เหตุผล 10 ประการที่เชื่อว่าพระคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย

1. การตายต่อหน้าสาธารณชน ยืนยันถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

ในระหว่างเทศกาลปัสกาของพวกยิว ฝูงชนที่โกรธแค้นได้จับกุมพระเยซู และนำพระองค์ไปมอบให้ศาลสูงของโรมัน

เมื่อพระองค์ยืนต่อหน้าปีลาต (ปอนทิอัส ปิลาต ผู้ว่าราชการของโรมประจำยูเดีย ระหว่าง ค.ศ. 23-36 เป็นผู้ที่ออกคำสั่งให้ประหารพระเยซูคริสต์อย่างไม่เต็มใจ เพราะท่านเห็นว่าพระเยซูมิได้กระทำผิดแต่ประการใด) เจ้าเมืองแคว้นยูเดียนั้น ผู้นำศาสนาได้กล่าวหาพระเยซูว่า พระองค์ทรงอ้างตนเป็นกษัตริย์ของพวกยิว

ประชาชนเรียกร้องความตายของพระองค์ พระองค์ทรงถูกเฆี่ยน โบยตี และลงโทษให้ถูกประหารกลางแจ้ง บนภูเขานอกกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนอยู่ระหว่างอาชญากร 2 คน เพื่อนที่จิตใจปวดร้าว และศัตรูที่เยาะเย้ยพระองค์ต่างเฝ้าดูการตายของพระองค์

เมื่อวันสะบาโต (วันสะบาโต คือ วันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดของพวกยิว) ใกล้เข้ามา ทหารโรมันได้รับคำสั่งให้เร่งการประหารนักโทษให้ตาย โดยที่พวกเขาต้องหักขาของอาชญากรทั้งสองคน แต่เมื่อมาถึงพระเยซู พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะพวกเขารู้ได้จากประสบการณ์ว่า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว

อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจครั้งสุดท้าย พวกเขาแทงหอกเข้าไปที่สีข้างของพระองค์ เพราะพระองค์อาจสร้างปัญหาให้พวกเขาได้อีก หากว่าพระองค์เพียงแค่สลบไป และฟื้นขึ้นมา

2. เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ประทับตราที่อุโมงค์ฝังศพ

วันต่อมา ผู้นำศาสนามาหาปิลาตอีก พวกเขากล่าวว่า พระเยซูทรงทำนายว่าพระองค์จะทรงฟื้นขึ้นมาในวันที่ 3 เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่สามารถคบคิดกันทำการฟื้นคืนพระชนม์เท็จขึ้น ปิลาตจึงสั่งให้ประทับตราของโรมันไว้ที่อุโมงค์ เพื่อเตือนพวกที่คิดจะเจาะอุโมงค์เข้าไป และเพื่อย้ำคำสั่งนี้ ทหารได้เฝ้ายามอยู่หน้าอุโมงค์ ซึ่งสาวกคนใดที่ต้องการจะยุ่งกับพระศพ ยากที่จะผ่านเข้าไปได้ ทหารโรมันเฝ้ายามอยู่อย่างเข้มแข็ง เพราะว่าโทษของการหลับยาม คือความตาย

"ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ มีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากบ้านอาริมาเธีย ชื่อโยเซฟเป็นศิษย์ของพระเยซูได้เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา โยเซฟก็เชิญพระศพเอาผ้าป่านที่สะอาด พันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ที่อุโมงค์ใหม่ของตน ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในศิลา กลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้น ก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์ ในวันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันตระเตรียม พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า 'ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่' เหตุฉะนั้นขอเจ้าคุณได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรง จนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก” ปีลาตจึงบอกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่ทำได้” เขาจึงไปทำอุโมงค์ให้มั่นคง ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามประจำอยู่" (มัทธิว 27:57-66)

3. แม้ว่ามียาม อุโมงค์ว่างเปล่า

ในตอนเช้าหลังวันสะบาโต สาวกบางคนได้ไปที่อุโมงค์เพื่อจะชโลมพระศพ แต่เมื่อไปถึง พวกเขาต้องแปลกใจในสิ่งที่พบ หินก้อนใหญ่ซึ่งได้ปิดทางเข้าอุโมงค์ได้ถูกเคลื่อนไป และพระศพของพระเยซูก็หายไป

เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป สาวก 2 คนวิ่งไปยังที่ฝังศพ อุโมงค์ว่างเปล่า พบแต่ผ้าพันพระศพของพระเยซูวางอยู่อย่างเรียบร้อย

ในระหว่างนั้น ทหารยามบางคนได้เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม และบอกกับเจ้าหน้าที่ยิวว่า พวกเขาหมดสติไปต่อหน้าทูตสวรรค์ที่มากลิ้งหินออก เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น อุโมงค์ก็ว่างเปล่า เจ้าหน้าที่จึงจ่ายเงินจำนวนมาก ให้ทหารยามเพื่อให้โกหก และกล่าวว่า พวกสาวกได้ขโมยพระศพไปในตอนที่พวกทหารหลับอยู่ เจ้าหน้าที่ยังยืนยันกับยามว่า ถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้ไปถึงเจ้าเมือง พวกเขาจะช่วยพูดได้

"เมื่อหญิงเหล่านั้นกำลังไป มียามบางคนในพวกที่เฝ้าอุโมงค์นั้น เข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ทั้งปวง ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นให้พวกมหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกมหาปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร สั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า 'พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืน เมื่อเรานอนหลับอยู่' ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ” ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วจึงทำตามคำแนะนำ และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้" (มัทธิว 28:11-15)

4. หลายคนอ้างว่า ได้เห็นพระองค์ทรงพระชนม์อยู่

ประมาณ ค.ศ. 55 อัครทูตเปาโลบันทึกว่า พระคริสต์ ซึ่งเป็นขึ้นจากความตาย ได้ปรากฎแก่เปโตร อัครทูต 12 คน และสาวกกว่า 500 คน (หลายคนยังมีชีวิตอยู่ในเวลาที่ท่านเขียนนั้น) รวมทั้ง ยากอบ และตัวท่านเอง (1โครินธ์ 15:5-8) โดยการกล่าวเปิดเผยเช่นนี้ ท่านให้โอกาสแก่ผู้จับผิดในการตรวจสอบด้วยตนเอง

ยิ่งกว่านั้น พันธสัญญาใหม่ ยังเริ่มต้นประวัติโดยการที่สาวกของพระคริสต์กล่าวว่าพระเยซู

"ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้นด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงสนทนากับเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า" (กิจการ 1:3)

5. ชีวิตของอัครทูตได้เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

เมื่อสาวกใกล้ชิดคนหนึ่งของพระเยซู ละทิ้งและทรยศต่อพระองค์ ส่วนอัครทูตคนอื่น ๆ ต่างหนีเอาชีวิตรอด แม้แต่เปโตรซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยืนยันว่า พร้อมจะตายเพื่ออาจารย์ของตน ก็ยังกลัว และได้ปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักกับพระเยซู

แต่พวกอัครทูตกลับได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ภายในไม่กี่สัปดาห์ พวกเขายืนขึ้นต่อหน้าผู้ที่ได้ตรึงกางเขนผู้นำของตน จิตใจของพวกเขาแกร่งเหมือนเหล็ก และกลายเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดได้ในความมุมานะที่จะสละทุกสิ่งเพื่อผุ้ที่พวกเขาเรียกว่าองค์พระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้หลังจากที่พวกเขาถูกจำคุก เฆี่ยนตี และห้ามกล่าวในพระนามของพระเยซูอีก

หลังจากที่พวกเขาถูกเฆี่ยน เพราะไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของสภาชาวยิว อัครทูตจึงกล่าวกับผู้นำชาวยิวว่า

"ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า 'ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์' " (กิจการ 5:29)

พวกอัครทูตที่ครั้งหนึ่งเคยขลาดกลัวนี้

"ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆวันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์" (กิจการ 5:42)

6. พยานยินดีที่จะตายเพื่อข้ออ้างของตัวเอง

ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยผู้ที่ยอมตายเพื่อความเชื่อ ชายหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนยอมตายเพื่อความเชื่อของตน ด้วยเหตุนี้ สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าสาวกยุคแรกเต็มใจทนทุกข์ และตายเพื่อสิ่งที่ตนเชื่อ แต่สิ่งที่ควรเน้น คือ มีคนมากมายที่เต็มใจตายเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นความจริง

คงไม่มีใครอยากตายเพื่อคำหลอกลวง ข้อเท็จจริงทางจิตวิทยานั้นสำคัญ เพราะว่าสาวกของพระคริสต์ไม่ได้ตายเพื่อความเชื่อที่ยึดถือกันมาอย่างมั่นคง พวกเขาตายเพื่อยืนยันข้ออ้างที่ว่าได้เห็นพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ และเป็นปกติดีภายหลังจากการเป็นขึ้นจากความตาย

พวกเขาตายเพื่อข้ออ้างของเขาว่า พระเยซูคริสต์ไม่เพียงแต่ตายเพื่อความบาปของพวกเขา แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายทางพระกาย เพื่อแสดงว่า พระองค์ไม่ทรงเหมือนผู้นำศาสนาคนใด ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่

7. ผู้เชื่อชาวยิวได้เปลี่ยนวันนมัสการ

วันสะบาโต เพื่อการพักผ่อน และการนมัสการนั้น ถือเป็นพื้นฐานของวิถีชีวิตของชาวยิว ยิวคนใดที่ไม่ได้ถือวันสะบาโต มีความผิดต่อบัญญัติของโมเสส แต่ชาวยิวผู้ติดตามพระคริสต์ เริ่มนมัสการกับผู้เชื่อชาวต่างชาติในวันใหม่ คือวันแรกของสัปดาห์ (วันอาทิตย์) วันซึ่งพวกเขาว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แทนที่วันสะบาโต (วันเสาร์)

"เรื่องการเรี่ยไรเพื่อช่วยธรรมิกชนนั้น ข้าพเจ้าได้สั่งคริสตจักรที่แคว้นกาลาเทียว่าอย่างไร ก็ขอให้ท่านจงกระทำเหมือนกันด้วย ทุกวันต้นสัปดาห์ ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้รับไว้บ้าง เพื่อจะไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามา เมื่อข้าพเจ้ามาถึงแล้ว พวกท่านเห็นชอบจะเลือกผู้ใด ข้าพเจ้าจะใช้ผู้นั้นถือหนังสือและเงินถวายของท่านไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และถ้าสมควรข้าพเจ้าจะไปด้วย คนเหล่านั้นก็จะไปพร้อมกับข้าพเจ้า" (1โครินธ์ 16:1-4)

สำหรับชาวยิวแล้ว นั่นเป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต วันใหม่ และพิธีบัพติสมา สำหรับการกลับใจแบบคริสเตียน เป็นการประกาศว่า พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตายนั้น พวกเขาเชื่อว่า ความตาย การเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ ได้เปิดทางสู่ความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า วิถีทางใหม่นี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนธรรมบัญญัติ แต่ตั้งอยู่บนความช่วยเหลือในการยกโทษบาปและการประทานชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอด

8. แม้ว่าเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง แต่ก็ถูกทำนายไว้อย่างชัดเจน

พวกสาวกไม่ทันตั้งตัว พวกเขามัวคิดว่า พระเมสสิยาห์จะทรงตั้งอาณาจักรของอิสราเอล ความคิดของพวกเขามุ่งที่แผ่นดินทางการเมืองของพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา จนพวกเขาไม่ได้คาดถึงเหตการณ์ที่สำคัญต่อความรอดของจิตวิญญาณ พวกเขาคงจะคิดว่าพระคริสต์ทรงตรัสเป็นการเปรียบเทียบ เมื่อพระองค์ตรัสซ้ำ ๆ ถึงความจำเป็นที่พระองค์ต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย พวกเขาได้พลาดจากสิ่งที่ชัดเจน จนกระทั่ง เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เพราะว่าพระองค์ตรัสเป็นคำอุปมา

ในระหว่างนั้น พวกเขาก็มองข้ามคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ ที่ทำนายถึงผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ ซึ่งจะแบกความบาปของอิสราเอล ผู้ทรงถูกนำไปประหารเหมือนกับแกะก่อนที่พระเจ้าทรงยืดวันทั้งหลายของท่าน

"แต่ก็ยังเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ท่านฟกช้ำ ด้วยความเจ็บไข้ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ท่านจะเห็นพงศ์พันธุ์ของท่าน ท่านจะยืดวันทั้งหลายของท่าน น้ำพระทัยของพระเจ้าจะเจริญขึ้นในมือของท่าน" (อิสยาห์ 53:10)

9. เป็นจุดสุดยอดของชีวิตที่อัศจรรย์

ขณะที่พระเยซูถูกตรึงไว้บนกางเขนนั้น ฝูงชนเยาะเย้ยพระองค์ว่า พระองค์ช่วยคนอื่นได้ แต่จะทรงช่วยตนเองได้หรือ ? การอัศจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือ ?

ดูเหมือนเป็นการสิ้นสุดลงอย่างไม่คาดฝันของผุ้ที่เริ่มต้นชีวิตต่อหน้าสาธารณชน การเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น

ตลอดสามปีในการรับใช้ พระองค์ทรงเดินบนน้ำ รักษาคนเจ็บป่วย เปิดตาคนตาบอด รักษาคนหูหนวก และเป็นใบ้ คนง่อย ขับผี ห้ามลมพายุให้สงบ และเรียกคนตายให้ฟื้น

พระองค์ทรงถามคำถามซึ่งปราชญ์ตอบไม่ได้ พระองค์ทรงสอนความจริงที่ลึกซึ้งด้วยการเปรียบเทียบที่ง่ายที่สุด และพระองค์ทรงเผชิญหน้าคนหน้าซื่อใจคด ด้วยถ้อยคำที่เปิดเผยความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา

ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริง เราจะแปลกใจอย่างนั้นหรือ เมื่อศัตรูพระองค์ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ ?

"แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น" (มัทธิว 19:30)

"เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ก็พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และตรัสกับเขาตามทางว่า “เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติให้เยาะเย้ยเฆี่ยนตี และให้ตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สาม ท่านจึงจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่” " (มัทธิว 20:17-19)

10. สอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้ที่วางใจในพระองค์

อัครทูตเปาโล เขียนว่า

"ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย " (โรม 8:11)

นี่เป็นประสบการณ์ของเปาโล และของผู้คนทั่วโลก ผู้ได้ "ตาย" ต่อชีวิตเก่า เพื่อว่าพระคริสต์จะทรงสามารถดำเนินพระชนม์ชีพของพระองค์ผ่านพวกเขา

ผู้ที่เชื่อในพระคริสต์ แต่ไม่ทิ้งชีวิตเก่า จะไม่ได้สัมผัสฤทธิ์อำนาจฝ่ายวิญญาณ แต่หากผู้นั้นเต็มใจ "ตาย" ต่อชีวิตเก่าของตน พระคริสต์ ก็จะเข้าครอบครองชีวิตเขา สิ่งนี้ปรากฎชัดเจนเฉพาะผู้ที่ตอบสนองต่อหลักฐานอันมากมายแห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ โดยยอมรับความเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ในหัวใจของพวกเขา

ไม่ใช่คุณคนเดียว

ถ้าคุณพบว่าตัวเองยังไม่แน่ใจว่า พระครสิต์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงหรือไม่ ขอคุณระลึกว่า พระเยซูทรงสัญญาถึงความช่วยเหลือของพระองค์ต่อผู้ที่ต้องการคืนดีกับพระเจ้า

พระองค์ทรงตรัสว่า

"ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง" (ยอหร์น 7:17)

ถ้าคุณเห็นการเป็นขึ้นจากความตายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ขอระลึกถึงพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า

"คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด" (โรม 10:9-10)

ความรอด ซึ่งพระคริสต์ให้นั้น ไม่ใช่รางวัลของความพยายาม แต่เป็นของประทานให้แก่ผู้ที่ได้วางใจในพระองค์ เนื่องจากหลักฐานเหล่านี้!

แปลโดยองค์การเยาวชนไทยเพื่อพระคริสต์
(เอกสารเดิมของ RBC, Grand Rapids)

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com