46. มนุษย์ไม่สามารถอวดในสิ่งใด

มนุษย์ไม่มีอะไรที่ดีในตัวเองและไม่สามารถจะอวดในสิ่งใดเลย

สาวก

ข้าแต่พระเจ้า มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขา มีมนุษย์คนใดเล่าที่คู่ควรกับการที่พระองค์ทรงประทานพระคุณของพระองค์ให้กับเขา ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีเหตุผลใดเล่าที่จะบ่นถ้าพระองค์จะทรงละทิ้งข้าพระองค์ หรือจะมีข้อคัดค้านใดเล่าถ้าพระองค์ไม่ทรงกระทำสิ่งที่ข้าพระองค์ทูลขอ ข้าพระองค์คิดและพูดได้ตามความเป็นจริงว่า "ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ไม่เป็นอะไร ในตัวข้าพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ดี ข้าพระองค์ขาดทุกสิ่งทุกอย่าง และมีแนวโน้มที่จะไปสู่ความไม่มีอะไรเลย เว้นแต่พระองค์จะทรงช่วยเหลือข้าพระองค์และเสริมกำลังภายในข้าพระองค์ มิฉะนั้นข้าพระองค์จะกลายเป็นคนที่ไม่ร้อนไม่เย็นและปล่อยปละละเลย"

แต่พระองค์เจ้าทรงเป็นเหมือนเดิม พระองค์ทรงดำรงเหมือนเดิมอยู่เป็นนิตย์ คือ ดี ยุติธรรม และบริสุทธิ์เสมอ ทรงกระทำทุกสิ่งอย่างถูกต้อง ยุติธรรม และบริสุทธิ์ ทรงจัดการด้วยสติปัญญา แต่ข้าพระองค์ที่มักจะถอยหลังมากกว่าก้าวหน้า ไม่ได้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เพราะข้าพระองค์เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล กระนั้นสภาพของข้าพระองค์ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อพระองค์ทรงพอพระทัยให้เป็นดังนั้น และเมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกเพื่อช่วยข้าพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวโดยไม่ต้องมีความช่วยเหลือของมนุษย์ก็ทรงสามารถช่วยข้าพระองค์และชูกำลังข้าพระองค์ได้อย่างมากมาย จนกระทั่งจิตใจของข้าพระองค์ไม่อาจเปลี่ยนไปไหนอีก แต่กลับใจใหม่และพักพิงในพระองค์ผู้เดียว

เหตุฉะนั้น หากข้าพระองค์รู้จักดีว่าจะสามารถละทิ้งการปลอบโยนฝ่ายโลกทั้งหมดอย่างไร เพื่อจะถึงซึ่งความศรัทธาแท้ หรือข้าพระองค์จำเป็นต้องแสวงหาพระองค์ผู้เดียวเพราะขาดการเล้าโลมจากมนุษย์ ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์ก็สมควรหวังว่าจะได้รับพระคุณจากพระองค์และชื่นชมยินดีในการได้รับการปลอบโยนใหม่เป็นของประทาน

เมื่อไรก็ตามที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็โมทนาขอบพระคุณพระองค์ที่เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งสารพัด ในสายพระเนตรของพระองค์ข้าพระองค์เป็นอนิจจังและเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อ่อนแอและไม่มั่นคงที่ไม่มีอะไรเลย ฉะนั้น ข้าพระองค์จะสามารถอวดในสิ่งใดได้ และจะมีความปรารถนาจะได้รับความนับถืออย่างสูงเพราะสิ่งใดเล่า จะเป็นเพราะข้าพระองค์ไม่มีอะไรเลยหรือ นี่ก็ล้วนเป็นอนิจจัง แท้จริงแล้ว สิ่งที่อนิจจังมากที่สุด คือ โรคร้ายแห่งความหยิ่งยโสทะนงตัวโดยไร้เหตุ เพราะสิ่งนี้จูงใจให้หันจากศักดิ์ศรีที่แท้จริง และกันไม่ให้เราได้รับพระคุณจากสวรรค์ เพราะเมื่อบุคคลหนึ่งพอใจในตัวเอง เขาก็ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย เมื่อเขาหิวกระหายคำชมเชยจากมนุษย์ เขาก็ขาดคุณธรรมที่แท้จริง แต่พระสิริและความปลาบปลื้มยินดีที่แท้ คือ ความภูมิใจในพระองค์ ไม่ใช่ตนเอง ความชื่นชมยินดีในพระนามของพระองค์มากกว่าในคุณงามความดีของตนเอง และการไม่มีความสุขเพราะสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นใด ๆ เว้นแต่เพราะเห็นแก่พระองค์

ขอให้พระนามของพระองค์ ไม่ใช่ชื่อของข้าพระองค์ ที่ได้รับการสรรเสริญ ขอให้กิจกรรมของพระองค์ ไม่ใช่ของข้าพระองค์ ที่ได้รับการยกย่อง ขอสาธุการพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่อย่าให้ข้าพระองค์รับคำยกย่องจากมนุษย์เลย พระองค์ทรงเป็นพระสิริของข้าพระองค์ ทรงเป็นความชื่นชมยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะปลื้มปีติในพระองค์และชื่นชมยินดีตลอดวัน และสำหรับข้าพระองค์เองจะไม่อวดสิ่งใดนอกจากจุดบกพร่องของข้าพระองค์

ขอให้ชาวยิวแสวงหาเกียรติที่มาจากผู้อื่น ข้าพระองค์จะแสวงหาเกียรติที่มาจากพระเจ้าแต่ผู้เดียว บรรดาศักดิ์ศรีของมนุษย์ บรรดาเกียรติของกาลสมัย บรรดายศถาบรรดาศักดิ์แห่งโลก ก็เป็นอนิจจังแท้ และความโง่เขลา เมื่อเปรียบเทียบกับพระสิรินิรันดร์ของพระองค์แล้ว โอ สัจจะของข้าพระองค์ พระเมตตาของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ พระตรีเอกานุภาพที่ได้รับพระพร ขอโปรดรับการสรรเสริญและพระเกียรติ ฤทธิ์เดช และพระสิริแต่ผู้เดียว ตลอดไปเป็นนิตย์นิรันดร์

หนังสือ เลียนแบบพระคริสต์ (Of The Imitation of Christ)
เขียนโดย โธมัส อาเคมพิส (Thomas à Kempis)
แปลโดย พญ. เออร์ซูลา โลเวนธอล
เรียบเรียงโดย กนกบรรณสาร

ความชูใจภายใน

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com