กลับบ้านพร้อมลูกน้อย

เสียงออดที่หน้าประตูดังขึ้น คงเป็นแท็กซี่ที่เพิ่งโทรเรียกไปเมื่อกี้นี้ ฉันมองดูรอบห้องเพื่อตรวจดูว่าไม่ลืมของอะไรทิ้งไว้ในห้องของเอเดรียน อันที่จริงฉันก็ไม่ได้เอาอะไรออกจากกระเป๋ามากนัก หลังจากที่ตำรวจช่วยฉันขนย้ายของจากชั้น 2 ลงมาชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องของเอเดรียนที่ฉันแค่อาศัยหลบความหนาวเย็นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้ 8 โมงเช้า บางสิ่งบางอย่างบอกฉันว่า ฉันต้องกลับเมืองไทย แม้ว่าจะต้องบากหน้าไปพบคุณอา น้องชายของพ่อ ผู้เคยลั่นวาจากับฉันไว้ว่า "ไม่ให้ไปนะออสเตรเลีย ถ้าจะไปจริงๆ ก็อย่ากลับมาแล้วกัน" ฉันได้แต่ภาวนาว่า "อาคงจะเมตตาและยกโทษให้ เพราะตัดหลานในสายเลือดคนนี้ไม่ลง"

ฉันเปิดประตูออกไปพบกับแสงสว่างภายนอก ชายตัวเล็กผิวคล้ำหน้าตาคล้ายคนไทย ถามว่า "เรียกแท็กซี่ไปสนามบินใช่ไหมครับ มีกระเป๋ากี่ใบครับ"

"มี 3 ใบ แต่ว่าฉันกำลังตั้งครรภ์ คุณช่วยยกกระเป๋าให้ฉันหน่อยนะคะ แล้วก็รบกวนช่วยนำซองเอกสารนี้ไปฝากที่ประชาสัมพันธ์บริษัทที่อยู่ชั้นบนได้ไหมคะ ฉันขี้เกียจเดินขึ้นไป" ฉันเป็นคนผอมสูง แม้จะตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว แต่ภายใต้เสื้อกันหนาว และกางเกงยีนส์ยืดจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าฉันกำลังจะเป็นแม่คน

ในซองใบนั้นมีกุญแจและพาสปอร์ตของนีล ที่ฉันแอบหยิบมาเมื่อคืน เช้านี้ฉันวิ่งไปถ่ายเอกสารตั้งแต่ร้านเปิด ฉันคงไม่เอามันไปด้วย ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แค่สำเนาใบเดียวคงพอในการแจ้งเกิดให้กับลูกน้อยของฉัน ถ้าช่อง ‘บิดา’ ในใบเกิดเว้นว่างๆ ไว้ได้ ก็คงจะดี ฉันจะได้ไม่ต้องฝังชื่อเขาไว้ในกระดาษแผ่นนั้น

ฉันแหงนมองประตูบ้านของนีลที่ชั้นบนเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่ แต่สิ่งดีๆ ที่เคยมีให้กัน ก็ไม่ได้มีเพียงพอที่จะให้ฉันเก็บกลับไปเป็นความทรงจำ

"เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญขึ้นรถเลยครับ"

ฉันนั่งเงียบมาตลอดทาง จากดับเบิ้ลเบย์ไปสนามบินซิดนีย์ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ฉันคงไปถึงเป็นคนแรกๆ เพื่อเช็คอินสำหรับเที่ยวบินตอนเที่ยง บางสิ่งบางอย่างบอกฉันว่า ฉันต้องกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด เช้านี้ฉันโทรหาอารีย์เพื่อนสนิทแต่เช้าตรู่ อารีย์เป็นคนอยุธยาที่ได้สามีเป็นชาวออสเตรเลีย ชื่อ ปีเตอร์ อันที่จริงฉันไม่รู้จักอารีย์ก่อนมาที่นี่ เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนร่วมงาน ที่พี่ชายย้ำนักย้ำหนาว่า "ถ้ามีอะไรเดือดร้อนโทรไปหาน้องสาวของพี่ได้ตลอด เธอยินดีช่วยเหลือ" พี่เสกคงจะเป็นห่วงฉันไม่น้อยกว่าใคร ในวันที่ฉันยื่นใบลาออกจากงานที่ทำมาเกือบ 10 ปี รุ่นพี่หลายคนเอ่ยปากห้าม แต่อะไรเล่าจะหยุดความรักของคนตาบอดได้ เมื่อฉันมาถึงซิดนีย์ก็รีบติดต่อนัดพบกับอารีย์ตามที่พี่ชายของเธอได้แนะนำมา และเราก็กลายมาเป็นเพื่อนรักกันจนกระทั่งวันนี้

"อารีย์ เค็งอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ เมื่อกี้นี้โทรไปเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินแล้ว เค็งกำลังจะกลับเมืองไทยเช้านี้"

"อ้าวทำไมล่ะ ก็ไหนเค็งว่า จะรอเงิน 5,000 เหรียญจากนีล แล้วกลับวันเสาร์ไม่ใช่เหรอ"

"เค็งรอไม่ไหวแล้วล่ะอารีย์ เมื่อคืนนี้ เค็งพยายามกดเช็คข้อความในมือถือของนีล พอดีใส่รหัสผิดไป 3 หน เครื่องล็อคไปเลย เขานั่งหลับอยู่ในห้องรับแขก ตื่นมาตอนตี 1 จะโทรหาเฮเลน โทรศัพท์มันล็อคเปิดไม่ได้ นีลโวยวายใหญ่เลย แล้วเขาก็โทรแจ้งความว่า เค็งขู่จะฆ่าเขา ตำรวจมากัน 3 คน ช่วยเค็งเก็บข้าวของ" ยังพูดไม่จบอารีย์ก็ขัดจังหวะ

"อ้าวแล้วตอนนี้เค็งอยู่ที่ไหน" น้ำเสียงของอารีย์ตกใจและเป็นห่วงเพื่อนมาก

"เค็งอยู่ห้องเอเดรียนที่ชั้นล่างน่ะ พอดีเอเดรียนไปต่างจังหวัด ตำรวจบอกว่า เค็งไม่มีสิทธิ์อยู่ในบ้านของนีลเพราะว่า เขาแจ้งความว่า เค็งจะทำร้ายเขา แต่ตำรวจก็เชื่อว่า เค็งไม่ได้พูดอย่างนั้น เพราะตอนที่ตำรวจมาถึง มีขวดไวน์เรี่ยราดเต็มห้องรับแขกเลย ตำรวจถามเขาว่าใครดื่ม เขาก็บอกว่า เขาดื่ม"


"แฟนคุณดื่มด้วยหรือเปล่า" ตำรวจถามต่อ

"เปล่า เธอตั้งครรภ์อยู่จะดื่มได้ยังไง" นีลตอบอย่างหัวเสีย "ความสัมพันธ์ของเรามันจบลงแล้ว ผมไม่ไว้ใจที่จะอยู่กับคนที่กำลังโกรธ เธออาจจะฆ่าผมเมื่อไรก็ได้ เพื่อนผมเขาไปต่างจังหวัด 1 อาทิตย์ คุณช่วยเธอย้ายของไปที่ห้องของเพื่อนผมทีได้ไหม ให้เธออยู่ที่นั่นจนกว่าจะมีที่ไป"

"สรินยา พวกเรารู้ว่า คุณกำลังตั้งครรภ์และคุณก็ไม่ได้ดูมีจิตใจโหดร้ายอย่างที่เขากล่าวหา พวกเรารู้สึกเสียใจด้วย แต่อยากบอกคุณว่า อย่าไปเสียใจกับคนประเภทนี้เลยนะ เราจะช่วยคุณเก็บกระเป๋าและขนของลงไปข้างล่าง แล้วพรุ่งนี้คุณไปพบเราที่สถานีตำรวจ เพื่อปรึกษากันว่า คุณจะย้ายไปอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องค่าเสียหายจากนีล คุณคงต้องไปฟ้องร้องกับศาลครอบครัวในภายหลัง" ตำรวจหญิงพูดกับฉัน ในขณะที่ตำรวจชายอีก 2 คนช่วยฉันเก็บข้าวของที่เหลืออยู่

"ขอบคุณมากที่เข้าใจฉัน ฉันคงไม่ฟ้องร้องอะไรเขาหรอก จริงๆ ฉันจะกลับเมืองไทยวันเสาร์นี้แล้ว ตอนนี้ฉันแค่อยู่รอเงิน 5,000เหรียญจากเขาเท่านั้นเอง"

"แล้วคุณมีตั๋วเครื่องบินหรือยัง" พวกเขาถามด้วยความเป็นห่วง

"มีแล้วค่ะ ฉันมีตั๋วไป-กลับที่ซื้อมาจากประเทศไทย"

ตำรวจพาฉันลงมาที่ห้องของเอเดรียน ยื่นกุญแจให้และจากไป หลังจากที่ฉันยืนยันว่า "ฉันไม่เป็นไร และจะไปพบพวกคุณที่สถานีตำรวจพรุ่งนี้เช้า"


"เค็งมาบ้านอารีย์ไหม เดี๋ยวให้ปีเตอร์ไปรับเดี๋ยวนี้เลย มาอยู่รอที่นี่จนถึงวันเสาร์ค่อยกลับ"

"ไม่เป็นไรหรอกอารีย์ เค็งโทรไปเปลี่ยนเที่ยวบินแล้ว จะไปเช้านี้ล่ะ ขอบใจมากนะที่คอยดูแลเค็งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา เค็งจะไม่ลืมน้ำใจและมิตรภาพที่ดีที่อารีย์และปีเตอร์มีให้กับเค็งเลยนะ"

"เอางั้นจริงๆ เหรอ ใจจริงอารีย์อยากให้เค็งแอบอยู่ที่นี่จนคลอดเลยนะ ลูกจะได้สัญชาติออสเตรเลียก่อน แล้วค่อยกลับเมืองไทย"

"แล้วจะเอาไปทำอะไรล่ะอารีย์ ไอ้สัญชาติบ้าบอนี่มันก็ไม่ได้จะช่วยอะไรให้ชีวิตของเรา 2 คนแม่ลูกดีขึ้นหรอก ถ้าเกิดรัฐบาลเขายึดลูกเราไป แล้วส่งเค็งเข้าคุกในฐานะคนเถื่อนล่ะ จะทำยังไง วันนั้นที่อารีย์พาเค็งไปกองตรวจคนเข้าเมือง เขาก็บอกแล้วไงว่า ถ้าจะต่อวีซ่าต้องให้นีลมาทำเรื่องให้ หรือไม่ก็จดทะเบียนกัน เค็งจะได้อยู่คลอดลูกที่นี่ แต่นีลเขาไม่อยากอยู่กับเค็งแล้ว จะให้เค็งทำยังไง เงินก็คงไม่ได้ด้วยล่ะ เห็นผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายวันแล้ว"

"คนอะไรมันเลวได้ขนาดนี้นะ อยากจะไปต่อยหน้ามันจริงๆ เลย เอาเถอะ..ถ้าเค็งคิดดีแล้ว อารีย์ก็ขอให้เค็งเดินทางปลอดภัยนะ ดูแลตัวเองและลูกให้ดี ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเค็งจนถึงบ้าน แล้วพรุ่งนี้อารีย์จะโทรไปหานะ"


"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ" คนขับแท็กซี่ถามพร้อมกับแอบมองฉันที่กระจก

ฉันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นสั้นๆ ให้กับคนขับแท็กซี่ฟัง พร้อมน้ำตาหยดน้อยๆ ที่ค่อยๆ ไหลหยดลงสู่หน้าตัก

"ผมไม่ชอบเลยนะที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ ผมเป็นคนฟิลิปปินส์ มาทำมาหากินอยู่ที่นี่ก็จะ 10 ปีแล้ว ผมเกลียดมากๆ เลย เวลาเห็นคนเอเชียด้วยกันโดนกดขี่ห่มเขง"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันก็ต้องดำเนินต่อไป ครอบครัวของฉันคงไม่รังเกียจที่จะเลี้ยงดูเราสองคนแม่ลูก ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับน้ำใจของคุณ"

"ผมขอให้พระเจ้าอวยพรคุณนะ เชื่อผมนะ วันหนึ่งมันจะต้องกลับมาขอดูหน้าลูกของคุณ ขอให้คุณเดินทางโดยปลอดภัยนะครับ"


พระเจ้าอวยพรฉันน่ะหรือ ใครล่ะคือ พระเจ้า เมื่อคืนนี้ตอนเกิดเรื่องตี 1 กว่า ฉันปิดตาไม่ลงเลยทั้งคืน นอนมองเพดานในห้องนอนของเอเดรียน ไม่ว่าจะกรีดร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน

ฉันเกิดมาทำไม?

พระเจ้าเป็นใคร? พระเจ้าอยู่ที่ไหน?

ใครก็ได้ตอบฉันที ถ้าพระเจ้ามีจริง พระองค์มองเห็นความทุกข์ของฉันไหม

วันนี้ถ้าฉันผูกคอตายในห้องนี้ ศพของฉันจะได้กลับถึงเมืองไทยหรือไม่ แล้วพ่อแม่ของฉันจะรู้สึกอย่างไร

ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่า ฉันควรจะทำอะไรต่อไป

ที่แน่ๆ ฉันยังตายไม่ได้ ฉันยังมีลูกน้อยในท้อง อีกเพียงแค่ 4 เดือนเราก็จะได้พบหน้ากันแล้ว

ใช่.. ฟ้าสว่างแล้ว ฉันต้องโทรไปสายการบินเพื่อเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินและกลับบ้านวันนี้ อีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงวันเสาร์ ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่า เขาจะให้เงินฉันอย่างที่สัญญาไว้ ฉันคงทนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ต้องกลับบ้านวันนี้จริงๆ

สรินยา วูด
จากหนังสือ แสงแห่งความหวัง

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com