25. รักกางเขนของพระเยซู

มีน้อยคนที่รักกางเขนของพระเยซู

มีคนมากมายที่รักแผ่นดินสวรรค์ของพระเยซู แต่มีน้อยคนที่ยอมแบกกางเขนของพระองค์

มีคนมากมายที่ปรารถนาจะได้รับความเล้าโลมใจของพระองค์ แต่มีน้อยคนที่ชอบการทดลอง

พระองค์สามารถหาคนมากมายมาร่วมโต๊ะของพระองค์ แต่มีน้อยคนที่ยอมมีส่วนในการอดอาหารเพื่อพระองค์

ทุกคนปรารถนาที่จะมีความสุขร่วมกับพระองค์ แต่มีน้อยคนที่ปรารถนาที่จะอดทนทุกสิ่งเพื่อพระองค์

มีคนมากมายติดตามพระองค์ไปจนถึงการหักขนมปัง แต่มีน้อยคนที่ติดตามไปถึงการดื่มจอกแห่งความตายของพระองค์

มีคนมากมายนับถือการอัศจรรย์ของพระองค์ แต่มีน้อยคนเข้าใกล้ความอดสูแห่งไม้กางเขน

มีคนมากมายรักพระองค์ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ต้องประสบกับความยากลำบาก มีคนมากมายสรรเสริญและสาธุการพระองค์ตราบเท่าที่พวกเขายังคงได้รับความเล้าโลมใจจากพระองค์ แต่ถ้าหากพระองค์ซ่อนพระพักตร์เสียและจากพวกเขาไปชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาจะเริ่มบ่นหรือท้อแท้ใจอย่างมาก

ตรงกันข้าม คนเหล่านั้นที่รักพระองค์เพราะเห็นแก่พระองค์เอง และมิใช่เพราะความหวังรับความเล้าโลมใจตนเอง ก็มักสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางการทดลองและความทุกข์ใจทุกอย่างด้วย และมิใช่แต่เมื่อมีความสุขเพราะความปลอบโยนเท่านั้น แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงประทานความปลอบโยนแก่พวกเขาสักครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงสรรเสริญพระองค์ต่อไป และมีความปรารถนาที่จะขอบพระคุณพระองค์เสมอ ๆ ความรักที่บริสุทธิ์ที่มีต่อพระเยซูมีพลังมากมายสักเพียงไรหนอ ช่างเป็นความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและความรักต่อตนเอง !

คนเหล่านั้นที่มักจะแสวงหาความเล้าโลมใจอยู่เสมอ สมควรที่จะเรียกว่าคนรับจ้างเพื่อหวังค่าตอบแทนมิใช่หรือ คนเหล่านั้นที่นึกถึงผลประโยชน์และกำไรสำหรับตนเองย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขารักตนเองมากกว่ารักพระคริสต์มิใช่หรือ เราจะสามารถหาบุคคลสักคนหนึ่งที่ปรารถนาที่จะรับใช้พระเจ้าโดยไม่หวังอะไรตอบแทนได้ที่ไหนล่ะ มีน้อยคนมากที่เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณจนถึงกับปลดเปลื้องตัวเองออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง และใครจะสามารถค้นหาบุคคลที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณจริง ๆ จนเป็นอิสระจากสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นทุก ๆ อย่างได้ บุคคลเช่นนั้นช่างมีคุณค่าคล้ายกับสิ่งของที่นำมาจากที่ห่างไกลที่สุด

ถ้าผู้ใดถวายทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของตน ก็ไร้ความหมาย ถ้าเขาบำเพ็ญทุกข์อย่างหนักเพื่อชดใช้ความบาป ก็จะเป็นสิ่งเล็กน้อย ถ้าเขาได้ความรู้ทั้งหมด เขาก็ยังคงอยู่ห่างไกล ถ้าเขามีคุณธรรมสูงและมีความศรัทธาอย่างร้อนรน เขาก็ยังคงขาดอะไรอีกมากมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา สิ่งเดียวนี้คืออะไร ก็คือ การที่เขาจะละทิ้งสิ่งสารพัด ละทิ้งตัวเอง ปฏิเสธตัวเองอย่างสิ้นเชิง และละทิ้งความปรารถนาส่วนตัวทั้งหมด เมื่อเขาได้กระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทราบว่าเขาควรทำแล้ว ก็ให้เขาถือการทั้งหมดนี้ว่าเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย ขอให้เขาพูดถึงสิ่งที่คนอื่นอาจถือว่าสำคัญให้เหมือนกับว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ให้เขาเรียกตัวเองด้วยความจริงใจว่าบ่าวที่ไม่มีบุญคุณ เพราะพระองค์ผู้ทรงเป็นความจริงได้กล่าวไว้ว่า

"เช่นเดียวกัน เมื่อพวกท่านทำสิ่งสารพัดที่เราบัญชาไว้กับท่านแล้ว ก็จงพูดด้วยว่า 'เราเป็นบ่าวที่ไม่ได้มีบุญคุณต่อนาย เราเพียงแต่ทำตามหน้าที่ ที่ควรจะทำเท่านั้น' " (ลูกา 17:10 ThaiTSV2002)

แล้วเขาก็จะเป็นคนยากจนที่ถูกปลดเปลื้องฝ่ายวิญญาณจริง ๆ และจะกล่าวพร้อมกับผู้เผยพระวจนะได้ว่า

"ขอพระองค์ทรงหันมายังข้าพระองค์ และมีพระกรุณาต่อข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ว้าเหว่ และเป็นทุกข์อยู่" (สดุดี 25:16 ThaiTSV1971) [ภาษาเดิม บางทีคำว่า "ว้าเหว่" ก็แปลได้ว่า "ต่ำต้อย" หรือ "ยากจน"]

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่มั่งคั่งกว่าคนเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดที่มีพลังมากกว่า ไม่มีผู้ใดที่อิสระมากกว่าคนที่รู้จักละทิ้งสิ่งสารพัดและนึกถึงตนเองว่าเป็นคนต่ำต้อยที่สุด

หนังสือ เลียนแบบพระคริสต์ (Of The Imitation of Christ)
เขียนโดย โธมัส อาเคมพิส (Thomas à Kempis)
แปลโดย พญ. เออร์ซูลา โลเวนธอล
เรียบเรียงโดย กนกบรรณสาร

ชีวิตภายใน

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com