มัทธิว 6

(17/08/2007)

การทำทาน และการอธิษฐาน

การทำทาน

"1 จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์

2 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคด กระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

3 ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น

4 ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน" (มัทธิว 6:1-4)

พระคัมภีร์ เน้นย้ำให้เราระมัดระวัง ที่จะไม่กระทำสิ่งใด ๆ เพื่อเป็นการอวดผู้อื่น มิฉะนั้นเราก็จะมิได้บำเหน็จใด ๆ ในสวรรค์ เนื่องจากเราได้รับจากมนุษย์แล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อเราจะทำการดีใด ๆ ก็ไม่ควรที่จะเป่าแตรข้างหน้า ป่าวประกาศให้คนอื่น ๆ รู้ เพื่อเป็นการอวดผู้อื่น ให้ผู้อื่นเห็นการดีของตนเอง ซึ่งถ้าทำอย่างนั้น ก็จะไม่ได้รับบำเหน็จในสวรรค์ เนื่องจากได้รับแล้วในโลกนี้

และพระคัมภีร์ได้กล่าวต่อมาอีกว่า เมื่อเราทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวาทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากต่อความเข้าใจ ว่าจะทำยังไง ที่เวลาทำทาน จะให้มือขวาทำ แล้วไม่ให้มือซ้ายรู้ แต่เมื่อพิจารณาบริบท พบว่าพระคัมภีร์ได้ เน้นย้ำว่า อย่าให้เราทำสิ่งใด เพื่อให้มนุษย์สรรเสริญ แต่ต้องทำเป็นการลับ ดังนั้น พระคัมภีร์ตอนนี้ จึงน่าจะหมายถึงว่า ขณะเมื่อเรากระทำความดีใด ๆ ไม่ให้เราจดจ่อต่อสิ่งนั้น ไม่ให้เรามัวแต่คิดว่าเรากระทำสิ่งใด ไม่มัวแต่คิดว่าจะมีใครเห็นว่าเราทำหรือไม่

การให้ทานในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการถวายทรัพย์ แต่การทำทานในที่นี้หมายถึงการช่วยคนอื่น เมื่อเราช่วย เราไม่ควรจดจ่อ เรารู้ว่าเราช่วยเขาเพื่ออะไร ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะมีใครรู้หรือไม่ และ ไม่ต้อง "เป่าแตรอยู่ข้างหน้า" ให้เรามั่นใจว่า ความดีที่เราทำ ไม่สูญเปล่าแน่นอน ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ พระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็ดให้อย่างแน่นอน และคุณจะรู้ทันที เมื่อคุณได้รับพระพรอันนั้นจากพระเจ้า

การอธิษฐาน

"5 เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

6 ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน" (มัทธิว 6:5-6)

แม้แต่การอธิษฐาน เราต้องระมัดระวังเช่นกัน เราควรจะตระหนักเสมอว่า การอธิษฐานของเรานั้น เพื่อเป็นการทูลขอต่อพระเจ้า เป็นเครื่องหอมถวายแด่พระเจ้าโดยตรง ท่าทีของเราจะต้องไม่อธิษฐานเพื่อเป็นการบอกสิ่งใดกับมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อให้คนฟัง แต่เพื่อให้พระเจ้าฟัง

แต่ทว่า ในบางกรณี อาจจะเป็นข้อยกเว้น อาทิเช่น การอธิษฐานต่อผู้ที่ยังไม่เชื่อ ซึ่งบางทีอาจจะไม่มีโอกาสที่จะพูดคุยมากนจัก ดังนั้น การอธิษฐานนี้อาจจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เราสื่อให้แก่คนนั้นเข้าใจ ได้รับรู้ ได้สัมผัสความจริง ผ่านทางข้อความที่เราอธิษฐานนั้น

เมื่อเราจะอธิษฐานนั้น เราจะต้องพิจารณาท่าทีของเรา ว่าเราอธิษฐานเพื่อสิ่งใด เพื่อเป็นการโอ้อวด หรือเพื่อเป็นการสื่อความหมายของคำอธิษฐานนั้น

พระเจ้าของเรา ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงทราบทุกสิ่งที่เราคิด ทุกสิ่งที่เราทำ ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะไม่ได้ยิน เพราะว่าพระองค์ทรงได้ยินแน่นอน และที่สำคัญ คือพระองค์ทรงสนทนากับเราเป็นการส่วนตัว เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวได้

"7 แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพล่อยๆซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง

8 อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว" (มัทธิว 6:7-8)

เมื่อเราอธิษฐานถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว เราอธิษฐานทุกวัน ในกรณีนี้จะเป็นการอธิษฐานซ้ำซากหรือไม่ ? ซึ่งเมื่อเราพิจารณาต่อไป เราก็จะทราบคำตอบนี้ดี

พระคัมภีร์ได้อธิบายต่อว่า อธิษฐานซ้ำซากนี้ หมายถึงอะไร พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า อธิษฐานที่ผิด คือ การอธิษฐานแบบชาวต่างชาติ ซึ่งเวลาเขาอธิษฐาน เขาจะไม่แน่ใจว่าขอแล้วจะได้หรือไม่ จะต้องขอเรื่อย ๆ ขอแล้วขออีก ซึ่งเป็นท่าทีที่ต่างจากคริสเตียน เมื่อคริสเตียนอธิษฐาน คริสเตียนรู้ว่าอธิษฐานกับใคร มั่นใจว่าพระเจ้าทรงสดับรับฟังแน่นอน เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงได้ยินตั้งแต่คำแรกที่เราอธิษฐานแล้ว และผู้อธิษฐานจะมั่นใจว่าพระองค์ทรงช่วย

ให้เรามาพิจารณาถึงเรื่องราวของการอัศจรรย์แรกของพระเยซู เรื่องน้ำองุ่น

"1 วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น

2 พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น

3 เมื่อเหล้าองุ่น(เครื่องดื่มที่ชาวปาเลสไตน์ดื่มกันเป็นประจำ แม้ว่าในพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่บัญญัติห้ามดื่มเหล้าองุ่น แต่ก็มีคำเตือน ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นจนเกิดความเสียหาย) หมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า 'เขาไม่มีเหล้าองุ่น'

4 พระเยซูตรัสกับนางว่า 'หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง'

5 มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า 'จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด' " (ยอห์น 2:1-5)

จากพระคัมภีร์ตอนนี้ จะเห็นได้ว่า ท่าทีของนางมารีย์ เป็นท่าทีที่ถูกต้อง เมื่อท่านทูลขอต่อพระเยซูแล้ว พระเยซูทรงตอบต่อท่านว่า ให้เป็นธุระของพระองค์ ซึ่งก็หมายความว่าพระองค์ทรงรับฟังทันที และนางมารีย์ก็ได้วางใจในพระเยซูว่าพระองค์ทรงรับคำขอแล้ว และมั่นใจว่าพระองค์ทรงช่วยแน่นอน จึงได้กล่าวแก่คนใช้ว่า ให้กระทำตามสิ่งที่พระเยซูสั่งเถิด นี่คือท่าทีของการอธิษฐานของคริสเตียนที่ถูกต้อง

อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ท่าทีของเศคารียาห์

"8 ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการ

9 ท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต ต้องเข้าไปในพระวิหารเผาเครื่องหอมบูชา

10 ส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานอยู่ภายนอก ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น

11 ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา

12 เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว

13 แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า 'เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น' " (ลูกา 1:8-13)

การไม่มีบุตรนั้น ชาวอิสราเอลเชื่อว่า เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงอวยพร และเศคาริยาห์ได้อธิษฐานขอมาเป็นเวลานาน เพราะขณะนั้นท่านอายุมากแล้ว และด้วยความเชื่อ ในที่สุด พระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิษฐานของเขานั้น

อีกกรณีหนึ่งที่ต้องใคร่ครวญ คือ การที่คริสเตียนอธิษฐานทุกวัน ในเรื่องเก่า ๆ เรื่องเดิม ๆ นั้นเป็นท่าทีที่ถูกต้องหรือไม่ ? ซึ่งคำตอบก็คือ ต้องดูที่ท่าทีของการอธิษฐานของผู้นั้นว่าอธิษฐานเพื่ออะไร เพื่อเป็นการอธิษฐานวิงวอน เป็นการเข้าเฝ้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ เป็นการสร้างสัมพันธ์กับพระเจ้าหรือไม่ และขณะอธิษฐานนั้น เป็นการอธิษฐานด้วยความวางใจหรือไม่ ซึ่งผู้อธิษฐานก็จะทราบดี โดยท่าทีที่ถูกต้อง คือ

"6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ

7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์" (ฟิลิปปี 4:7)

"9 ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ

10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้

12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น

13 และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย(หรือ มารร้าย)

[เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน]" (มัทธิว 6:9-13)

จากแบบอย่างคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงมอบให้แก่สาวกของพระองค์นี้ มีจุดประสงค์ดังนี้ คือ

1. ต้องการให้เรารู้ว่า พระเจ้าของเรานั้น เป็นพระเจ้าที่ทรงยิ่งใหญ่

ท่าทีที่เราอธิษฐาน จะต้องเป็นท่าทีที่ยำเกรง ดังนั้นเราจะต้องสำรวจท่าทีของเราว่า ขณะเมื่อเราอธิษฐานนั้น เรายำเกรงต่อพระเจ้ามากเพียงใด ท่าทีของเราได้แสดงออกว่าเรายำเกรงพระเจ้าหรือไม่ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นพระเจ้าที่ทรงยิ่งใหญ่เหนือพระทั้งปวง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น จะยิ่งเห็นได้ชัดมากถ้าเราพิจารณาถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวาลที่พระองค์ทรงสร้าง ดังนั้น เราจะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยท่าทีแห่งความยำเกรง ไม่ใช่ท่าทีที่ว่าพระเจ้าจะต้องฟังเรา ต้องเอาใจเรา

2. เราจะต้องรู้พระประสงค์ของพระองค์คืออะไร รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไร และเราก็มีหน้าที่ที่จะกระทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ

หน้าที่ของเราทุกคน คือ เราจะต้องขยายแผ่นดินของพระเจ้า ดังนั้น เราจะต้องอธิษฐาน และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ สร้างแผ่นดินนี้ ให้เป็นแผ่นดินของพระองค์ สร้างอาณาจักรของพระองค์ ให้เป็นเหมือนที่ในแผ่นดินสวรรค์

อาณาจักรของพระเจ้า เป็นอาณาจักรแห่งความรัก ดังนั้นเราจะต้องรักซึ่งกันและกัน ห่วงใยซึ่งกันและกัน และเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น คนที่มาสัมผัส ก็จะอยากที่จะมาอยู่ในแผ่นดินแห่งนั้น เพียงแค่เรารักซึ่งกันและกัน รักษากฎเกณฑ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงให้ไว้ รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น แน่นอนว่า การประกาศข่าวประเสริฐนั้นจะไม่ยากเลย เพียงแค่ทุก ๆ คนร่วมมือกัน

ท่าทีของเราต่อคนรอบข้าง จะต้องเป็นท่าทีแห่งความรักเช่นเดียวกัน ซึ่งความรักนี้ จะทำให้ผู้ที่ได้รับความรักนั้นสัมผัสได้ และจะเป็นท่าทีที่จะนำคนเหล่านั้นมาพบกับพระเจ้าได้อย่างแน่นอน ดังนั้น จึงอยากหนุนใจ ให้เราใช้กฎเกณฑ์แห่งความรักของพระเจ้า

3. การอธิษฐานเพื่ออาหาร

เมื่อเรารับประทานอาหาร เราควรจะระลึกอยู่เสมอว่า เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ทรงประทานอาหารให้แก่เราอย่างไม่ขัดสนเลย

4. การอธิษฐานสารภาพบาป

เป็นสิ่งที่จะเตือนใจเราว่า เราทุกคนล้วนที่จะมีโอกาสที่จะผิดพลาด ทำบาปได้เสมอ สัมผัสถึงความบาปได้ แต่ว่าพระเจ้าได้ทรงเปิดโอกาสให้เราสารภาพบาปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อเราสารภาพบาปของเรานั้น เราก็จะได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซู เพราะเราจะต้องขาวบริสุทธิ์เท่านั้น เราจึงจะสามารถเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ของพระเยซูได้

5. การยกโทษบาปผิด

ซึ่งพระเจ้าก็จะทรงดูว่า เราได้ยกโทษให้แก่ผู้อื่นหรือยัง เราควรจะยกโทษให้ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะพระองค์จะไม่ทรงพอพระทัย ถ้าหากว่าเรามิได้ยกโทษต่อผู้ที่กระทำบาปผิดต่อเรานั้น

6. อธิษฐานขอที่จะผ่านพ้นจากการทดลอง

การทดลองทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ จะต้องได้รับอนุญาตจากพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในชีวิตของโยบ ซึ่งมารจะทดลองโยบได้ ต้องได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าก่อนเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องไม่กลัวต่อการทดลอง เมื่อการทดลองเหล่านั้นเกิดขึ้นมา เราจะต้องผ่านพ้นได้ และจะเป็นที่ถวายเกียรติต่อพระเจ้า เราจะต้องไม่ถามพระเจ้าว่า "ทำไม สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น" แต่ท่าทีของเราจะต้องวางใจว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะทรงอนุญาตแล้ว และจะไม่ทรงทดลองเกินกว่าที่เราจะทนได้ อย่างแน่นอน แล้วพระองค์จะทรงอวยพรเราอย่างแน่นอน และท่าทีของเราต่อการทดลอง ความยากลำบากนั้น ก็คือ เราจะต้องยินดีต่อสิ่งเหล่านั้น

"2 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง

4 และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย" (ยากอบ 1:2-4)

เมื่อเราถูกทดลอง เราอาจจะรู้สึกเสียใจ แต่ทว่าเราจะต้องเอาความจริงแห่งพระวจนะคำของพระเจ้ามาประเล้าประโลม หนุนใจเรา เอาชนะต่อความเสียใจนั้น เราจะต้องไม่แพ้ต่อการทดลองนั้น

มีคริสเตียนหลายคน เมื่อเจอความทุกข์ยาก เจอการทดลอง ก็ท้อถอย และเลิกรับใช้พระเจ้า หรือบางคนก็เลิกที่จะมาโบสถ์เลยก็มี ซึ่งเป็นท่าทีแห่งความพ่ายแพ้ต่อการทดลองนั้น แต่เมื่อเราไม่ท้อถอย แม้จะเจอความทุกข์ยากต่าง ๆ ก็ยังคงรับใช้พระเจ้าต่อไป แน่นอน พระองค์จะทรงประทานพระพรอย่างทวีคูณอย่างแน่นอน

ดังนั้น การทดลอง เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา และเมื่อเราผ่านพ้นไปได้ ก็จะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และจะนำเราไปสู่พระพรที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ อำนาจทั้งหมดอยู่ที่พระเจ้า ถ้าหากพระเจ้าจะให้พระพร ใครก็จะยับยังพระพรนั้นไม่ได้ และเมื่อพระองค์จะไม่ให้พระพร ก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถให้พระพรได้


"14 เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย

15 แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน" (มัทธิว 6:14-15)

พระคัมภีร์ตอนนี้ก็เน้นย้ำต่อเราอีกครั้งว่า พระองค์ทรงต้องการให้เรายกโทษต่อผู้ที่ละเมิดต่อเรา ซึ่งมีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว


(28/09/2007)

การถืออดอาหาร

"16 เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมม เพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว

17 ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ

18 เพื่อคนจะไม่ได้รู้ว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน" (มัทธิว 6:16-18)

การอดอาหารอธิษฐาน เป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ เป็นพิธีที่ทำให้ผู้ที่อดอาหารได้ต่อสู้กับเนื้อหนัง ต่อสู่กับสิ่งที่ร่างกายเรียกร้อง ซึ่งเดิมมีการกำหนดไว้เป็นเทศกาล ปัจจุบัน ไม่ได้มีเทศกาลในการฝึกตรงนี้ (แต่พวกยิวยังคงมีอยู่)

การอดอาหาร จะเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ผู้ที่อดอาหารจะเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัว

สิ่งที่พระเยซูต้องการสอนแก่สาวก ก็คือ เรื่องท่าทีในการอดอาหาร มิใช่เป็นการแสดงออกให้ผู้อื่นรู้ มิใช่เป็นการกระทำเพื่อเอาหน้า ซึ่งบางคนในเวลานั้น ได้พยายามทำตัวมอมแมม เพื่อให้คนรู้ว่ากำลังถืออดอาหารอยู่ แม้ในชีวิตจริงของคนเหล่านั้นอาจจะไม่ได้อธิษฐานเลยก็ได้

ในทางตรงกันข้าม การอธิษฐาน แม้อยู่ในที่ลี้ลับ พระเจ้าก็ยังทรงเห็นต่อเรา และพระองค์ก็ทรงพอพระทัย แม้ว่าคนอื่น ๆ จะไม่รู้ก็ตาม

"ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน" (มัทธิว 6:6)

ดังนั้น สิ่งนี้ก็เป็นหลักแก่เราเองในการปฏิบัติในสิ่งใด ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เราจะต้องไม่ทำตามเนื้อหนัง ไม่ทำสิ่งดีเพื่อเป็นการโอ้อวด ซึ่งตรงข้ามกับกระแสโลก ที่ว่า ถ้าทำดี แล้วไม่ออกหน้า ไม่ประชาสัมพันธ์ ก็ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าออกหน้าออกตามาก ก็จะได้รับการยอมรับ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ความแตกต่าง จะอยู่ที่ท่าทีของเราต่อพระเจ้าเท่านั้น ว่าเราได้ยำเกรงพระเจ้าในที่ลี้ลับ เหมือนที่ยำเกรงในที่สาธารณะหรือไม่

แม้แต่ในพันธกิจของคริสตจักรเช่นกัน ในบางพันธกิจมีการประชาสัมพันธ์มากมาย ถ้าหากจะใช้การที่มีผู้ที่มาร่วมงานมากมาย จากหลากหลายสถานที่ เป็นตัวชี้วัดในความสำเร็จ ก็จะเป็นวิถีทางของชาวโลก และไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงพอพระทัยอย่างแน่นอน แต่ตรงกันข้าม คณะผู้ทำงานเหล่านั้น จะรู้ตัวดีว่า ท่าทีของเขาต่อพระเจ้าเป็นเช่นไร และท่าทีของเขาต่อพระเจ้าจะต้องเป็นท่าทีที่ถูกต้อง คือทำเพื่อให้พระเจ้า ผู้ทรงเห็นและทรงทราบในทุกสิ่ง พอพระทัย มิใช่เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ

พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าในที่ลี้ลับ ทรงทราบทุกสิ่ง แม้เราอยู่ในที่ที่ลึกลับ อยู่ในที่กันดารขนาดไหน พระเจ้าก็ทรงอยู่กับเราทุกที่ ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี เพื่อจะทำในสิ่งที่เป็นตามน้ำพระทัย


(26/10/2007)

พระเจ้าและเงินทอง

"19 อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้

20 แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้

21 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย " (มัทธิว 6:19-21)

คำสอนของพระเยซูคริสต์นี้ แตกต่างจากค่านิยมของชาวโลกอย่างสิ้นเชิง ตามความเข้าใจของคนปกติทั่วไป จะเข้าใจว่า สั่งสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เพื่อจะได้สุขสบาย แต่คำสอนของพระเยซูคริสต์กับตรงกันข้ามกับชาวโลก คือ พระองค์สอนว่าเราไม่ควรที่จะสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และถ้าไม่มีความเข้าใจ เราก็จะไม่สามารถปฏิบัติตามได้

"19 หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม

20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ

21 แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า" (ยอห์น 3:19-21)

การที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกนี้ มิได้ทรงเสด็จมาเพื่อให้เรามีทรัพย์สินเงินทองมากมายในโลกนี้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์จะสามารถช่วยเราอย่างง่ายดาย เนื่องจากพระองค์สามารถประทานทุกสิ่งได้ แต่จุดประสงค์ของพระองค์มิได้ให้เราสุขสบายในโลกนี้เพียงเท่านี้ แต่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราดำเนินตามพระทัยของพระองค์ เพื่อจะไปถึงสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้เรา

ถ้าเรารักในโลกนี้ และเราสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ จะทำให้ใจของเราอยู่กับทรัพย์สมบัติของเรา และเราก็จะดำเนินตามสิ่งเหล่านั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระองค์จึงได้ทรงเตือนเราไว้อย่างชัดเจน

ถ้าจะข้ามไปดูถึงข้อที่ 24 จะพบว่าเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นบทสรุปของข้อที่ 19-21 นี้ ซึ่งถ้าเราพิจารณาร่วมกัน เราจะพบว่าสอดคล้องกันเป็นอย่างดี

"ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (มัทธิว 6:24)

ข้อที่ 24 นี้ชัดเจนมาก บ่งบอกว่าทั้งสองสิ่งจะไปด้วยกันไม่ได้ และเราจะไม่สามารถเลือกทั้งสองสิ่งได้ ซึ่งเป็นความล้ำลึกที่พระองค์ทรงบอกเราว่า ไม่มีทาง ที่เราจะรักทรัพย์สมบัติ และรักพระเจ้าได้ เราต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง นั่นคือ "เงินทอง" ซึ่งสำคัญ และ "พระเจ้า" ซึ่งทุกคนก็ทราบว่าสำคัญกว่าเงินทอง และพระเยซูทรงสั่งไม่ให้เรารักเงินทอง เราจึงต้องเลือกว่าจะเชื่อฟังหรือไม่ ถ้าเราเลือกที่จะรักเงินทอง เราก็จะดำเนินตามทางนั้น และจะทำให้เราออกห่างจากทางของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสร้างโลกไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เพราะความบาป เพราะการไม่เชื่อฟังของอาดัมและเอวา มนุษย์จึงตกอยู่ในอำนาจของความบาป และเป็นสาเหตุให้โลกของเรานี้เสื่อมลงอย่างมากมาย

"21 เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น

21 ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า

22 เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้

23 และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย" (โรม 8:21-23)

เช่นเดียวกับ เงินทองของเรา นับวันก็จะเสื่อมสลาย ไม่ยั่งยืนถาวร และไม่สามารถช่วยให้เรารอดได้ แต่ตรงกันข้าม กลับเป็นสิ่งที่จะขัดขวางเราที่จะไม่ให้เราเข้าใจถึงความล้ำลึกของพระเจ้า


"22 ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย

23 แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ" (มัทธิว 6:22-23)

ถ้าตาเราเห็น เราก็สามารถจะเดินไปไหนมาไหน ทำอะไรได้สะดวก และสามารถเลี่ยงสิ่งที่อันตราย แต่ตรงกันข้าม ถ้าตาเรามองไม่เห็น เราก็จะเดินอย่างยากลำบาก และอาจจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างง่าย

พระเยซูคริสต์ทรงใช้ตาของเราในการเปรียบเทียบ เพื่อให้เราเข้าใจ ซึ่งเมื่อนำมาโยงเกี่ยวถึงข้อ 21-23 ที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อดังกล่าว กล่าวไว้ชัดเจนว่า เรามีทางเลือกเพียงสองทาง ซึ่งจะเลือกได้ทางใดทางหนึ่ง

ถ้าเราเลือกทางที่ถูก คือเลือกที่จะตามพระองค์ เราก็จะพบกับความสว่าง และทั้งตัวของเราก็จะสว่างเช่นเดียวกัน

"อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" (ยอห์น 8:12)

แต่ถ้าเราเลือกผิดทาง คือ ถ้าเราเลือกที่จะรักทรัพย์สินเงินทอง เราก็จะพบกับความมืด และจะแยกไม่ออกว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี สิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะว่าจะมองไม่เห็น

ตัวอย่างที่สังเกตง่าย ๆ คือ จะเห็นได้จากโจรทั้งหลาย เมื่อโดนจับได้ จะพบว่า เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำผิด แต่เขาก็ยังทำ และบางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำ เพราะเขาตาบอดเสียแล้ว

และที่เห็นได้บ่อย ๆ เช่นกัน คือ คริสเตียนหลายคน ซึ่งเขาคิดว่าเขาทุ่มเทเพื่อเงินทอง และเขาจะกลับมาถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่เราจะพบได้มากทีเดียว ที่เขาเมื่อทุ่มเทเพื่อเงินทอง แล้วหลงหายไป ไม่กลับมาหาพระเจ้า จะรู้ตัวคือ เมื่อเขาสูญสิ้นทุกอย่าง หรือเจ็บป่วยปางตายแล้วเท่านั้น เพราะเมื่อเขาดำเนินตามทางของโลก ส่ำสมทรัพย์เงินทอง ใจของเขาก็จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นด้วย และตาของเขาก็มืดบอดไป ทำให้ทั้งตัวของเขาบอดมืดไปด้วย และออกห่างจากทางของพระเจ้า

มีกรณีจริง ซึ่งจะพบได้บ่อยให้บรรดานักธุรกิจ เจ้าของกิจการ คือ เมื่อเริ่มทำงานใหม่ รักพระเจ้ามาก และมาคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ เมื่อธุรกิจไปได้ดี ก็เริ่มต้องทำงานหนักมากขึ้น ต้องเริ่มทำงานวันอาทิตย์ และมาโบสถ์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เริ่มห่างจากพระเจ้า ต่อมาก็จะไม่มาโบสถ์เลย ต้องไปแสดงสินค้า ต้องเฝ้าโรงงาน จึงมาโบสถ์ไม่ได้ เมื่อธุรกิจแย่ลง ก็ไม่มาโบสถ์อีก เพราะว่าต้องทำงานมากขึ้น เพื่อจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้ และคอยปลอบใจตัวเองเสมอว่า พระเจ้าคงจะเข้าใจ

ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิต ถ้าเราสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ดูอย่างผิวเผิน ก็จะพบว่าน่าจะทำให้มีความสุข และชีวิตมั่นคง แต่เราจะพบว่า ถ้าเราเลือกที่จะสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เราก็จะไม่มีสันติสุข อาจจะมีเงินทองมาก แต่สูญเสียทรัพย์สมบัติในสวรรค์ เราจะได้ประโยชน์อะไร และจะเป็นสิ่งขัดแย้งกันเอง ถ้าเราบอกว่าเราเชื่อพระเจ้า และเรารักเงินทอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น บ่งบอกได้ชัดเจนว่า เราไม่ได้เชื่อ เพราะไม่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า

"จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ" (มัทธิว 6:26)

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

ขอพระเจ้าช่วยเรา ที่ประทีปในร่างกายของเรานั้น จะไม่มืดไป แต่ที่ใจของเราจะเชื่อฟังพระองค์ เชื่อในพระสัญญาของพระองค์ และตาของเราจะสว่าง


"ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (มัทธิว 6:24)

ข้อนี้เป็นบทสรุป ซึ่งสำคัญมากต่อชีวิตคริสเตียน และเมื่อเรากล้าที่จะปฏิบัติตามแล้ว เราก็จะยิ่งพบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้น และจะสามารถเป็นพยานถึงการทรงเลี้ยงดูของพระเจ้า ที่มีต่อชีวิตของเรา


"25 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ

26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ

27 มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ

28 ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย

29 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง

30 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ

31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม

32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้

33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้

34 เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว" (มัทธิว 6:25-34)

พระองค์ทรองเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงทราบว่าเราห่วงอะไรอยู่ นั่นคือ อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ดังนั้น พระองค์จึงทรงประทานพระสัญญาให้กับเราไว้ชัดเจนว่า พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเรา

ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปรียบเทียบกับนก พระองค์ทรงดูและนกทั้งหลายในอากาศ และมันก็มิได้อดเลย แล้วเรา ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ พระองค์จะมิได้ทรงดูแลยิ่งกว่าสิ่งเหล่านั้นหรือ แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอน ซึ่งท่านมีทรัพย์สมบัติมากมายในโลกนี้ พระองค์ยังบอกว่ายังงามเท่าดอกไม้เลย ซึ่งดอกไม้ต้นหญ้าเหล่านั้น พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแล แล้วเรา ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงนำเราสู่สง่าราศียิ่งกว่าหรือ

แม้ว่า เราจะยังคงต้องทำงานต่อไป ดำเนินชีวิตต่อไป แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่สำคัญกว่าพระเจ้า กฎเกณฑ์ บัญญัติ และพระประสงค์ของพระเจ้าต้องมาก่อน แล้วสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงทรงอวยพรให้อย่างแน่นอน

เราอาจจะสูญเสียโอกาสที่ทำงานในวันอาทิตย์ แต่พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้แก่เราอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะถูกโกง เราก็ไม่ต้องกลัว ถ้าเราได้ดำเนินตามพระทัย แสวงหาแผ่นดินของพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใด เพราะว่าพระองค์จะทรงชดเชยให้แก่เราอย่างแน่นอน เพียงแค่เราฝากไว้กับพระองค์ และมีสันติสุขในพระองค์

สิ่งที่เราได้เรียนในส่วนนี้ จะพบว่า ยากมากทีเดียว ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพากำลังจากพระองค์ และวางใจในพระองค์

"เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว" (ยอห์น 16:33)

ดังนั้นจึงอยากหนุนในให้เราทุกคน อย่าท้อใจ แม้จะประสบความทุกข์ยาก

"66 ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก

67 พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า 'ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ'

68 ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า 'พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์

69 และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อ และมาทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" (ยอห์น 6:66-69)

หลายคนจะท้อใจ เมื่อดำเนินตามทางของพระเจ้า แต่อยากจะขอหนุนใจ ที่เราจะตอบอย่างอาจารย์เปโตรด้วยความมั่นใจ

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com