ระฆังวิวาห์

หลังจากที่คอลินมาร่วมงานกับเราได้ไม่นาน บริษัทก็เริ่มประสบปัญหาทางการเงิน ไมเคิลขอจ่ายเงินเดือนให้คอลินแค่ครึ่งหนึ่งเป็นเวลาหลายเดือน และเมื่อไมเคิลเห็นว่า ฐานะการเงินของบริษัทแย่ลงเรื่อยๆ เขาจึงลอยลำพนักงานทั้งบริษัทโดยการหนีกลับอเมริกาไปพร้อมกับภรรยา ถึงตอนนี้ฉันกับคอลินทำงานร่วมกันมาได้เกือบปีแล้ว พวกเราและเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อีก 3 คน จึงก้าวเข้ามาบริหารงานกันเองเพื่อความอยู่รอดและปากท้องของพนักงาน ก่อนไปไมเคิลไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ใคร แต่คงเพราะเห็นหน้าฉันทุกวัน และทนความสงสารไม่ได้ ที่ฉันมีลูกน้อยๆ ต้องเลี้ยงดู หรืออาจจะเป็นการเลี้ยงดูของพระเจ้าก็ว่าได้ เขาจ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้ฉัน 3 เดือน และบอกให้ไปหางานใหม่ พระเจ้าทรงเลี้ยงดูฉันและลูกอย่างไม่ขัดสนจริงๆ

พวกเราตัดสินใจปิดสำนักงานที่กรุงเทพฯ ช่วงนั้นนิคกี้อยู่ในระหว่างปิดภาคเรียนพอดี ฉันและลูกจึงย้ายไปอยู่หัวหินชั่วคราว ทุกคนสละทั้งเรี่ยวแรงและเวลาทำงานหนักมากขึ้น กอบกู้กิจการของบริษัทจนพอมีเงินที่จะเลี้ยงดูทุกคนต่อไปได้โดยไม่ต้องลดจำนวนพนักงาน เมื่อไมเคิลค้นพบจากการเช็คยอดทางอินเตอร์เน็ตว่า มีเงินหลักล้านโอนเข้าบัญชี ไมเคิลจึงเดินทางกลับมาบริหารงานอีกครั้ง ฉันแนะนำคอลินให้ทวงเงินเดือนที่ติดค้างจากไมเคิล แต่ทุกครั้งที่คอลินทวง ไมเคิลก็มักจะเขียนเช็คจำนวนเล็กน้อยส่งให้

1 เดือนต่อมา ไมเคิลได้นัดประชุมประเมินผลการทำงานของคอลิน และบอกว่า คอลินทำงานไม่ได้เรื่อง ขอให้ออกจากงานไปโดยไม่มีเงินชดเชย และไม่เอ่ยถึงเงินเดือนที่ติดค้างเลยสักนิด

คอลินนำเรื่องไปฟ้องร้องต่อศาลแรงงาน ที่ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นผู้แจ้งจับไมเคิล แต่เขาไหวตัวทัน และเดินทางออกนอกประเทศไปอีกครั้ง คอลินกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายดูซูบเซียวไปถนัดตา เขารู้สึกผิดที่ทำให้บริษัทถูกปิดลง และเพื่อนร่วมงานทุกคนต้องตกงาน ฉันพยายามชี้แจงเท่าไรว่าไม่ใช่ความผิดของคอลิน เขาก็ยังโทษตัวเองอยู่ดี แต่ฉันเชื่อว่า ไม่มีใครปักปรำเขาหรอก ตอนที่ทำงานด้วยกัน คอลินมิใช่หรือ ที่เป็นผู้ออกเงินตั้งหลายครั้งหลายคราให้ลูกน้องไปเดินป่าในจังหวัดใกล้เคียง เพื่อหาเส้นทางใหม่ๆ และถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย

ตัวฉันเอง แอบมองหางานใหม่ตั้งแต่ที่ไมเคิลชี้ทางให้แล้ว และก็มาได้งานที่บริษัททางการเงินระหว่างประเทศที่ใหญ่โตแห่งหนึ่งย่านถนนวิทยุก่อนที่ไมเคิลจะหนีไปรอบที่ 2 เรียกได้ว่า ฉันไม่ได้ตกงานเลย พอออกจากบริษัทของไมเคิล ฉันก็ไปเริ่มงานที่ใหม่ทันที พระเจ้าเข้าใจว่าฉันต้องการรายได้ไว้ใช้สอยในแต่ละวัน ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

วันนี้คอลินมาหาที่ออฟฟิศตอนเลิกงาน ฉันรู้สึกสงสารเขาจับใจ ได้แต่ปลอบใจให้เขาลืมเรื่องเงินทองที่สูญเสียไป แต่เขาว่า มันเป็นเกียรติและประวัติการทำงานของเขาด้วย

เราพากันไปเดินเล่นที่สวนลุมพินีเพราะต่างคนต่างก็ยังไม่หิว ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นของชายที่เคยมีแต่รอยยิ้ม เต็มไปด้วยความสับสนและท้อแท้

"เค็ง ผมคิดว่า ผมจะกลับอังกฤษ" แล้วสิ่งที่ฉันภาวนามาตลอดไม่ให้เกิดขึ้น ก็ออกมาจากปากของเขา

"เมื่อไรล่ะ" ฉันพยายามจะรักษาน้ำเสียงไว้ให้มั่นคงที่สุด

"ก็คิดว่า เร็วที่สุด ผมอยากพาคุณกับนิคกี้ไปด้วย ผมคิดว่าจะไปพักกับพ่อและแม่สักระยะหนึ่งก่อน จนกว่าจะได้งานใหม่"

"คุณพูดจริงหรือเปล่า ฉันก็อยากไปนะ แต่เราต้องแต่งงานกันก่อน" ฉันรู้สึกได้ถึงความเสี่ยงระดับสูงกับเงื่อนไขที่ยื่นไปแบบนั้น แต่คำตอบจากคอลินก็จะเป็นคำตอบจากพระเจ้าด้วยว่า พระองค์มีน้ำพระทัยต่อชีวิตของฉันและคอลินอย่างไร

"คุณก็รู้ว่า ผมกำลังตกงาน และกำลังทุกข์ใจ จะให้ผมแต่งงานได้อย่างไร" คอลินกุมมือของฉันไว้ และกล่าวด้วยสายตาที่วิงวอน

ฉันดึงมือออกมากอดไว้ที่อก ถอนหายใจแรงๆ "ถ้างั้นคุณก็กลับไปคนเดียวเถอะนะ ชีวิตของฉันเคยผิดพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันจะไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก"

"คุณไม่ไว้ใจผมหรือ ผมรักคุณและรักนิคกี้มากนะ เพียงแต่ว่า มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมหรือมีความสุขมากพอที่ผมจะคิดเรื่องการแต่งงาน แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งคุณและนิคกี้ไว้ที่นี่"

"ฉันคงไปไม่ได้หรอกคอลิน ถ้าคุณพร้อมเมื่อไรก็ค่อยกลับมาหาพวกเราแล้วกัน ฉันรอได้" ปากก็บอกไปว่า รอได้ แต่ใจฉันกลับเต็มไปด้วยความกลัวจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ฉันจะทนดูเขาจากไปได้จริงหรือ

"ผมจะลองคิดดูนะ ขอเวลาสักพักนะครับ"

ฉันขอตัวกลับบ้าน เพราะคอลินยังอยากนั่งเงียบๆ คนเดียวที่สวนลุมพินี เพื่อคิดทบทวนถึงสิ่งที่เราเพิ่งคุยกัน

ตลอดระยะเวลากว่าปีที่ผ่านมา เขามักจะมาพบพวกเราที่กรุงเทพฯ ในวันหยุด ฉันชอบเดินห้างฯ แต่คอลินไม่ชอบ พวกเราจึงเลือกที่จะพานิคกี้ไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์เด็ก และขี่จักรยานหรือพายเรือคายัคที่สวนรถไฟตอนแดดร่มเป็นประจำ ในช่วงที่ฉันกับนิคกี้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพักพนักงานที่หัวหินนั้น นิคกี้สามารถนั่งเล่นกับลูกของเพื่อนร่วมงานอีกคนในห้องประชุมโดยไม่งอแงง คอลินคอยดูแลฉันและลูกเป็นอย่างดี นิคกี้เคยถามหลายครั้งว่า "ลุงคอลินนี่ใช่พ่อของหนูหรือเปล่าคะ"

"ไม่ใช่หรอกจ้ะลูก เขาเป็นคุณลุง เขาเป็นเพื่อนของแม่"

ถึงกระนั้นนิคกี้ก็ยังรักลุงคอลินจับใจ เพราะเป็นเพื่อนชายของแม่เพียงคนเดียวที่ไปไหนมาไหนกับเธอ ตั้งแต่เธอจำความได้ ถ้าเขากลับอังกฤษไปตามลำพัง ฉันจะบอกลูกว่าอย่างไร และพวกเราจะอยู่โดยไม่เห็นเขาอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไร


"อารีย์ นี่เค็งนะ อารีย์จะมาเมืองไทยเมื่อไรนะ" ฉันโทรทางไกลไปหาอารีย์ที่ออสเตรเลีย

"อาทิตย์หน้าจ้ะ ไปถึงแล้วจะโทรไป อยากเจอนิคกี้ด้วย คงโตมากแล้วสิ"

"3 ขวบครึ่งแล้วจ้ะ เค็งมีเรื่องจะบอกนะ คือว่า เค็งจะแต่งงานอาทิตย์หน้านี้ล่ะ อารีย์คงมาทันพอดี ยังไงก็ให้ปีเตอร์มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้คอลินด้วยนะ เพราะคอลินไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานเก่าเลย"

"อ้าวก็นั่นสิ เขาตกงานอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจะรีบแต่งล่ะ"

"จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่เวลาที่ดีนะ หลังจากที่ไมเคิลไล่คอลินออกจากงาน แล้วเบี้ยวเงินเดือนของคอลินไป 7 เดือน เค็งก็พาคอลินไปฟ้องร้องกับกรมแรงงาน ที่ประจวบฯ แต่ว่า ไมเคิลหนีไปแล้ว ตอนนี้มีแค่หมายจับมีอายุความ 5 ปี" ฉันอธิบายต่อ

"เค็งน่ะ ไปทำงานที่ใหม่มา 4 เดือนแล้ว แต่คอลินยังหางานใหม่ไม่ได้ เขาคิดว่าจะกลับไปหางานที่อังกฤษ แต่ไม่อยากทิ้งเค็งกับนิคกี้ไป เราก็เลยตัดสินใจแต่งงานกันแบบไม่ต้องมีพิธีใหญ่โตนัก อารีย์มาให้ได้นะจ๊ะ"

"จ้ะ ดีใจด้วยนะ อารีย์หวังว่า ชีวิตของเค็งและลูกคงจะได้พบกับความสุขเสียที หลังจากที่ลำบากกันมามากแล้ว"


หลังจากวันนั้นที่เราคุยกันที่สวนลุมพินี คอลินก็เดินทางกลับไปเก็บของออกจากบ้านเช่าที่หัวหิน เขาย้ายออกจากบ้านพักพนักงานมาหลายเดือนแล้ว และต้องออกค่าเช่าบ้านเองในระหว่างที่ฟ้องร้องไมเคิล เมื่อไมเคิลไม่อยู่ คดีก็หยุดชะงัก ไม่มีความจำเป็นอะไรที่คอลินจะต้องพักอยู่ที่หัวหินอีกต่อไป เขาขนข้าวของมาที่โรงแรมในกรุงเทพฯ ที่เคยพักเป็นประจำ และมาพบฉันที่ออฟฟิศในเย็นวันศุกร์ ฉันเดินออกจากลิฟต์ภายในอาคารมาก็พบคอลินคุกเข่าอยู่ตรงลานน้ำพุหน้าลิฟต์ พร้อมดอกคาร์เนชั่นช่อใหญ่ในมือ ฉันเหลียวซ้ายแลขวา มองดูผู้คนรอบๆ ข้างและส่งสัญญาณมือให้คอลินลุกขึ้น แต่เขาก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นจนฉันเดินเข้าไปใกล้

"เค็ง แต่งงานกับผมนะครับ" แม้ว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ที่สุดของชีวิต เขาก็ยังเลือกที่จะมอบความถูกต้องให้กับฉัน

ฉันรีบฉุดมือของเขาให้ลุกขึ้นยืน และตอบรับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

วันนั้นฉันพาคอลินกลับไปพบแม่ที่บ้าน และแม่ได้เอ่ยปากชวนให้คอลินมาพักอยู่กับพวกเราจนกว่าจะถึงวันเดินทางกลับอังกฤษ แม่บอกว่า "อดใจหายไม่ได้ ที่จะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นิคกี้อีก แต่ก็ดีใจที่เค็งและลูกจะได้ไปอยู่กับคนดีๆ อย่างคอลิน"

เมื่อการนมัสการในวันอาทิตย์สิ้นสุด ฉันรีบพาคอลินไปพบศิษยาภิบาล และบอกให้ท่านทราบถึงการตัดสินใจของเรา ท่านบอกว่า อยากให้งานแต่งงานของเราเรียบง่ายและต่อเนื่องจากการนมัสการในเช้าวันอาทิตย์ เพื่อที่สมาชิกจะได้อยู่ร่วมเป็นพยานด้วย อาจารย์วินิจถามว่า "คิดว่าเมื่อไรดี"

"เมื่อไรก็ได้ แล้วแต่อาจารย์จะเห็นว่าเหมาะสม" พวกเราตอบ

"ถ้างั้น อีก 3 อาทิตย์" อาจารย์บอกว่าให้เตรียมแค่แหวนทองเกลี้ยงมาเท่านั้น นอกนั้นทางโบสถ์จะจัดการเอง ฉันถามถึงเรื่องอาหารและดอกไม้ เลขาฯ ของอาจารย์บอกว่า "ไม่ต้องกังวล เราจะเตรียมให้ทุกอย่าง" ตอนนั้นฉันมั่นใจว่า ต้องฝากทุกอย่างไว้กับพระเจ้าจริงๆ

คอลินรีบหมุนโทรศัพท์ไปหาพ่อกับแม่ที่อังกฤษ "พ่อครับ แม่ครับ ผมจะแต่งงานกับเค็งในอีก 3 อาทิตย์นี้ ไม่ต้องมาก็ได้นะครับ โทรมาบอกให้ทราบเท่านั้นเอง"

"อ้าว แล้วเมื่อตอนพบกันเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ไม่เห็นบอกเลยว่า มีการหมั้นหมายหรือวางแผนจะแต่งงานกัน เธอเองก็ยังตกงานอยู่ไม่ใช่หรือคอลิน แล้วเงินที่โดนเบี้ยวไปได้คืนหรือยัง" แม่ถาม

"ยังหรอกครับ แต่ผมจะกลับอังกฤษ และพาเค็งกับลูกไปด้วย พวกเราจึงตัดสินใจแต่งงานกัน"

เมื่อครั้งที่พบกันตอนท่านทั้ง 2 มาเยี่ยมคอลิน แม่แอบวานให้พ่อมาถามฉันว่า "เธอกับคอลินมีอะไรที่ชอบเหมือนกันบ้าง" ฉันตอบอย่างไม่ต้องคิดนาน "ไม่มีค่ะ"

เพราะคอลินเป็นคนชอบเล่นกีฬากลางแจ้งทุกประเภท แต่ฉันเกิดในกรุง โตมากับตึก ไม่ชอบออกกำลังกาย วันหยุดก็มักไปเดินห้าง ดูหนัง ฟังเพลง ฉันชอบทานอาหารร้านหรูๆ แต่คอลินเป็นคนสมถะ และไม่ฟุ่มเฟือย ฉันบอกพ่อไปว่า "คงมีสิ่งเดียวที่พวกเรามีเหมือนกัน ก็คือ จิตใจที่อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจในผู้อื่น และเป็นผู้ให้ที่ดี"

ไม่รู้ว่า.. ฉันสอบผ่านคำถามของพ่อและแม่หรือไม่ แต่พวกเขาก็รีบจองตั๋วเครื่องบินเพื่อมาร่วมงานแต่งงานของลูกชายคนเล็ก


ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่เช้านี้รถก็ยังติดเหมือนเคย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ฉันอยู่ในแท็กซี่ "อยู่ไหนแล้วเค็ง" เสียงอารีย์ดังมาจากปลายสาย

"อยู่ในแท็กซี่ ตอนนี้ถึงดินแดงแล้วจ้ะ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว"

"จ้ะ เร็วๆ นะ เจ้าบ่าวของเธอมือไม้สั่น เหงื่อแตกพลักแล้ว อารีย์ให้ปีเตอร์คุยกับเขาอยู่ คอลินเขาคงตื่นเต้น"

คงมีเจ้าสาวไม่กี่คนในโลกนี้ที่นั่งรถแท็กซี่มาโบสถ์ ชุดแต่งงานของฉันเป็นชุดสั้นเข้ารูปสีครีม ผ้าลูกไม้ ยาวถึงแค่เข่า ตอนที่ไปตัดชุด ฉันบอกช่างตัดเสื้อว่า จะใส่ไปงานหมั้น เพื่อที่เธอจะไม่คิดราคาแพงจนเกินไป เมื่อเช้าฉันเดินไปให้คนข้างบ้านเกล้าผมให้ พอ ‘นุช’ เพื่อนสมัยเรียนที่จะมาแต่งหน้าให้มาถึงที่บ้านก็บ่น

"เป็นเจ้าสาวยังไงเนี่ย เพิ่งจะมานั่งทาเล็บตอนนี้ ดูท่าทางเธอไม่ได้ตื่นเต้นเลยนะ"

"ตื่นเต้นสิจ๊ะ แต่ว่าเค็งก็พยายามจะทำให้มันเรียบง่ายที่สุด"

"แล้วไหนล่ะช่อดอกไม้ของเธอ" นุชถาม

"ทางโบสถ์เขาจะจัดให้ ไม่ต้องห่วง" ฉันอมยิ้ม และนั่งทาเล็บต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ

หลายวันก่อนฉันโทรไปถามนุชว่า "นุชมีสร้อยคอจี้เพชรเล็กๆ บ้างไหม คือว่า สร้อยไข่มุกที่เพื่อนๆ ให้มา ดูไม่ค่อยเข้ากับชุดของเค็งสักเท่าไร"

"มีอยู่เส้นหนึ่ง มีต่างหูเข้าชุดกันด้วย แต่ว่าไม่ใช่เพชรจริงนะ ซื้อมาจากเซ็นทรัลนานแล้ว ไม่ค่อยได้ใส่"

"ถ้างั้น นุชพกมาด้วยได้ไหม ลองเอามาเปรียบเทียบกับสร้อยไข่มุกดูว่า อันไหนเข้ากับชุดแต่งงานมากกว่ากันนะ"

เมื่อนุชแต่งหน้าให้ฉันเสร็จ ฉันก็หยิบสร้อยไข่มุกญี่ปุ่นที่เพื่อนๆ ร่วมหุ้นกันซื้อให้เป็นของขวัญแต่งงานขึ้นทาบที่คอ แล้วไข่มุกไม่ต่ำกว่า 20 เม็ดก็เริ่มร่วงหล่นลงสู่พื้น

"สร้อยขาดแล้วล่ะนุช ทำไงดี สงสัยเขาจะร้อยมาไม่ดี ปมคงไม่แข็งแรงพอ" ฉันร้องด้วยความตกใจ

"อ้อ นุชเอาสร้อยมาด้วย วันนั้นที่เค็งโทรไป นุชก็รีบหยิบใส่กระเป๋าไว้เลย เพราะกลัวลืม นี่ก็ลืมไปแล้วจริงๆ" นุชรีบควานหาของในกระเป๋า

ฉันหยิบสร้อยที่มีจี้เพชรรูปหยดน้ำและต่างหูมาใส่พร้อมกับมองดูตัวเองที่กระจก

"เข้ากับชุดมากๆ เลยล่ะ" นุชเอ่ย "นุชเชื่อแล้วล่ะว่า พระเจ้าอยู่ด้วยกับเค็งตลอดเวลา"


เมื่อฉันไปถึงโบสถ์ก็รู้ว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกอย่างจริงๆ ไม่ลืมแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ภายในโบสถ์ถูกประดับด้วยดอกกุหลาบสีขาว ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด เลขาฯ ของศาสนาจารย์รีบนำกุหลาบ 1 ดอกมาเสียบที่ผมของฉัน และยื่นช่อดอกกุหลาบสีชมพูให้ คอลินอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงิน เนคไทลายสก็อตสีเขียว แดง น้ำเงิน ซึ่งเขาบอกว่า เป็นลายผ้าของตระกูลกันน์ ซึ่งมีรากฐานมาจากประเทศสก็อตแลนด์

ลูกสาวของฉันอยู่ในชุดกระโปรงบานที่ทำจากผ้าแก้วสีชมพูอ่อน ถักเปีย 2 ข้าง ดูแล้วเหมือนเจ้าหญิงน้อยๆ ที่คอยเดินตามเจ้าสาวในชุดกระโปรงยาวลากพื้นที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ฉันไม่รู้ว่านิคกี้เข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่เธอดูตื่นเต้นมากกว่าแม่เสียอีก ในระหว่างที่เราทั้งสองกำลังสวมแหวนทองให้แก่กันและกัน นิคกี้ส่งสายตาหยอกล้อให้กับญาติๆ ที่มาร่วมงาน นิคกี้แอบเล่นซิบที่กระโปรงของฉัน ทำเอาฉันใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลูกจะทำแม่ขายหน้าก็คราวนี้ล่ะมั้ง พวกเราเดินลงจากเวทีโดยมีนิคกี้อยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว คอลินไม่ได้จูงมือฉันออกจากโบสถ์เหมือนอย่างเจ้าบ่าวคนอื่น แต่เราสองคนจูงมือนิคกี้คนละข้าง งานแต่งงานของเราไม่เหมือนใคร ไม่มีพิธีใหญ่โต แต่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้าซึ่งอยู่ท่ามกลางเรา ฉันเชื่อว่าสมาชิกกว่า 200 คนซึ่งอยู่ร่วมเป็นพยาน สัมผัสได้ถึงความรักที่คอลินมีให้กับฉันและนิคกี้ และสัมผัสได้ถึงความรอดที่พระองค์ประทานให้กับชีวิตหนึ่งนี้

พี่ลิลลี่มากระซิบบอกฉันว่า "พี่รู้แล้วล่ะว่า วันนั้นพระเจ้าพาเค็งมาพบพี่ เพื่อรู้จักกับพระองค์ แล้วก็พาเค็งออกไปพบงานใหม่ เพื่อจะประทานคู่พระพรให้กับเค็งนั่นเอง"

สรินยา วูด
จากหนังสือ แสงแห่งความหวัง

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com