ต่อพระพักตร์
บทสนทนา
2

เขาบอกว่า ความรักครอบครองชีวิตของเขาเสมอมา โดยไม่มีความคิดที่เห็นแก่ตัว หลังจากที่เขาตัดสินใจว่าจะให้ความรักต่อพระเจ้าเป็นเป้าหมายในการกระทำทุกอย่าง เขาก็อิ่มเอมใจกับวิธีการนี้ เขาดีใจที่ความรักที่เขามีต่อพระเจ้า ทำให้เขายอมหยิบเศษฟางขึ้นมาจากดิน โดยแสวงหาพระองค์ผู้เดียว มิใช่สิ่งอื่นใดเลย แม้กระทั่งสิ่งของที่พระองค์ทรงประทานให้

เขาเคยไม่สบายใจเป็นเวลายาวนาน เนื่องจากเชื่อว่าตัวเองต้องตกนรกแน่ ๆ และบรรดามนุษย์โลกก็ไม่สามารถชักนำให้เขาเลิกเชื่อในสิ่งนี้ได้ แต่เขาได้โต้แย้งกับตัวเองถึงเรื่องนี้ว่า

"ผมได้เข้ามาในสำนักพรต เพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าเพียงอย่างเดียว และพยายามประพฤติตัวเพื่อเห็นแก่พระองค์เพียงผู้เดียว ไม่ว่าปลายทางของผมจะเป็นเช่นไร จะพินาศหรือจะรอดก็ตาม ผมจะประพฤติต่อไป เพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าเท่านั้น อย่างน้อยก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ ตลอดชีวิตกระทั่งสิ้นลม ผมจะรักพระองค์เท่าที่ทำได้"

ความไม่สบายใจนี้ อยู่นานถึงสี่ปี เป็นช่วงเวลาที่เขาทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่ในที่สุดเขาได้พบว่า ความไม่สบายใจเหล่านี้เกิดจากการขาดความเชื่อ และนับแต่นั้นมา เขาได้ดำเนินชีวิตโดยมีเสรีภาพที่สมบูรณ์ และความชื่นชมยินดีที่ไม่ส่างซา เขาได้นำความบาปของตนมาไว้ระหว่างตัวเขาเองกับพระเจ้า คล้ายกับจะทูลพระองค์ว่า เขาไม่สมควรรับพระพรที่ทรงประทานให้ด้วยความโปรดปราน แต่พระองค์ยังทรงประทานให้อย่างบริบูรณ์

"ถ้าเราอยากจะมีนิสัยสนทนากับพระเจ้าตลอดเวลา และทำทุกสิ่งด้วยเห็นแก่พระองค์ ในช่วงแรกเราต้องเริ่มโดยการเข้าหาพระองค์ด้วยความขยันหมั่นเพียร แต่หลังจากได้ให้ความใส่ใจบ้าง เราน่าจะพบว่า ความรักของพระเจ้าจะปลุกใจเราเองโดยไม่ยากเย็นอะไรเลย"

เขาคาดว่าหลังจากช่วงชีวิตแสนสุขที่พระเจ้าทรงประทานมาให้แล้ว ก็ถึงคราวที่เขาจะประสบความทุกข์ยากลำบาก แต่เขาไม่หนักใจในเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าตัวเขาเองไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย และพระเจ้าจะทรงประทานกำลังที่ช่วยให้เขาทนได้แน่

เมื่อเขามีโอกาสที่จะแสดงคุณธรรมในด้านใด เขาจะเข้าเฝ้าพระเจ้า โดยกล่าวว่า "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจทำได้เว้นแต่พระองค์จะทรงประทานความสามารถให้" แล้วเขาก็ได้รับกำลังเรี่ยวแรงมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้

เมื่อเขาบกพร่องในหน้าที่ เขาเพียงแต่สารภาพความผิดต่อพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์จะไม่มีวันทำได้ดีกว่านี้เลย ถ้าพระองค์ทิ้งให้ข้าพระองค์ทำเองตามลำพัง พระองค์นั่นแหละต้องเป็นผู้ปกป้องไม่ให้ข้าพระองค์ผิดพลาด และแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้" และหลังจากนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหนักใจในสิ่งนั้นอีก

ในการเข้าเฝ้าพระเจ้า เราควรมาหาพระองค์อย่างเรียบง่ายที่สุด พูดกับพระองค์แบบตรงไปตรงมา เปิดใจ และร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์สำหรับกิจการแต่ละอย่างของเราตามจังหวะที่แต่ละเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น พระเจ้าก็ได้ทรงตอบสนองโดยไม่ขาดเลยเท่าที่เขาเองได้ประสบมา

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้ถูกส่งไปที่เบอร์กันดี เพื่อซื้อเหล่าองุ่นมาเก็บไว้ สำหรับพวกคาร์เมลไลท์ ซึ่งเป็นงานที่เขาไม่เต็มใจทำเลย เพราะไม่สันทัดในทางธุรกิจ ซ้ำยังขากะเผลกและไม่สามารถเดินไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว เว้นแต้จะกลิ้งตัวข้ามถังไวน์ไป แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้ร้อนใจถึงเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องการซื้อเหล้าองุ่นด้วย เขาพูดกับพระเจ้าว่า เขากำลังทำธุรกิจของพระองค์อยู่ และหลังจากทำเสร็จแล้วก็พบว่า งานของเขาได้ผลดี

เมื่อปีกลาย เขาได้ถูกส่งตัวไปที่โอแวร์นย์ในธุรกิจอย่างเดียวกัน เขาบอกไม่ถูกว่าเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างไร แต่ถึงกระนั้นก็ได้ผลดียิ่ง

งานในห้องครัวของเขาก็เช่นเดียวกัน (ซึ่งตามปกติแล้วเป็นงานที่เขารังเกียจมิใช่น้อย) เนื่องจากเคยชินกับการทำทุกสิ่งเพราะเห็นแก่ความรักที่มีต่อพระเจ้า และจะอธิษฐานในทุกกรณี เพื่อทูลขอพระคุณของพระองค์ให้สามารถทำงานได้อย่างดี เขาจึงพบว่าทุกสิ่งล้วนเรียบง่ายตลอดสิบห้าปีที่ทำงานที่นั่น

เขาพอใจมากกับหน้าที่การงานปัจจุบัน แต่ก็พร้อมที่จะออกจากตำแหน่งนี้เช่นเดียวกับงานก่อน ๆ เพราะเขาสุขใจเสมอในทุกสถานการณ์ โดยการทำสิ่งธรรมดาสามัญเพราะความรักที่มีต่อพระเจ้า

สำหรับเขาแล้ว การอธิษฐานในเวลาที่กำหนดไว้ (ซึ่งในสำนักพรตมีวันละหลายครั้ง) ไม่ต่างจากการอธิษฐานในเวลาอื่น ๆ ในเวลาที่กำหนดนั้นเขาเข้าไปในห้องเพื่ออธิษฐานตามคำสั่งของหัวหน้า แต่สำหรับเขา การถอนตัวออกจากกิจกรรมเพื่อไปอธิษฐานเช่นนี้ หาใช่สิ่งจำเป็นไม่ รวมทั้งไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ด้วย เพราะไม่ว่าธุรกิจของเขาจะยุ่งสักแค่ไหน ก็ไม่อาจดึงให้เขาหันเหไปจากพระเจ้าได้

เนื่องจากเขารู้ว่าเขามีหน้าที่ที่จะต้องรักพระเจ้าในสารพัดสิ่ง และเนื่องจากเขาพยายามทำเช่นนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องมีหัวหน้าคอยให้คำแนะนำ แต่เขาต้องการพระผู้ที่จะฟังคำสารภาพบาปและกล่าวอภัยต่างหาก เขามีความรู้สึกไวต่อความบกพร่องของตน แต่ไม่ย่อท้อ เพราะความผิดบาปนั้น เพียงแต่สารภาพบาปนั้นต่อพระเจ้า โดยมิได้หาข้อแก้ตัว เมื่อสารภาพบาปแล้ว เขาก็กลับไปใช้ชีวิตในการรักและการยกย่องนมัสการพระเจ้าด้วยใจสงบดังเดิม

ยามที่เขาไม่สบายใจ เขามิได้ปรึกษากับผู้ใดเลย แต่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย เขาเพียงแต่ทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยเห็นแก่พระองค์ คือ ทำโดยมีความปรารถนาที่จะให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม

Nicholas Herman of Lorraine (Brother Lawrence)
จากหนังสือ ต่อพระพักตร์ (The Practice of The Presence of God)
แปลโดย พ.ญ. เออร์ซูลา โลเวนธอล
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com