การที่เราจะศึกษาถึงเรื่องราวต่างๆ ในพระธรรมวิวรณ์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับความยากลำบากในยุคสุดท้าย หรือช่วงกลียุค จำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจกับคำทำนายที่พระเจ้าสำแดงแก่ดาเนียล โดยตอนที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ ดาเนียล 9:24-27
ก่อนหน้าที่พระเจ้าจะเผยข้อคำล้ำลึกนี้ผ่านทางทูตสวรรค์กาเบรียล ดาเนียลกำลังอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อชนชาติอิสราเอล ช่วงนั้นเป็นช่วงครบกำหนดเวลา 70 ปีที่อิสราเอลจะต้องเป็นเชลยรับใช้บาบิโลน
แผ่นดินนี้ทั้งสิ้นจะถูกทิ้งร้างและเป็นที่ร้างเปล่า และบรรดาประชาชาติเหล่านี้จะปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลนอยู่ 70 ปี 12 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า "เมื่อครบ 70 ปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาตินั้น คือแผ่นดินของคนเคลเดียเพราะความผิดบาปของเขาทั้งหลาย เราจะทำให้แผ่นดินนั้นถูกทิ้งร้างอยู่เป็นนิตย์"
(เยเรมีย์ 25:11-12)
ทูตสวรรค์กาเบรียลสำแดงให้ท่านเห็นว่า จะมีอีก 70 สัปดาห์ หรือสัปตะ (แปลว่า 7) คำว่าสัปตะไม่ได้มีความหมายเฉพาะว่าเป็น 7 วัน เดือน หรือปี แต่ในบริบทจะพบว่า ดาเนียลกำลังพิจารณาถึง 70 ปีจากคำพยากรณ์ของเยเรมีย์
1 ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลดาริอัส โอรสกษัตริย์อาหสุเอรัส คนมีเดียโดยกำเนิด ผู้ได้เป็นกษัตริย์เหนืออาณาจักรของคนเคลเดีย
2 ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลของท่าน ข้าพเจ้าดาเนียล ได้ดูในหนังสือพบจำนวนปี ซึ่งตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ทรงมีถึงเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ จะต้องผ่านพ้นไปก่อนสิ้นวันกรุงเยรูซาเล็มร้างเปล่าคือจำนวน 70 ปี
(ดาเนียล 9:1-2)
ดังนั้นจึงน่าจะสรุปได้ว่า 70 สัปตะนี้ หมายถึง 70 "7 ปี" ซึ่งรวมเป็น 490 ปี
จากพระธรรมดาเนียลตอนนี้ จึงสามารถแบ่งช่วงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ช่วง 7 สัปตะแรก (49 ปี)
ช่วง 62 สัปตะต่อมา (434 ปี)
กรุงเยรูซาเล็มโดนทำลาย
ช่วง 1 สัปตะสุดท้าย (7 ปี)
จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ "เจ็ด" และหกสิบสองของ "เจ็ด" จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก
(ดาเนียล 9:25 TNCV)
ช่วงนี้เริ่มต้นจากการที่มีคำสั่งให้สร้างเยรูซาเล็ม ซึ่งน่าจะเป็นคำสั่งของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสที่ให้สร้างเยรูซาเล็มได้ในปีที่ 20 ของรัชกาลของท่าน คำสั่งนี้ได้ออกเมื่อ 445 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งได้แก่ วันแรกของนิสาน (ตรงกับ 14 มี.ค. 445 ปีก่อน ค.ศ.) โดยอ้างอิงจากเนหะมีย์ 2:1-8 หลังจากที่มีคำสั่งให้สร้างเยรูซาเล็ม ได้มีการสร้างถนนและกำแพงเมือง และสร้างจนเสร็จ 49 ปีหลังจากออกคำสั่ง
หลังจากหกสิบสองของ "เจ็ด" ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้
(ดาเนียล 9:26 TNCV)
ช่วงเวลานี้ เมื่อรวมกับ 7 สัปตะแรกจะได้ 69 สัปตะ = 483 ปี สำหรับปฏิทินของชาวยิว หนึ่งปีมี 360 วัน ดังนั้น 483 ปี = 173,880 (483 x 360) วัน และหลังจากสิ้นสุดช่วงนี้ พระเมสสิยาห์จะถูกตัดออก ซึ่งคำว่าถูกตัดออกก็หมายถึงถูกฆ่านั่นเอง
เมื่อคำนวณ จะพบว่าหลังจากที่มีการออกคำสั่งให้สร้างเยรูซาเล็ม คือ 14 มีนาคม 445 ก่อน ค.ศ. ผ่านไปอีก 173,880 วัน ก็จะตรงกับวันที่พระเยซูขี่ลูกลาเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มในวันในปาล์ม ซึ่งตรงกับวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 32 พอดี
การเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูครั้งนี้ เป็นไปตามคำทำนายของเศคาริยาห์ ที่ได้บันทึกไว้ล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์จะขี่ลูกลาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์
ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด
โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง
นี่แน่ะ กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ
ทรงความยุติธรรมและความรอด
พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา
(เศคาริยาห์ 9:9)
นี่เป็นครั้งเดียวเท่านั้นในพระกิตติคุณ ที่พระเยซูประกาศตัวต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผยว่าเป็นกษัตริย์หรือประมุข ดังนั้น การเข้ากรุงเยรูซาเล็มครั้งนี้ของพระเยซูจึงสำเร็จตามคำทำนายของดาเนียล ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เวลาของกษัตริย์ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ (พระเมสสิยาห์) นั้น จะเกิดขึ้นหลังจากการออกคำสั่งให้สร้างเยรูซาเล็ม เป็นเวลา 7 + 62 สัปตะ (เมื่ออ่านฉบับ KJV, NKJV หรือ TNCV)
และแน่นอน พระกิตติคุณบันทึกตรงกันทั้งสี่เล่มว่า ไม่นานหลังจากนั้น พระเยซูก็ถูกตรึงที่กางเขน สำเร็จตามคำทำนายว่า พระเมสสิยาห์จะถูกตัดออกหลังจากเสร็จสิ้น 62 สัปตะแล้ว
ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้
(ดาเนียล 9:26 TNCV)
หลังจากที่พระเมสสิยาห์ถูกตัดออกแล้ว กรุงเยรูซาเล็มก็จะถูกทำลาย ซึ่งคำทำนายนี้ได้สำเร็จแล้วเมื่อปี ค.ศ. 70
นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า ยุคคริสตจักรไม่ได้อยู่ในสัปตะใดๆ เลย แต่อยู่ระหว่างสัปตะที่ 69 และสัปตะสุดท้ายหรือสัปตะที่ 70 ซึ่งเป็นเหมือนช่องว่าง หรือวงเล็บอยู่ จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้แล้ว พระเยซูก็จะรับคริสตจักรของพระองค์ขึ้นไป และสัปตะที่ 70 ก็จะเริ่มต้น
เมื่อพิจารณาจากบริบทแล้ว คำทำนายของดาเนียลเน้นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชนชาติอิสราเอล ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ดาเนียลมองไม่เห็นช่องว่างระหว่างสัปตะที่ 69 และ 70 เพราะว่าเมื่อ ค.ศ. 70 อิสราเอลสิ้นชาติ พระวิหารถูกทำลายอย่างย่อยยับ นาฬิกาโลกตามคำทำนายนี้จึงหยุดเดินโดยปริยาย และสัปตะที่ 70 ก็จะเกิดขึ้นได้ หลังจากที่อิสราเอลรวมชาติขึ้นใหม่ (เกิดขึ้นแล้วเมื่อ ค.ศ. 1948) และพระวิหารถูกสร้างขึ้นใหม่ (จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของคำทำนายเกี่ยวกับการปรากฏตัวของปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่จะทำให้มีการถวายเครื่องบูชา และจะทำให้การถวายเครื่องบูชายุติลงที่กลางสัปตะสุดท้าย ดังที่จะกล่าวต่อไป
ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ "เจ็ด" แต่กลางของ "เจ็ด" นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของ วิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหารซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขาตามที่กำหนดไว้
(ดาเนียล 9:27 TNCV)
เป็นช่วงของความทุกข์ยากลำบากเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยดาเนียลได้บันทึกว่า จะมีการทำพันธสัญญากันระหว่างสัตว์ร้ายและคนเป็นอันมาก และเมื่อผ่านไปครึ่งหนึ่งของสัปตะ ซึ่งก็คือ 3 ปีครึ่ง หรือ 42 สัปดาห์ ก็จะมีการหักพันธสัญญา และหลังจากนั้นก็จะมีความทุกข์ยากลำบากยิ่งใหญ่ในช่วง 3 ปีครึ่งสุดท้าย
ในพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะพระธรรม 2 เธสะโลนิกา และวิวรณ์ ได้มีการกล่าวสอดคล้องกับคำทำนายสำหรับสัปตะสุดท้ายนี้อย่างชัดเจน และเมื่อเรามีความเข้าใจกรอบเวลาที่กำหนดไว้ใน 70 สัปตะแล้ว เราก็จะเข้าใจคำพยากรณ์ของพระคัมภีร์ใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
1 เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและการที่จะทรงรวบรวมเราทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์นั้น พี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่าน
2 อย่าหวั่นไหวง่ายๆ หรือตื่นตระหนกไปกับคำพยากรณ์ รายงาน หรือจดหมายที่อ้างว่ามาจากเรา ระบุว่าวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว
3 อย่าให้ใครมาล่อลวงท่านไม่ว่าในทางใดๆ เพราะยังจะไม่ถึงวันนั้นจนกว่าจะเกิดการกบฏและคนนอกกฎหมายซึ่งถูกกำหนดให้พินาศนั้นปรากฏตัว
4 มันจะต่อต้านและยกตนขึ้นข่มทุกสิ่งที่ได้ชื่อว่าพระเจ้าหรือเป็นที่เคารพบูชา เพื่อว่ามันจะตั้งตนขึ้นครองพระวิหารของพระเจ้าและประกาศตัวเป็นพระเจ้า
5 ท่านจำไม่ได้หรือ? ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านข้าพเจ้าเคยบอกเรื่องนี้แก่ท่านแล้ว?
6 และบัดนี้ท่านรู้ว่าอะไรเหนี่ยวรั้งมันไว้เพื่อให้มันปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม
7 เพราะอำนาจลับๆ ของคนนอกกฎหมายนี้กำลังทำงานอยู่แล้ว แต่ผู้ที่เหนี่ยวรั้งมันไว้ในขณะนี้จะเหนี่ยวรั้งมันไว้ต่อไปจนกว่าเขาจะถูกรับไปพ้นทาง
8 เมื่อนั้นคนนอกกฎหมายนี้จะปรากฏตัว องค์พระเยซูเจ้าจะทรงโค่นล้มมันด้วยลมจากพระโอษฐ์ และทำลายล้างมันด้วยความรุ่งโรจน์ของการเสด็จมาของพระองค์
9 คนนอกกฎหมายนี้จะมาโดยฤทธิ์อำนาจของซาตานซึ่งแสดงออกในการอัศจรรย์ หมายสำคัญ และปาฏิหาริย์สารพัดชนิดซึ่งล้วนแต่จอมปลอม
10 และในความชั่วร้ายทุกชนิดอันล่อลวงบรรดาผู้กำลังจะพินาศ พวกเขาพินาศเพราะปฏิเสธที่จะรักความจริงซึ่งนำไปสู่ความรอด
11 ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงส่งความลุ่มหลงมาครอบงำเขาทั้งหลายเพื่อเขาจะเชื่อคำโกหก
12 และเพื่อคนทั้งปวงที่ไม่ยอมเชื่อความจริงแต่กลับชื่นชมความชั่วร้ายจะถูกตัดสินลงโทษ
(2 เธสะโลนิกา 2:1-12 TNCV)
แต่ลานชั้นนอกของพระวิหารนั้นให้เว้นไว้ไม่ต้องวัด เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้กับคนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำวิสุทธินครตลอดสี่สิบสองเดือน
เราจะให้ฤทธานุภาพแก่พยานทั้งสองของเรา และทั้งสองจะเผยพระวจนะตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวันโดยแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบ
(วิวรณ์ 11:2-3)
พระเจ้าทรงอนุญาตให้สัตว์ร้ายนั้นใช้ปากพูดจาใหญ่โตและหมิ่นประมาทพระเจ้า และทรงอนุญาตให้มันใช้สิทธิอำนาจทำการสี่สิบสองเดือน
(วิวรณ์ 13:5)
ช่วงนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อนาฬิกาโลก (ตามคำทำนายของดาเนียล) กลับมาเดินอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีการสร้างพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง แต่คริสตจักร อันประกอบด้วยผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็จะถูกรับไปก่อน เมื่อพระเยซูกลับมาบนฟ้าอากาศ และตัวแสดงในฉากสัปตะสุดท้ายหลัก ก็คือชาวอิสราเอลนั่นเอง เพราะสัปตะสุดท้าย หรือช่วงแห่งความยากลำบาก (รวมถึงช่วงกลียุคใน 3 ปีครึ่งสุดท้าย) จะเป็นช่วงของการกลับมาหาพระเจ้าของอิสราเอล
คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
(1 เธสะโลนิกา 4:16-18)
ก่อนที่คนนอกกฎหมายจะประกาศตัวขึ้นมา และทำงานของเขาได้อย่างสะดวกได้ "ผู้ที่เหนี่ยวรั้ง" (2 เธสะโลนิกา 2:7) ซึ่งคอยต่อต้านคนนอกกฎหมายนั้น จะต้องถูกรับไปจากโลกนี้ก่อน และ "ผู้ที่เหนี่ยวรั้ง" นี้ก็คือคริสตจักร ซึ่งเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเอง ดังนั้น จึงเป็นที่แน่นอนว่า โลกของเราในช่วงสัปตะที่ 70 นี้ จะเป็นช่วงที่เลวร้ายมาก คนนอกกฎหมายจะมีอำนาจมากเพราะไม่มีใครคอยต่อต้าน และอิสราเอลที่จะหันกลับมาหาพระเจ้าของเขาก็จะต้องฟันฝ่าความยากลำบากต่างๆ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมชีวิตของพวกเขาให้พร้อมกับช่วงเวลาในยุคพันปี
เจ็ดสิบของ "เจ็ด" ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติและนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด
(ดาเนียล 9:24 TNCV)
ดาเนียลได้ระบุไว้ถึงจุดประสงค์ของพระเจ้าสำหรับ 70 สัปตะนี้ในข้อ 24 ซึ่งได้บอกไว้ชัดเจนว่า คำทำนายดังกล่าว เกี่ยวข้องกับชนชาติอิสราเอลเป็นหลัก และเมื่อสัปตะสุดท้ายสิ้นสุดลง การล่วงละเมิดและการทำบาปจะสิ้นสุดลง และความชอบธรรมมั่นคงนิรันดร์จะเกิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการกลับมาของพระเยซูพร้อมกับผู้เชื่อ เพื่อก่อตั้งอาณาจักรใหม่ของพระองค์ เป็นอาณาจักรที่พระองค์และผู้เชื่อที่มีชัยชนะจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์เป็นเวลาพันปี (ยุคพันปี)
การกลับมาของพระเยซูเพื่อก่อตั้งอาณาจักรพันปีนี้ สอดคล้องกับคำทำนายของดาเนียลในบทที่ 2 และนิมิตที่ดาเนียลเห็นในบทที่ 7 ข้อ1-8
31 ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททอดพระเนตร และดูเถิด มีปฏิมากรขนาดใหญ่ ปฏิมากรนี้มหึมาจริงๆ และสุกใสยิ่งนัก ตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท และรูปร่างน่ากลัว
32 หัวของปฏิมากรนี้เป็นทองนพคุณ อกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองสัมฤทธิ์
33 ขาเป็นเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดิน
34 ขณะพระองค์ทอดพระเนตร มีหินก้อนหนึ่งถูกตัดออกมาไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินนั้นกระทบปฏิมากรที่เท้าอันเป็นเหล็กปนดิน ทำให้มันแตกเป็นชิ้นๆ
35 แล้วส่วนเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกัน กลายเป็นเหมือนแกลบจากลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดพาเอาไปทั่ว จึงหาร่องรอยไม่พบอีกเลย แต่ก้อนหินที่กระทบปฏิมากรนั้นกลายเป็นภูเขาใหญ่จนเต็มพิภพ
(ดาเนียล 2:31-35)
2 ดาเนียลกล่าวว่า "ในนิมิตเวลากลางคืน ข้าพเจ้าได้เห็น นี่แน่ะ ลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ได้ปลุกปั่นทะเลใหญ่นั้น
3 และสัตว์มหึมา 4 ตัวได้ออกมาจากทะเล มีลักษณะต่างกัน
4 ตัวแรกเหมือนสิงโตมีปีกนกอินทรี เมื่อข้าพเจ้ามองดูนั้น ปีกก็ถูกฉีกออกไป และมันถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ให้ยืนสองเท้าเหมือนมนุษย์ และใจของมนุษย์ถูกมอบให้มัน
5 แล้วมีสัตว์อีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่สองเหมือนหมี มันขยับตัวข้างหนึ่งขึ้น มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ในปากของมันระหว่างซี่ฟัน มีเสียงบอกมันว่า 'จงลุกขึ้นกินเนื้อให้มากๆ'
6 ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าได้มองดู นี่แน่ะ สัตว์อีกตัวหนึ่งเหมือนเสือดาว บนหลังมีปีกนกสี่ปีก สัตว์นั้นมีหัวสี่หัว และอำนาจปกครองถูกมอบให้มัน
7 ต่อจากนั้น ในนิมิตเวลากลางคืน ข้าพเจ้าได้เห็นสัตว์ตัวที่สี่มันร้ายกาจ น่ากลัว และแข็งแรงยิ่งนัก มันมีฟันเหล็กมหึมา มันกินและหักเป็นชิ้นๆ และกระทืบสิ่งที่เหลือกินนั้นเสีย มันต่างกับสัตว์อื่นทั้งหมดที่อยู่ก่อนมัน มันมีเขาสิบเขา
8 ขณะที่ข้าพเจ้าพิเคราะห์เรื่องเขาเหล่านั้น นี่แน่ะ มีเขาเล็กๆ อีกเขาหนึ่งงอกขึ้นมาท่ามกลางเขาเหล่านั้น เขารุ่นแรกสามเขาได้ถูกถอนรากออกไปต่อหน้ามัน ในเขาอันนี้มีตาเหมือนตามนุษย์ มีปากพูดคุยโว
(ดาเนียล 7:2-8)
คำทำนายนี้ สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์โลกได้อย่างชัดเจน
หัวเป็นทองนพคุณ (ดาเนียล 2) = สัตว์เหมือนสิงโต (ดาเนียล 7) = อาณาจักรบาบิโลน
อกและแขนเป็นเงิน (ดาเนียล 2) = สัตว์เหมือนหมี (ดาเนียล 7) = อาณาจักรมีเดีย-เปอร์เซีย
ท้องและโคนขาเป็นทองสัมฤทธิ์ (ดาเนียล 2) = สัตว์เหมือนเสือดาว (ดาเนียล 7) = อาณาจักรมาซิโดเนีย-กรีก
ขาเป็นเหล็กและเท้าเป็นเหล็กปนดิน (ดาเนียล 2) = สัตว์ตัวที่สี่ (ดาเนียล 7) = อาณาจักรโรม
และเมื่อพิจารณาถึงลักษณะของสัตว์ต่างๆ ในดาเนียล 7 จะพบว่ามีความสอดคล้องกับลักษณะของอาณาจักรที่เกิดขึ้น แต่จะขอไม่กล่าวถึงในรายละเอียด
จากฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ปัจจุบันก็จะอยู่ในส่วนของเท้า ซึ่งเป็นเหล็กปนดิน บ่งบอกว่าอาณาจักรต่างๆ ในโลกล้วนมีหัวเดียวกัน นั่นคือ บาบิโลน ซึ่งต้นกำเนิดจริงๆ คือตั้งแต่นิมโรด ในปฐมกาล 10:9-10 และเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า และมีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโรมอย่างลึกซึ้ง (เพราะมีส่วนประกอบของเหล็กอยู่)
เท้าทั้งสอง มีนิ้วรวมเป็น 10 นิ้ว ซึ่งสอดคล้องกับเขา 10 อันของสัตว์ตัวที่สี่ในนิมิตของดาเนียลในบทที่ 7 ซึ่งวิวรณ์ได้สำแดงให้เห็นว่า ทั้งนิ้วและเขา เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ 10 องค์ที่ร่วมกับปรปักษ์พระคริสต์ (anti-Christ) ที่จะปรากฏตัวในช่วงสัปตะสุดท้าย
7 ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงถามข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านจึงอัศจรรย์ใจ? เราจะบอกให้ท่านรู้ความลึกลับของหญิงนั้น และของสัตว์ร้ายที่มีเจ็ดหัวและสิบเขาที่เป็นพาหนะของนาง
12 เขาทั้งสิบเขาที่ท่านเห็นนั้น คือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้รับราชอาณาจักร แต่จะรับสิทธิอำนาจเหมือนอย่างกษัตริย์ด้วยกันกับสัตว์ร้ายตัวนั้นหนึ่งชั่วโมง
(วิวรณ์ 17:7, 12)
จากดาเนียล 2 เราจะเห็นได้ว่าแต่ในที่สุดแล้ว จะมีหินก้อนหนึ่งจากภูเขาจะมาทำลายอาณาจักรของโลกทั้งหมด รวมทั้งกษัตริย์ทั้ง 10 องค์และปรปักษ์พระคริสต์ให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ และหินก้อนนั้นจะกลายเป็นภูเขาใหญ่เต็มพิภพ ก้อนหินนี้ก็คงจะไม่ใช่ใครอื่นใด นอกจากพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระศิลาที่มีชีวิต พร้อมกับผู้เชื่อที่มีชัยชนะที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นศิลาที่มีชีวิตเช่นเดียวกับพระองค์
4 จงมาหาพระองค์ พระศิลาที่มีชีวิต ที่แม้ถูกมนุษย์ปฏิเสธแล้ว แต่กลับเป็นศิลาที่ทรงเลือกสรร และล้ำค่าในสายพระเนตรพระเจ้า
5 และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
(1 เปโตร 2:4-5)
นอกจากที่พระคริสต์และผู้เชื่อที่มีชัยชนะจะได้ครอบครองในยุคพันปีแล้ว ซาตานและสมุนของมันก็จะถูกผูกมัดไว้ตลอดเวลาพันปี ทำให้วัตถุประสงค์ของ 70 สัปตะสมบูรณ์แบบ นั่นคือ การล่วงละเมิดและการทำบาปจะสิ้นสุดลง และความชอบธรรมมั่นคงนิรันดร์จะเกิดขึ้น
เมื่อพูดถึง 70 สัปตะ (70 x 7) แล้ว หลายคนอาจจะรู้สึกคุ้นเคย เพราะว่าพระเยซูมีการกล่าวถึงตัวเลขนี้เช่นกัน
21 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?"
22 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด"
(มัทธิว 18:21-22)
บางคนอาจคิดว่า คงแค่เป็นเรื่องบังเอิญที่เลขตรงกัน คือ 70 x 7 แต่ผมเชื่อว่าทุกคำทุกตัวอักษรในพระคัมภีร์ล้วนได้รับการบันทึกเพื่อเปิดเผยแผนการของพระเจ้า
แน่นอน พระธรรมตอนนี้สอนถึงการให้อภัย ว่าเราควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิด แม้เขาจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ตัวเลขนี้อาจบ่งชี้ให้เราเห็นว่า การยกโทษของพระเจ้านั้นจะหมดลงเมื่อเสร็จสิ้น 70 สัปตะแล้ว นั่นคือพระองค์จะพิพากษาตามความยุติธรรมของพระองค์ และจะไม่มีการยกโทษให้ผู้ที่ต่อต้านหรือปฏิเสธพระองค์อีกเลย
1 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของบาดาลลึก และถือโซ่เส้นใหญ่ในมือของท่าน
2 และท่านจับพญานาคที่เป็นงูดึกดำบรรพ์ผู้ซึ่งเป็นมารและซาตาน แล้วมัดมันไว้หนึ่งพันปี
3 แล้วโยนมันลงไปในบาดาลลึกนั้น ใส่กุญแจและประทับตราไว้ เพื่อไม่ให้มันล่อลวงประชาชาติต่างๆ ได้อีกต่อไป จนครบหนึ่งพันปี
(วิวรณ์ 20:1-3)
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
สารคดีเรื่อง 70 สัปตะ โดยคุณชนะ ชัยประเสริฐ
ตอนที่ 1: youtu.be/szwwqPU_-Us
ตอนที่ 2: youtu.be/YcgC7uc-syo
www.khouse.org/articles/2004/552
followhissteps.com/web_christianstories/thingsienjoy/MR_daniel03.html
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น