ความตายกับมนุษย์

"ความตาย" เมื่อพูดถึงคำ ๆ นี้ ใคร ๆ ก็ไม่อยากจะเอามันเป็นหัวข้อที่สนทนากัน และก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงคำ ๆ นี้ให้ถึงที่สุด ทำไมพวกเขาไม่อยากที่จะคิดหรือคุยหรือพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดคำนี้กันล่ะ แน่นอน อาจจะมาจากหลายสาเหตุ เช่น

"คิดแล้ว พูดแล้ว ก็มีแต่จะทำให้ใจห่อเหี่ยว อับเฉา ไม่สดชื่น"

"พูดแล้วเป็นลางร้าย อย่าพูดดีกว่า"

"พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ไม่มีอะไรดีขึ้น คุยกันเรื่องอื่นดีกว่า"

แต่การ "ไม่คิด" "ไม่พูด" แล้วจะทำให้เราหนีพ้นจากมันได้หรือ ไม่มีทางเลย แม้พวกเราจะ "ไม่พูด" หรือ "ไม่คิด" ถึงมันก็ตาม แต่พวกเราก็หนีมันไม่พ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราไม่หันหน้ามาเผชิญกับมันล่ะ คุณว่าจริงไหม

1. มนุษย์ทุกคนต้องตาย

นี่เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรวยหรือคนจน คุณก็ต้องตาย

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงหรือคนไร้การศึกษา คุณก็ต้องตาย

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีอำนาจ มีตำแหน่ง หรือเป็นคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง คุณก็ต้องตาย

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีอวัยวะครบ 32 ประการ หรือเป็นคนพิการ คุณก็ต้องตาย

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนจีน คนลาว คนฝรั่ง คนอินเดีย หรือคนไทย คุณก็ต้องตาย

และไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่กลัวตาย หรือไม่กลัวตาย คุณก็ต้องตายอยู่ดี

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น มีคนมากมายหลายคนที่พยายามที่จะเอาชนะความตาย แต่ก็ต้องพบกับความล้มเหลว เช่น

  • จิ๋นซีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ของโลก เมื่อมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต พระองค์ก็เกิดกลัวตายและไม่อยากตาย พระองค์จึงได้ส่งคนไปยังทะเลตะวันออก เพื่อที่จะแสวงหายาอายุวัฒนะที่กินแล้วจะไม่ตาย ผลสุดท้ายเมื่อพระองค์ครองราชย์มาถึงปีที่ 37 ก็ถูกกลบลงในดิน ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนยังอยู่ จิ๋นซีฮ่องเต้ไปไหนแล้ว

  • สลาติน (ผู้ก่อตั้งลัทธิคอมมิวนิสต์) ก็เป็นหนึ่งที่อยากจะได้ยาที่กินแล้วไม่ตาย จึงสนับสนุนบรรดานักวิทยาศาสตร์ในเวลานั้น ให้คิดค้นประดิษฐ์ยาที่กินแล้วไม่ตาย ผลสุดท้ายบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองเหล่านั้น ก็ตายไปทีละคนทีละคน และต่อมาสลาตินก็เข้าร่วมขบวนการตายนี้กับพวกเขาด้วย

มีคนหนึ่งเคยพูดว่า "ถ้าเราหยุดเวลาได้ เราคงไม่ตาย"

แน่นอน ถ้าพวกเราทำได้เช่นนี้ เราก็ไม่ตาย แต่ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว พวกเราไม่สามารถที่จะหยุดเวลาได้เลย ดังนั้นพวกเราทุกคนหนีมันไม่พ้น นั่นก็คือพวกเราทุกคนต้องตาย

2. มนุษย์ทุกคนกลัวตาย

หลายคนเมื่อได้อ่านหัวข้อนี้ อาจจะพูดในใจของตนทันทีว่า

"ไม่จริงหรอก ในโลกนี้มีหลายคนที่ไม่กลัวตาย ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวตาย ทำไมคุณมาด่วนสรุปว่าทุกคนต้องกลัวตายด้วยล่ะ"

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความหมายของคำว่า "กลัวตาย" นั้น ไม่ใช่หมายถึงการไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตาย มีหลายคนในโลกที่ยอมเสียสละชีวิตของตนเอง เพราะเรื่องของความถูกต้อง เรื่องของประเทศชาติ หรืออารมณ์ชั่ววูบ จึงทำให้พวกเขาเหล่านี้ดูเหมือนว่า "ไม่กลัวตาย"

แต่คนที่ไม่กลัวตายเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจความลึกลับของความตาย หรือ มีความมั่นใจที่จะเอาชนะความตายได้แล้ว ตรงกันข้าม พวกเขารู้ดีว่า ความตายนั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดและน่ากลัว แต่เพราะ "อารมณ์" ของเขาในช่วงเวลานั้น หรือบางสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในเวลานั้น ทำให้เขามองเห็นว่าสำคัญกว่าการตายของชีวิตของเขา หรือ จะยุติได้ด้วยการตายของชีวิตของเขา (กรณีการฆ่าตัวตาย)

เพราะฉะนั้น เขาจึงปลุกใจของตนเองไม่ให้กลัวความตาย แต่แท้จริงแล้วการไม่กลัวตายของพวกเขา ก็เพราะมีเรื่องราว หรือเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญกว่า ให้เขาเปรียบเทียบในเวลานั้นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะ "ความตาย" มันไม่น่ากลัวอย่างแน่นอน ถ้าเอาเข้าจริง ๆ ลองคิดถึงความตายเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีองค์ประกอบใด ๆ แล้ว พวกเราทุกคนต่างก็กลัวตายกันอยู่ดี

คุณคงเคยได้ยินสำนวนจีนที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" กันมาแล้ว เบื้องหลังของคนที่พูดประโยคนี้ก็คือเขาคิดว่าเขาเป็นคนไม่กลัวตาย แต่เมื่อมาถึงจุดหรือวินาทีที่จะต้องพบกับความตาย เขาก็เกิดความกลัวขึ้นมาทันที (หลายคนบอกว่า "ฉันไม่กลัวตาย" ส่วนมากก็อยู่ในขอบเขตของสำนวนอันนี้ คือแท้จริงกลัวตาย แต่ปากแข็งหรือเถียงเพื่อต้องการเอาชนะ)

หลายคนกลัวตายเพราะเขารู้สึกว่าจะต้อง "เจ็บ" ก่อนจึงจะตาย ซึ่งก็เป็นจริงในหลายคน แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะบางคนไม่เจ็บก็ตายได้ เช่น การไหลตาย (นอนหลังแล้วตายไปเลย) เพราะฉะนั้น การ "กลัวเจ็บ" ไม่ใช่หมายความว่า "กลัวตาย"

ในเมื่อการไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตาย ไม่ใช่หมายความว่า กลัวตาย การกลัวเจ็บก็ไม่ใช่หมายความว่า กลัวตาย ถ้าเช่นนั้น การกลัวตาย คือการกลัวอะไร

มีเรื่องเล่าว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งไปหาหมอ เพราะรู้สึกว่าตนเองเจ็บหน้าอก เมื่อคุณหมอตรวจเช็คอาการเสร็จแล้ว ก็บอกเศรษฐีว่าเขาเป็นมะเร็งปอดในระยะสุดท้าย อยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือน เศรษฐีนั้นหน้าซีดทันที แล้วพูดกับคุณหมอว่า

เศรษฐี "คุณหมอช่วยผมด้วย"

หมอ "คุณกลัวตายหรือ"

เศรษฐี "กลัวซิ ไม่กลัวผมจะมาหาหมอทำไม"

หมอ "คุณไม่ได้กลัวตายหรอก"

เศรษฐี "คุณหมอรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่กลัวตาย"

หมอ "ทุกวันที่คุณเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก คุณกลัวไหม"

เศรษฐี "ผมจะกลัวทำไม ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก มันเป็นเรื่องธรรมดา"

หมอ "เห็นไหมว่าคุณไม่ได้กลัวตาย คุณก็รู้ว่ามนุษย์เรามีเกิดก็มีตาย คุณตายเป็นเรื่องธรรมดา คุณไม่ตายซิเป็นเรื่องผิดปกติ"

เศรษฐี "ในเมื่อผมไม่ได้กลัวความตาย ถ้าเช่นนั้นผมกำลังกลัวอะไรอยู่ล่ะหมอ"

หมอ "คุณกำลังกลัวว่า คุณตายไปแล้ว คุณจะพบกับอะไร คุณไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน เพราะลึก ๆ แล้วคุณรู้ดีว่า เบื้องหลังความตายนั้นมันมีสิ่งที่น่ากลัวรอคุณอยู่"

สิ่งที่น่ากลัวที่คุณหมอพูดถึงคืออะไร ต่อไปเราจะกล่าวถึงมัน แต่ตอนนี้ให้เรารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม เราทุกคนต่างก็มีความ "กลัวตาย" ชนิดฝังอยู่ในความคิดลึก ๆ ในใจของเรา

3. ทุกเพศทุกวัยมีสิทธิ์ตายได้หมด

เมื่อพูดถึงความตาย หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวของเขา แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องไกลตัวของคุณจริงหรือ คุณคิดว่ามีเพียงคนแก่จึงจะตายหรือ คุณคิดว่ามีแต่เพียงคนป่วยเท่านั้นจึงจะตายหรือ ไม่ใช่เช่นนั้นครับ ถ้าเราดูโลงศพ เราจะเห็นว่ามีหลายขนาด นั่นแสดงว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นเด็กทารก เด็กเล็ก เด็กใหญ่ วัยรุ่น หนุ่มสาว วัยกลางคน คนชรา ต่างก็มีโอกาสที่จะตายได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่า "ความตาย" เป็นเรื่องที่ไกลตัวของคุณอีกต่อไปเลยครับ

4. ทุกคนไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่

"เครื่องบินสายการบิน... แอร์ไลน์ ตกกลางป่า มีคนเสียชีวิต 260 คน"

"รถบัสปะทะกับรถสิบล้อ ตาย 52 คน บาดเจ็บระนาว"

นี่เป็นข่าวคราวที่พวกเรามักจะเห็นปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันต่าง ๆ แต่ผมจะขอถามคุณข้อเดียวว่า

"ถ้าคนเหล่านั้นรู้ก่อนว่า เครื่องบินที่เขาโดยสาร รถที่พวกเขานั่งนั้นจะต้องตกหรือต้องคว่ำ คุณคิดว่าพวกเขาจะนั่งมันไหม"

ไม่มีทางแน่นอน นั่นแสดงว่า พวกเราทุกคนไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่

5. ทุกคนไม่รู้ว่าตายแล้วจะพบกับอะไร

นี่เป็นปัญหาที่ลึกลับ ดำมืด สำหรับมนุษย์ทุกคนเกี่ยวกับเบื้องหลังความตายนี้ แต่ละชาติ แต่ละวัฒนธรรม แต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละศาสนา ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกศาสนานั้น ถึงแม้พวกเขาจะมีความเชื่อของเขาว่า ตายแล้วจะพบอะไรก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจ 100% เลยว่า เมื่อพวกเขาตายไป จะพบกับสิ่งที่เขาเชื่อและเข้าใจนั้นจริงหรือเปล่า

ดังนั้น ถ้าคุณถามคนไทยสักคนหนึ่งว่า "ถ้าวันนี้คุณจากโลกนี้ไป คุณคิดว่าคุณจะไปไหน"

คุณอาจจะได้หลายคำตอบ แต่คำตอบที่คุณจะได้ยินจากพวกเขามากที่สุดก็คือ "ไม่รู้เหมือนกัน" หรือ "แล้วแต่บุญแต่กรรม"

คำตอบเหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่เขารู้และเข้าใจเลย ถ้าเช่นนั้น จริง ๆ แล้วเมื่อมนุษย์ตายไปเขาจะพบกับอะไร

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ คุณพร้อมแล้วหรือ?

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com