ต่อไป อยากจะขอเกริ่นนำถึงแนวคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตนะครับ ว่ามีแนวคิดเช่นไรบ้าง เพื่อจะได้เข้าใจแนวคิดที่ผมจะใช้ในการตีความพระคัมภีร์ต่อไป
ก่อนจะกล่าวในรายละเอียด ผมอยากขอเน้นย้ำว่าทุกแนวคิดต่างก็มาจากการตีความพระคัมภีร์ มีเหตุผลรองรับมากมายจากข้อพระคัมภีร์ และเห็นพ้องต้องกันว่าในที่สุดพระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อรับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์ตลอดไป ขออย่าให้ความคิดแตกต่างกันในเรื่องยุคพันปีมาทำให้เกิดการแบ่งแยกกันเลยนะครับ ผมจะมีแนวคิดแบบ pretribulational premillennialism แต่ผมก็ยังคงเคารพรักและติดตามฟังคำสอนอาจารย์หลายท่านที่ยกย่องพระคัมภีร์ว่าเป็นพระคำของพระเจ้า ถูกต้องแม่นยำ และมีสิทธิอำนาจ แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะมีแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปในเรื่องนี้ เช่น ศจ. ดร. John Piper ผู้มีแนวคิดแบบ posttribulational premillennialism หรือ อ. เดวิด โรบินสัน (อดีตมิชชันนารีในประเทศไทย ผู้ก่อตั้งเครือข่ายคริสเตียนไทยในยูเค) ผู้มีแนวคิดแบบ amillennialism
ยุคพันปี ได้ถูกกล่าวไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ถึงการที่ คริสเตียนจะได้ครอบครองร่วมกับพระเจ้าเป็นเวลาพันปี (millennium) ก่อนที่จะมีสงครามครั้งใหญ่ ซึ่งสงครามครั้งสุดท้ายนี้เองที่พระเจ้าจะมีชัยชนะเด็ดขาดเหนือพวกมารซาตาน และจะมีการพิพากษาครั้งใหญ่ เรียกว่า "การพิพากษาพระที่นั่งใหญ่สีขาว" ยุคพันปีนี้เอง ได้ทำให้เกิดแนวคิดหลากหลาย โดยมีแนวคิดหลักๆ 3 แนว ตามความสัมพันธ์ระหว่างการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์และยุคพันปี ได้แก่
Postmillennialism (หลังพันปี) แนวคิดนี้เชื่อว่าจะมีอาณาจักรใหม่ในแผ่นดินโลกนี้ในอนาคต พันปีในที่นี้ไม่ได้แปลตรงตัวตามอักษร แต่เชื่อว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าหนึ่งพันปี แนวคิดนี้เสนอว่าการประกาศของคริสตจักรทำให้โลกกลับใจใหม่ เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และจะนำมาสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม แนวคิดนี้จึงจะเชื่อว่าโลกนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ ผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐ แนวคิดนี้ได้มีคนนิยมน้อยลงมากหลังจากที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งขัดกับแนวคิดที่ว่าโลกจะดีขึ้นเรื่อยๆ
Amillennialism (ไม่มีพันปี) แนวคิดนี้ไม่ได้เชื่อว่าไม่มียุคพันปี เพียงแต่เสนอว่าไม่มียุคพันปีทางฝ่ายโลก โดยยุคพันปีในวิวรณ์ 20:6 นี้เป็นการสื่อความหมายแบบสัญลักษณ์ แนวคิดนี้เชื่อว่ามีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ยาวนาน คือยุคพันปีฝ่ายวิญญาณ (spiritual millennium) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกและครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ดังนั้น ปัจจุบันก็อยู่ในยุคพันปีฝ่ายวิญญาณแล้วสำหรับแนวคิดนี้ และพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาหลังจากยุคพันปีนี้ แนวคิดนี้ไม่เชื่อว่าโลกนี้จะกลับใจทั้งหมดจากการประกาศของคริสตจักร
Premillennialism (ก่อนพันปี) แนวคิดนี้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาก่อนยุคพันปีที่กล่าวถึงในพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นการตีความพระคัมภีร์แบบยึดตามตัวอักษร แนวคิดนี้เห็นว่าพระธรรมวิวรณ์ 19 อ้างถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะกล่าวถึงยุคพันปีในวิวรณ์บทที่ 20 แนวคิดนี้จะเชื่อว่า ประวัติศาสตร์โลกจะเริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตกต่ำที่สุดในช่วงความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ (Great Tribulation) แนวคิดนี้ยังแยกออกเป็นแนวประวัติศาสตร์ (historic premillennialism, เชื่อว่าพระสัญญาสำหรับอิสราเอลที่กล่าวถึงในพันธสัญญาเดิม เป็นการกล่าวถึงคริสตจักร) และแนวอนุรักษ์ (dispensational premillennialism, เชื่อว่าพระสัญญาที่กล่าวถึงอิสราเอล เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชนชาติอิสราเอลจริง ๆ)
หากเราแปลความพระคัมภีร์ตามตัวอักษร ทฤษฎี premillennialism จะสอดคล้องกับทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่อย่างลงตัว จึงดูเหมือนว่าน่าเชื่อถือที่สุด อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี amillennialism ก็ยังสามารถอธิบายได้เช่นกัน หากแปลพระคัมภีร์แบบถอดความ โดยไม่ได้แปลตามตัวอักษร
(สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติม สามารถรับฟังคำอภิปรายเป็นภาษาอังกฤษได้ที่นี่ครับ An Evening of Eschatology)
เมื่อกล่าวถึงการที่พระเยซูจะรับคริสตจักรไปจากโลกนี้ เพื่อไปอยู่ในสวรรค์ (rapture หรือ translation) ก็ได้มีแนวคิดต่างๆ ดังนี้
Partial rapturism ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนที่จะได้ถูกรับไป มีเพียงแค่ผู้ที่เฝ้ารอคอย ผู้ที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ติดสนิทกับพระเจ้าเพียงพอเท่านั้น ที่จะถูกรับไป
Posttribulational rapturism ทฤษฎีนี้กล่าวว่า หลังจากที่ภัยพิบัติทุกประการที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เกิดขึ้นจนครบแล้ว คริสตจักรจึงจะถูกรับไป ซึ่งเวลาที่ถูกรับไปก็เกิดขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จมายังโลกนี้เพื่อครอบครองยุคพันปี
Midtribulational rapturism ทฤษฎีนี้ เป็นแนวคิดที่แยกออกมาจากทฤษฎี pretribulational view โดยแนวคิดแบบ midtribulational นี้ จะเชื่อว่าคริสตจักรจะได้รับการยกเว้นจากความยากลำบากในช่วง 3 ปีครึ่งสุดท้ายเท่านั้น แทนที่จะถูกละเว้นตลอด 7 ปี และการที่คริสตจักรถูกรับไปจะไม่เป็นไปอย่างหวุดหวิด คือสามารถคาดการณ์ได้ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่ว่า ยุคเจ็ดปีสุดท้าย (สัปตะสุดท้าย) จะเริ่มต้นเมื่อมีการตกลงกัน ทำพันธสัญญากันระหว่าง ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (antichrist) และอิสราเอล
Pre-wrath rapturism ทฤษฎีนี้มาจากแนวคิดที่แบ่งเหตุการณ์ในยุคเจ็ดปีสุดท้ายออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงเริ่มต้น (มัทธิว 24:4-8 และตราดวงที่หนึ่ง ตรงกับช่วงครึ่งแรกของยุคเจ็ดปี), ช่วงความยากลำบากยิ่งใหญ่ (มัทธิว 24:21 และตราดวงที่สองถึงดวงที่ห้า คริสตจักรจะโดนรับไปหลังจากที่ตราดวงที่หกเริ่มขึ้น) และช่วงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (เกิดขึ้นหลังคริสตจักรโดนรับไป และภัยพิบัติต่าง ๆ ตั้งแต่ตราดวงที่เจ็ดก็จะดำเนินต่อไป) ดังนั้นคริสตจักรจะถูกรับไปในช่วงครึ่งหลังของยุคเจ็ดปี
Pretribulational rapturism ทฤษฎีนี้เชื่อว่า การถูกรับไป และการฟื้นขึ้ันจากความตายของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะเกิดขึ้นก่อนยุคความยากลำบากเจ็ดปี และการถูกรับไปของผู้เชื่อจะเป็นไปอย่างเฉียบพลัน ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะทรงรับไปเมื่อใด
เหตุผลที่สนับสนุนแนวคิดแบบ pretribulational rapturism ได้แก่
เป็นการตีความหมายตามตัวอักษร เป็นแนวคิดที่ได้จากการตีความหมายตรงๆ จากพระสัญญาและคำพยากรณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
ลักษณะของช่วงภัยพิบัติเจ็ดปีสุดท้าย พระคัมภีร์ได้มีการใช้คำต่างๆ ที่อ้างถึงช่วงระยะสุดท้ายของยุคว่า เป็นพระพิโรธหรือการลงโทษ เป็นช่วงแห่งความยากลำบาก เป็นช่วงการทำลาย และเป็นยุคมืด ซึ่งทำให้เราทราบได้ว่า ในช่วงภัยพิบัติต่างๆ เหล่านี้ เป็นพระพิโรธของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์เจ้าก็รับพระพิโรธของพระเจ้าแทนเราทั้งหลายไปแล้ว ดังนั้นพวกเราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าจึงไม่ควรที่จะต้องรับพระพิโรธนี้แล้ว
เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระพิโรธ แต่สำหรับการรับความรอด โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์
(1 เธสะโลนิกา 5:9-10)
ขอบเขตของยุคเจ็ดปีสุดท้าย ช่วงเจ็ดปีสุดท้ายเป็นช่วงที่กล่าวถึงสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่เชื่อและชาวอิสราเอลเท่านั้น โดยมาจากการตีความหมายว่า ช่วงที่กล่าวถึงนั้นเป็นเวลาทุกข์ใจของชาวอิสราเอล (เวลาทุกข์ใจของยาโคบ ในเยเรมีย์ 30:7) เป็นเรื่องราวของชนชาติของดาเนียลและนครเยรูซาเล็ม (ชนชาติของท่านและนครบริสุทธิ์ของท่านในดาเนียล 9:24) ซึ่งคริสตจักรเพิ่งเริ่มขึ้นหลังจากวันเพ็นเทคอสต์และเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก คริสตจักรทำให้ยิวและชาวต่างชาติไม่แตกต่างกัน ซึ่งในพระคัมภีร์เดิมยังไม่มีคริสตจักร ดังนั้นสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมพูดถึง น่าจะหมายถึงชาวอิสราเอล
"อนิจจาเอ๋ย วันนั้นใหญ่โตเหลือเกิน
ไม่มีวันใดเหมือน
เป็นเวลาทุกข์ใจของยาโคบ
แต่เขาก็ยังจะรอดวันนั้นไปได้"
(เยเรมีย์ 30:7)
"มี 70 สัปดาห์แห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่านและนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้ยุติการละเมิด ให้บาปจบสิ้น และให้ลบมลทิน เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำของผู้เผยพระวจนะไว้ และเพื่อจะเจิมอภิสุทธิสถาน"
(ดาเนียล 9:24)
วัตถุประสงค์ของยุคเจ็ดปีสุดท้าย วัตถุประสงค์ของช่วงเจ็ดปีสุดท้าย ได้แก่ เพื่อเป็นการทดลองใจ (วิวรณ์ 3:10) และเพื่อเป็นการเตรียมชนชาติอิสราเอลสำหรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (มาลาคี 4:5-6) แต่ทว่าคริสตจักรที่แท้จริง บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะต้องถูกทดสอบอีก
ส่วนสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร เพื่อจะทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระด้วยน้ำและพระวจนะ เพื่อพระองค์จะได้คริสตจักรที่มีศักดิ์ศรี ไม่มีด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใดๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
(เอเฟซัส 5:25-27)
เอกภาพของความยากลำบากช่วงเจ็ดปีสุดท้าย เมื่อทำการศึกษาจะพบว่าตลอดเจ็ดปีของช่วงนี้มีลักษณะเดียวกัน จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คริสตจักรจะต้องประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ลักษณะของคริสตจักร คริสตจักรที่แท้จริง ย่อมจะไม่จำเป็นต้องประสบกับพระพิโรธ แต่จะถูกรับขึ้นไป ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า คริสตจักรที่แท้จริงบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิ (เอเฟซัส 5:25) สมบูรณ์แบบ และจะพ้นจากการพิพากษา ถ้าหากว่าคริสตจักรยังต้องประสบกับพระพิโรธและการพิพากษาของพระเจ้าอีก พระสัญญาของพระเจ้าก็จะไม่เกิดผล และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ก็ไม่สามารถช่วยเราได้
เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
(โรม 8:1)
เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
(ยอห์น 5:24)
ความรักของเราจึงสมบูรณ์ในข้อนี้ เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นไร เราในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น
(1 ยอห์น 4:17)
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
John Fok Systematic Theology
An Evening of Eschatology:
http://www.desiringgod.org/messages/an-evening-of-eschatology
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น