระองค์ก็ทรงหนุนใจเขาว่าไม่ต้องกลัว และได้ทรงส่งผู้ช่วยมาให้ ต่อมาก็เป็นโยชูวา ซึ่งโยชูวากลัวอย่างแน่นอน แต่พระองค์ก็ทรงหนุนใจให้เข้มแข็งและกล้าหาญ และพระองค์ก็ได้ทรงนำโยชูวาในการรับใช้ตลอด

"เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า" (โยชูวา 1:9)

พระองค์ทรงทราบว่าใครทนสิ่งใดได้ หรือทนสิ่งใดไม่ได้ จะเห็นได้ว่า สิ่งที่โยชูวาเจอนั้น เป็นปัญหาที่น้อยกว่าที่โมเสสเจอมาก และ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะทนสิ่งใดได้ หรือทนสิ่งใดไม่ได้ โยชูวาจึงไม่ต้องเจอปัญหาหนัก ๆ อย่างเช่นโมเสสเจอ

พระเยซูคริสต์ทรงเน้นย้ำถึงจิตวิญญาณมาก ทรงบอกว่าสาวกจะต้องพบกับความข่มเหงอย่างมากมาย ซึ่งพวกสาวกก็คงจะกลัวใครตอนแรก ๆ แม้แต่เปโตรเอง ก็ยังได้ปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้ง แต่หลังจากที่พวกสาวกพบว่าพระองค์ทรงฟื้นจากความตายแล้ว พวกเขาก็เปลี่ยนไป ความกลัวก็หายไป เพราะว่ามีความมั่นใจในพระองค์ สิ่งที่ทำให้เหล่าสาวกไม่กลัว ก็เพราะเขาตระหนักดีว่า ผู้ข่มเหงเหล่านั้น ฆ่าเขาได้แต่ทางกาย แต่ทางด้านจิตวิญญาณนั้น พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องจิตวิญญาณเขาให้รอดพ้นจากความพินาศอย่างแน่นอน พวกสาวกมีความมั่นใจว่า พระเจ้าทรงปกป้องพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะว่าชีวิตนั้นได้รับการกำหนดโดยพระองค์เรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาทุกคน เขาจึงไม่ต้องกลัวในสิ่งใดเลย


ผู้ที่เราควรกลัว

"28 อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้

29 นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้

30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น

31 เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว " (มัทธิว 10:28-31)

ย้อนกลับมาที่ชีวิตของเราเช่นกัน เราวางใจในพระเจ้าหรือไม่ ? เรายังเกรงกลัวกับสิ่งใด ๆ อยู่หรือไม่ ? ถ้าเราวางใจพระองค์ เราก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล หรือกลัวในสิ่งใด ๆ เลย และยิ่งถ้าเราเข้าใกล้พระองค์มากเพียงใด เราก็จะยิ่งไม่มีความกลัว เพราะว่าเราจะมั่นใจว่าจะได้รับพรอย่างแน่นอน


มิใช่นำสันติภาพแต่จะให้ใช้ดาบ

อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าให้ดี เรื่องเกี่ยวกับ "สันติภาพ"

"34 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา

35 เรามาเพื่อจะให้ ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดา และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว

36 และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน" (มัทธิว 10:34-36)

สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น เนื่องจาก ผู้ที่ปกครองโลกนี้อยู่ คือมาร ย่อมจะไม่ยอมให้คนของเขามาหาพระเจ้า เพราะมันเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า จึงจำเป็นที่จะต้องเกิดสงครามฝ่ายวิญญาณขึ้นอย่างแน่นอน และเราผู้ที่อยู่ฝ่ายพระองค์ ก็จะต้องเตรียมตัวให้ดีถึงสงครามที่จะเกิดขึ้น


"ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา" (มัทธิว 10:37)

พระคัมภีร์ตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจให้ดีเช่นเดียวกัน

พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของชีวิตทุกชีวิต พ่อแม่ของเราไม่ใช่เป็นเจ้าของชีวิตของเรา พ่อแม่ของเราเป็นผู้ให้กำเนิดเรา ให้ชีวิตแก่เรา ท่านจึงเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อเราอย่างแน่นอน แต่ว่า ผู้ที่ให้จิตวิญญาณนั้น คือ "พระเจ้า" ไม่ใช่ พ่อแม่ฝ่ายโลก เราต้องตระหนักเสมอว่าชีวิตทุกชีวิตมาจากพระเจ้า เราจึงจำเป็นต้องรักพระเจ้า

ในทางเนื้อหนัง เราจำเป็นต้องยอมรับพ่อแม่ฝ่ายเนื้อหนังของเรา และให้เกียรติแก่ท่าน เพราะนี่เป็นพระบัญญัติสำคัญ

"1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก

2 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย

3 เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก" (เอเฟซัส 6:1-3)

แต่เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าอีกว่า จิตวิญญาณของเรานั้นสำคัญ และพ่อแม่ฝ่ายเนื้อหนังไม่สามารถทำให้เรารอดฝ่ายจิตวิญญาณได้ ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ฝ่ายเนื้อหนังขัดขวางไม่ให้เรามาหาพระเจ้า เราจำเป็นจะต้องเลือกว่าทางใดสำคัญกว่า เพราะนี่จะเป็นจุดสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา และพ่อแม่ฝ่ายเนื้อหนัง

ถ้าเราเลือกที่จะละทิ้งพระเจ้า และกระทำตามบิดามารดาฝ่ายเนื้อหนัง ที่ต่อต้านไม่ให้เรามาเชื่อพระเจ้า ก็เป็นที่แน่นอนว่า จิตวิญญาณของทั้งพ่อ แม่ และตัวเราเองนั้น พินาศทั้งหมดอย่างแน่นอน

แต่ถ้าในทางกลับกัน ถ้าเกิดเราเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และยอมที่จะต่อสู้กับการข่มเหง ยืนหยัดจนถึงที่สุด ความรอดก็จะเป็นไปได้สำหรับพ่อแม่ฝ่ายเนื้อหนังนั้น ที่จะมีโอกาสที่จะมาหาพระเจ้าได้ในที่สุด เพื่อที่จะได้รับความรอดฝ่ายวิญญาณ

"38 และผู้ใด ที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา

39 ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด" (มัทธิว 10:38-39)


นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากวิถีทางของชาวโลกอย่างสิ้นเชิง ภาพของกางเขน เป็นภาพที่ทุกข์ทรมาน เจ็บปวด อับอาย ซึ่งมนุษย์คงจะไม่ประสงค์ที่จะต้องพบเจออย่างแน่นอน แต่พระเยซูก็ทรงให้เราแบกกางเขนนั้น พร้อมที่จะเผชิญกับทุกอย่างเพื่อพระเจ้า ไม่บ่น ดังเช่นที่พระองค์ไม่ทรงปริปากบ่นเลย เมื่อพระองค์ทรงแบกกางเขนไปที่กลโกธานั้น เพราะพระองค์ทรงวางใจในพระเจ้า

และแน่นอนว่า การที่แบกกางเขนนั้น นำไปสู่การตายฝ่ายกาย แต่ทรงกลับให้เราพร้อมที่จะยอมตายฝ่ายกาย เพื่อจะได้รับชีวิตรอดฝ่ายจิตวิญญาณ เราจะต้องเลือกให้ดีว่า เราจะเลือกเอาชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นทางที่โลกยอมรับ กับการที่เราเลือกที่จะมีชีวิตรอดฝ่ายวิญญาณ ซึ่งดูเหมือนจะยากลำบากอย่างมาก แต่จะนำไปสู่ชีวิตอย่างแน่นอน

บำเหน็จ

"40 ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา

41 ผู้ที่รับผู้เผยพระวจนะ เพราะเป็นผู้เผยพระวจนะ ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่ผู้เผยพระวจนะพึงได้รับ และผู้ที่รับผู้ชอบธรรมเพราะเป็นผู้ชอบธรรม ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่ผู้ชอบธรรมพึงได้รับ

42 และถ้าผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้" (มัทธิว 10:40-42)

พระธรรมมัทธิวในบทที่ 10 นี้ ได้แนะนำสาวกถึงการรับใช้ และพระองค์ก็ได้ทรงลงท้ายด้วยพระสัญญาเรื่อง "บำเหน็จ" ถ้าเรารับพระเยซู ก็เท่ากับได้รับองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะได้บำเหน็จอย่างแน่นอน ขอพระเจ้าที่จะช่วยเราที่จะเข้าใจถึงพระมรรคาของพระเจ้า

สรุป ก็คือ ให้ไว้วางใจในพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ไปได้ แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่มีพระเจ้า เราก็จะสูญเสียทุกอย่าง สุญเสียจิตวิญญาณ

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com