คำพยานชีวิตของ ธีรยสถ์ นิมมานนท์ (การสอบวุฒิบัตร)

สวัสดีครับ พี่น้องในพระคริสต์ทุกท่าน โอกาสนี้เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางประสบการณ์ชีวิตของผมเอง ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ผมอยากที่จะแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้ เพื่อเป็นที่หนุนใจพี่น้องครับ จึงรีบทำการพิมพ์ไว้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ลืมที่จะประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงช่วยกู้ผมให้พ้นจากการสอบครั้งนี้ ขอพระเกียรติทั้งสิ้นเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว

ก่อนอื่น ขอแนะนำตัวเองคร่าว ๆ นะครับ ผมเพิ่งจบ (เมื่อ 3 ปีก่อนครับ) จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และเรียนต่อทางด้านพยาธิวิทยากายวิภาค (ทำหน้าที่ในการตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร หรือเป็นมะเร็งหรือไม่ รวมถึงการตรวจชันสูตรศพที่ตายในโรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุการตาย ว่าตายจากโรคใด) ที่สถาบันพยาธิวิทยา กรมแพทย์ทหารบก (รพ.พระมงกุฎเกล้า) ซึ่งใช้เวลาในการศึกษาเป็นเวลา 3 ปี

หลังจากที่ศึกษาเป็นเวลา 3 ปี ก็จะมีการสอบ เพื่อให้ได้ใบวุฒิบัตร ซึ่งเป็นเหมือนใบอนุญาตในการทำงานในฐานะพยาธิแพทย์ เรียนมา 3 ปี ตัดสินกันโดยการสอบ 3 วัน (สอบเมื่อ 9-11 มิ.ย. 2008) ซึ่งถ้าไม่ผ่าน ก็หมายความว่าต้องรอสอบใหม่ในปีถัดไป หรือไม่ก็ต้องสอบเสริม (ในกรณีที่สอบภาคทฤษฎีไม่ผ่าน)

ตลอดเดือน พฤษภาคม จนถึงต้นเดือนมิถุนายน คือ ช่วงก่อนสอบ ผมก็ได้รับอนุญาตให้หยุดเพื่อที่จะเตรียมตัวในการสอบ เป็นช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับความเชื่อ และการวางใจมากทีเดียวครับ

ช่วงเวลานี้ ป็นช่วงเวลาที่ผมกลัว วิตกกังวล และเครียดที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ ในชีวิตไม่เคยกลัวว่าจะสอบตกมาก่อน (เพราะเดิมเคยคิดแค่ว่าจะ A หรือไม่ A เท่านั้น) ซึ่งเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงช่วยผมตลอดมา (ขอเน้นย้ำว่าเป็นพระคุณของพระเจ้าจริง ๆ ครับผม เพราะด้วยกำลังของผม คงจะทำไม่ได้แน่ ๆ) แต่ในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กลัวสอบตก เพราะว่าถ้าเกิดสอบไม่ผ่าน ก็จะมีผลกระทบตามมามากมาย เนื่องจากที่ทำงานของผม (วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า) ได้ทำการจัดตารางการดูแลนักเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว และวันที่ 11-14 มิ.ย. หลังจากสอบเสร็จนั้นเอง ผมได้ตัดสินใจที่จะไปร่วมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ จ. มหาสารคาม ซี่งจัดโดยคริสตจักรเครือ Methodist เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างสัมพันธ์กับชุมชนของคริสตจักร ซึ่งถ้าเกิดสอบไม่ผ่านขึ้นมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ? จะไปร่วมกับหน่วยแพทย์ได้หรือไม่ ? แต่สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือ แล้วผมจะตอบคำถามกับคนที่ทำงานของผมได้อย่างไร ว่าทำไมถึงสอบตก ซึ่งจะทำให้พระนามของพระเจ้าต้องเสียเกียรติเพราะตัวผมเอง

ช่วงเวลาเตรียมตัวสอบนี้ ยิ่งอ่านหนังสือ ก็ยิ่งเครียด ยิ่งรู้สึกว่าทำไมถึงจำไม่ได้เสียที แล้วจะสอบผ่านได้อย่างไร และสิ่งที่กลัวที่สุดคือการสอบดูกล้องจุลทรรศน์ หรือที่เรียกว่า สอบแล็บกริ๊ง ซึ่งคนที่เรียนสายทางวิทยาศาสตร์คงจะรู้จักดีนะครับ ว่าตื่นเต้นระทึกขวัญเพียงใด เพราะว่าดูจากแนวข้อสอบในปีก่อน ๆ แล้ว มีหลายโรคทีเดียว ที่ผมยังไม่เคยได้เจอกับเคสจริง ๆ เลย เคยเห็นแต่รูปในหนังสือ

ช่วงเวลานี้ ผมได้รู้สึกถึงความอ่อนแอ รู้สึกว่าความเชื่อของเราน้อยเหลือเกิน แม้ภายนอก ผมอาจจะสามารถดูร่าเริงเช่นปกติ ผมเคยสามารถพูดข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ เกี่ยวกับความเชื่อได้ แต่เมื่อต้องประสบกับตัวเอง ถึงขนาดว่าทำอะไรไม่ถูก จากที่เคยคิดว่าตนเองเข้มแข็ง แต่ก็ทำให้พบว่าจริง ๆ แล้วผมขาดความเชื่อมากเพียงใด อ่อนแอมากเพียงใด

ขอบคุณพระเจ้า ในช่วงที่เตรียมตัวสอบนี้เอง ผมก็ได้รับคำหนุนใจมากมายจากพี่น้องคริสเตียน และด้วยแรงอธิษฐานจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มเซลล์ ทำให้ผมมีกำลัง และที่สำคัญ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับข้อพระคัมภีร์ และบทความผ่านทางหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Experiencing the Heart of Jesus ซึ่ง อ.พรจิต (ประธานคณะเพื่อคุณ) ได้มอบให้แก่กรรมการ เพื่อใช้ในการสามัคคีธรรมร่วมกันก่อนการประชุม ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้หนุนใจผมอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงใกล้สอบ

ที่กลุ่มเซลล์ ในช่วงก่อนสอบ ได้มีการศึกษาเรื่องความเชื่อ ซึ่งได้หนุนใจผมอย่างมาก และผู้นำเซลล์ (ภญ.จิราภา รักษ์สาคร) ได้เปิดโอกาสให้ได้แบ่งปันกันเกี่ยวกับความเชื่อ ทำให้ผมได้นึกถึงเหตุการณ์ขณะที่สาวกทรงอยู่ในเรือ ร่วมกับพระเยซู และได้แบ่งปันออกมา ซึ่งผมก็ได้กล่าวเรื่องราว จนถึงคำตรัสของพระเยซู ทำให้ผมต้องอึ้ง และสะเทือนใจมาก ที่พระองค์ทรงตรัสว่า

"พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 'ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?' "
(ลูกา 8:25)

ผมต้องกลับมาฉุกคิดว่า "ความเชื่อของผมอยู่ที่ไหน" ผมได้แต่อธิษฐานขอความเชื่อมากยิ่งขึ้น

โอกาสนี้จะขออนุญาตแบ่งปันถึงสิ่งที่ได้รับการหนุนใจจากหนังสือ Experiencing the Heart of Jesus

ข้อพระคัมภีร์ที่หนังสือเล่มนี้ใช้ในการใคร่ครวญในช่วงแรกคือ

"แต่ถ้าใครรักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น"
(1โครินธ์ 8:3)

ใช่แล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงรู้จักเราดี ทรงทราบดีว่าเราอ่อนแอเพียงใด และพระองค์ก็ทรงปลอบใจ มอบความหวังอย่างมากมาย

และบทความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ เป็นการสมมติการสัมภาษณ์โมเสส ขณะที่ท่านนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และอยู่ระหว่างทะเลแดงกับทหารชาวอียิปต์ ผู้สัมภาษณ์ได้ถามท่านโมเสสว่า "ท่านทำอย่างไร เมื่ออยู่ระหว่างทะเลแดงและทหารชาวอียิปต์" ท่านโมเสสได้ตอบว่า "สิ่งที่ทำได้ คือ อยู่นิ่ง ๆ และรอคอยการทรงช่วยจากพระเจ้า" และบทความตอนนี้ยังได้เน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่าง "Escape" และ "Deliver" ว่าต่างกันอย่างไร โดย Escape เป็นการที่เราอาศัยกำลังของตนเอง แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราบอกว่าเราได้รับการปลดปล่อย (Delivered) นั่นหมายความว่า เราไม่ได้ใช้กำลังของตนเอง แต่ได้รับการทรงช่วยกู้จากพระเจ้า

จุดนี้เอง ทำให้ผมต้องเปลี่ยนท่าที จากพึ่งตนเอง (อย่างที่มักจะทำเสมอ ๆ) ที่พยายามหนีให้ผ่านพ้นการสอบไปได้ เปลี่ยนเป็น เข้าเฝ้าพระเจ้า รอคอยการทรงช่วยกู้จากพระเจ้า เพราะผมรู้สึกว่าผมสู้ต่อไม่ไหวแล้ว ขอพระเจ้าที่จะนำให้ผ่านพ้นการสอบในครั้งนี้

แม้แต่คืนก่อนที่จะสอบภาคปฏิบัติ (แล็บกริ๊ง) เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ก็ได้มีพระคัมภีร์หนุนใจ คือ

"แต่เมื่อพวกเขามอบตัวท่านนั้น อย่ากังวลว่าจะพูดอะไรหรืออย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คำที่พวกท่านจะพูดนั้น พระเจ้าจะประทานแก่พวกท่าน"
(มัทธิว 10:19)

(แม้จะไม่ตรงกับบริบทเสียทีเดียว แต่ผมก็มั่นใจว่า พระองค์ทรงต้องการหนุนใจผม ว่าไม่ต้องกลัวว่าจะดูสไลด์ไม่ออก เพราะว่าพระองค์จะทรงบอกคำตอบแก่ผมเอง)

ขอบคุณพระเจ้า จากเหตุการณ์ต่าง ๆ นี้เอง ทำให้ผมมีกำลังใจ ทำให้ผมมีความหวังใจ และเพิ่มเติมความเชื่อให้แก่ผมอย่างมากมาย

และขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงให้ผมมีคุณแม่ที่น่ารัก ที่คอยให้กำลังใจผมเสมอ และเป็นผู้ที่ช่วยปลุกผมให้ตื่นไปสอบทัน (ซึ่งเป็นปัญหาหลักของตัวผมเองเลยครับ คือ เรื่องการตื่นนอนตอนเช้า)

ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดก็สอบผ่าน โดยมีผู้สอบทั้งสิ้น 18 ท่าน ผ่านรอบแรกเพียงประมาณ 5 คน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินความสามารถขอบผมอย่างแน่นอน ที่จะเป็น 1 ใน 5 ของคนที่ผ่านรอบแรก เป็นพระคุณที่ผมได้รับจากพระเจ้าจริง ๆ ครับผม

จากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่า "พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงช่วยผมได้" ขอพระเกียรติจะเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว

หลังจากทราบผลสอบ ผมรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนขณะที่ชาวอิสราเอลได้รับการทรงช่วยกู้ให้ผ่านทะเลแดงไปได้ ผมได้แต่อธิษฐานต่อพระเจ้า ที่จะไม่ลืมความรู้สึกนี้เลย เพื่อที่จะเป็นกำลังให้ผมในการเผชิญต่อการทดลองต่าง ๆ ต่อไป อย่าให้ผมเป็นเหมือนชาวอิสราเอลที่ได้ลืมพระคุณของพระเจ้าในขณะที่เดินทางในถิ่นทุรกันดารเลย

และผมก็ได้รีบจัดกระเป๋า เดินทางไปรับใช้พระองค์ที่มหาสารคาม ด้วยใจขอบพระคุณอย่างยิ่ง และขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานโอกาสให้ผมได้ไปร่วมรับใช้ในครั้งนี้ เพราะผมได้รับการหนุนใจอย่างมาก ทั้งจาก อ.ประเสริฐ จาก พี่จี๊ด (staff ของ สคบท.) จากพี่ ๆ หลายคน และ ได้รู้จักกับคนอื่น ๆ อีกมากมาย ได้เห็นถึงความตั้งใจในการรับใช้ของผู้รับใช้ และของชาวสิงคโปร์ที่มาร่วมงานรับใช้ในครั้งนี้ เป็นแบบอย่างที่ดีอย่างมากครับ ซึ่งผมคงจะไม่ได้รับประสบการณ์ดี ๆ เหล่านี้แน่นอน ถ้าหากพระองค์มิได้ทรงช่วยในการสอบครั้งนี้

จึงอยากให้เรื่องราวนี้ เป็นที่หนุนใจพี่น้องที่กำลังเผชิญกับปัญหาใด ๆ ก็ตาม พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงกระทำไม่ได้

ในธุรกิจ SME มักจะหนุนใจว่า "ผมทำได้ คุณก็ทำได้" แต่ผมจะขออนุญาตหนุนใจพี่น้องว่า "พระเจ้าทรงช่วยผมได้ พระเจ้าก็ทรงช่วยคุณได้อย่างแน่นอน" เพราะเรามีพระเจ้าองค์เดียวกัน เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่เราทำตามเงื่อนไข อาทิเช่น เชื่อฟัง รักพระเจ้า รับใช้พระเจ้า แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ฯลฯ แล้วพระองค์ก็จะทรงอวยพรเราอย่างแน่นอนพระสัญญาต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เราในพระคัมภีร์ก็จะสำเร็จอย่างแน่นอน

ขอบคุณพระเจ้า


ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com