มัทธิว 5

คำเทศนาบนภูเขาในมัทธิว ปรากฎอยู่ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 5-7

เราจำเป็นต้องเปิดมุมมองใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับมุมมองของโลกนี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์พูดถึงผู้เป็นสุขของชาวสวรรค์ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า


(16,23/03/2007)

ผู้เป็นสุข

"3 บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

4 บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม

5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก

6 บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์

7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ

8 บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า

9 บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร

10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

11 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข

12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน" (มัทธิว 5:3-12)


ผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ

"บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา" (มัทธิว 5:3)

คนที่ผู้ในแผ่นดินสวรรค์ จะเป็นสุข เมื่อรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบาป ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งที่จะแก้ไข เปลี่ยนจากความบกพร่อง ไปสู่ความสมบูรณ์

โรม 3:23 ตั้งแต่สมัยอาดัม จิตวิญญาณของเราบกพร่องตั้งแต่เริ่มแรก

"เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)

กษัตริย์ดาวิด ได้กล่าวไว้ใน สดุดี 32 ซึ่งจะอธิบายห้เราเห็นภาพ และเข้าใจยิ่งขึ้น

"1 บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น

2 บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา

3 เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์

4 พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนใน หน้าแล้ง

5 ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิดของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของ ข้าพระองค์ต่อพระเจ้า” แล้วพระองค์ทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์" (สดุดี 32:1-5)

เมื่อเราได้รู้จักพระเจ้า เราก็รู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนกางเขน ซึ่งนำไปสู่การอภัยการละเมิด ความผิดบาปของเรา ทำให้เราพ้นจากพระอาชญา

ทั้งอาจารย์เปโตร และอาจารย์เปาโล ได้กล่าวว่า "ให้เราซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า" เพราะถ้าหากเราไม่ได้รับการอภัย เราก็จะพินาศ ดังนั้น เมื่อเรารู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ก็จะนำเราสู่การสารภาพ เราก็จะได้รับการอภัย พ้นจากพระอาชญา ความสุขก็จะเป็นของเรา

เราจึงต้องปรับความเข้าใจของเราใหม่ ว่าการที่เราได้รับการอภัยโทษบาป จะทำให้เราเกิดสันติสุข และถ้าเราสารภาพบาปของเรา ได้รับการอภัยแล้ว แต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งเท่าที่ควร ก็หมายถึงว่าเราไม่มีความเข้าใจ ไม่รู้ว่าชาวแผ่นดินสวรรค์นั้นเกรงกลัวพระอาชญาขนาดไหน และการได้รับอภัย ไม่ต้องพินาศ ทำให้เกิดสันติสุขมากเพียงใด

จึงอยากให้พวกเราได้เรียนรู้ ทุกครั้งที่เราได้สารภาพ ให้เรานึกเสมอว่า "บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น" เมื่อเราสารภาพแล้ว เราควรจะมีความสุข

ถ้าไม่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ --> ไม่มีการกลับใจ --> นำไปสู่ความพินาศในที่สุด

"ถ้าใจของเรากล่าวโทษตัวเราเมื่อไร เราก็จะรู้ว่า เราอยู่ฝ่ายสัจจะและใจเราจะหมดกังวลจำเพาะพระองค์" (1ยอห์น 3:19)

การกล่าวโทษในที่นี้ คือการที่พระเจ้าทรงเตือนเรา ผ่านทาง "มโนธรรม" ในจิตใจของเรา

เมื่อมโนธรรมเราฟ้องว่า เราทำผิด จึงเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่อย่าดื้อ ต้องรีบสารภาพบาปของเรา อย่าฝืน "จิตสำนึกผิดชอบ" หรือ "มโนธรรม"

เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้า เติบโตยิ่งขึ้น "จิตสำนึกผิดชอบ" จะไวมากขึ้นเพราะพระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง

"21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า

22 และเราขอสิ่งใดๆ เราก็ได้สิ่งนั้นๆจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์" (1ยอห์น 3:21-22)

ถ้าใจเราไม่ได้กล่าวโทษเรา แสดงว่าเรามีชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งนำไปสู่พระสัญญาที่ว่า ถ้าเราขอสิ่งใด เราก็จะได้รับสิ่งนั้น ซึ่งเป็นพระพรฝ่ายวิญญาณ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรารู้สึกบกพร่อง --> สารภาพ --> ปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์ ประพฤติชอบตามพระทัยของพระองค์

ผู้ที่โศกเศร้า

"บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม" (มัทธิว 5:4)

โมเสส กษัตริย์ดาวิด รวมถึงพระเยซูคริสต์ ได้กล่าวไว้สอดคล้องกัน ให้เราช่วยเหลือผู้ที่ยากลำบาก ผู้ที่โศกเศร้า เสมอ ๆ

พระเยซูได้ทรงกล่าวคำอุปมาหนึ่ง เกี่ยวกับ ลาซารัส และเศรษฐี

เราจึงต้องเรียนรู้พระทัยพระเจ้าของเรา เราต้องกลับมามองว่า แล้วเราจะเข้ามาอยู่สภาพนี้ได้อย่างไร เพื่อเราจะได้รับการปลอบประโลม

พระเยซูได้ทรงกล่าวว่า ในโลกนี้ เราจะต้องประสบความทุกข์ยาก เพราะเราจะต้องรับความข่มเหง การต่อต้าน และถ้าเราได้มีประสบการณ์ แล้วรู้สึกเศร้าโศก เราก็จะได้รับการปลอบประโลม และเราก็จะเป็นสุข

แต่ถ้าเราหนีจากความยากลำบากเหล่านั้น พระเจ้าก็จะไม่พอพระทัย เราก็จะไม่ได้รับการปลอบประโลม และพลาดจากพระพรอันนี้

ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำคือ เตรียมพร้อมที่จะรับประสบการณ์เหล่านี้ พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากต่าง ๆ เตรียมพร้อมสำหรับความเศร้าโศกที่จะได้รับ เพื่อที่จะนำเราไปสู่การได้รับการปลอบประโลม และจะได้รับความสุขที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องปรับความคิดของเรา

พระเยซูทรงตรัสว่า

"เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว" (ยอห์น 16:33)

ตัวอย่างที่ดี คือ อาจารย์เปาโล ผู้ซึ่งเข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี ยอมละทิ้งความสบายจากการเป็นฟาริสี มาสู่ความยากลำบาก เพราะอาจารย์เปาโลเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย เทียบไม่ได้กับความสุข พระพรอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านจะได้รับในภายภาคหน้า

ดังนั้น เราจึงควรชิมดู จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ "หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง" และอย่ากลัว

"9 ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น

10 น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง" (สุดี 19:9-10)

นี่เป็นอย่างที่ 2 ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ

ทุกวันนี้ คนเป็นจำนวนมาก บ้าหวย ต้องการที่จะร่ำรวย มีเรื่องจากชีวิตจริงเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

มีสองสามีภรรยา ฐานะยากจน ทั้งคู่ช่วยกันทำมาหากิน อยู่กันด้วยความรักใคร่ จนกระทั่งวันหนึ่ง ถูกลอตเตอรี่ ทั้งคู่จึงดีใจเป็นอย่างมาก และซื้อของมากมาย

หลังจากที่มีฐานะ พฤติกรรมของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป สามี จากที่เคยรักใคร่ภรรยา ก็มีพฤติกรรมนอกใจภรรยา ไปมีภรรยาน้อย ภรรยาจึงได้ใคร่ควรญว่า ตอนที่ยากจน ไม่มีเงิน แต่มีสามี แต่พอร่ำรวย มีเงิน แต่ไม่มีสามี และได้พูดคุยกับสามี แต่สามีไม่ยอม และกล่าวคำที่ให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ภรรยาว่า "เพราะตอนนั้นจน จึงต้องทนอยู่กับเธอ" ผลสุดท้าย ทั้งคู่ต้องแยกทางกัน สามีก็ไปมีภรรยาใหม่

จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า เป็นบทเรียนว่า ความสุขในโลกนี้ ตัณหาของโลกนี้ มีสิ่งล่อลวงเป็นอย่างมาก แต่วิถีทางของพระเจ้านั้น เป็นวิถีทางที่มีความสุขอย่างแท้จริง

ผู้ที่มีใจอ่อนโยน

"บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก" (มัทธิว 5:5)

พระเยซูคริสต์ ทรงอ่อนสุภาพอย่างมาก อ่อนโยน ทรงช่วยผู้ที่เดือดร้อนเสมอ พระองค์มิได้ทรงรังเกียจผู้ใด แม้จะเป็นคนจน คนโรคเรื้อน คนเจ็บป่วย พระองค์ก็ทรงใช้ความอ่อนโยน ช่วยคนเหล่านั้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น พระองค์ทรงต้อนรับ นิโครเดมัส แม้ว่าเขาจะไม่กล้ามาหาพระเยซูคริสต์ในเวลากลางวัน แต่มาพบพระองค์กลางคืนเพราะไม่อยากให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์ก็ทรงต้อนรับเขาด้วยความยินดี และในที่สุด นิโครเดมัสก็เป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระองค์ ช่วยพูดแทนพระองค์ในสภาในภายหลัง

ความอ่อนโยน นำไปสู่มิตรภาพ มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ พระคัมภีร์จึงได้กล่าวว่า เราจะได้แผ่นดินโลกเป็นมรดก เพราะผู้คนในโลกนี้ จะเป็นมิตรกับเรา ไม่ใช่เฉพาะกับเด็กเท่านั้น แต่กับทุกคน แล้วจะนำไปสู่พระพรที่ได้รับจากพระเจ้า

ดังนั้น อุปนิสัยนี้ ขอหนุนใจ ที่จะเป็นอุปนิสัยประจำตัวของคริสเตียน ที่จะแสดงความอ่อนโยนกับทุกคน ทำดีด้วยความเป็นมิตร ต่อศัตรู เป็นสิ่งที่เราควรจะฝึก เพราะเป็นอุปนิสัยของคนในแผ่นดินสวรรค์ แล้วเราจะมีประสบการณ์มากมาย

แม้บางคนบอกว่า "ไม่ใช่บุคลิกของฉัน" ก็จำเป็นที่คนนั้นจะต้องเปลี่ยน เพราะเป็นท่าที่ที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เรา

กับคนที่ไม่เป็นมิตรกับเรา และมีท่าทีที่ไม่ดีต่อเรา เราก็จำเป็นต้องระมัดระวังตัว แต่เมื่อพูดคุยกับคนเหล่านั้น เราก็ควรจะควบคุมตนเอง และแสดงกิริยาที่อ่อนสุภาพอ่อนโยนเสมอ อย่าพูดด้วยความโกรธ อย่าโต้ตอบด้วยอารมณ์ แม้เสียงจะไม่นุ่มนวลเหมือนการพูดกับมิตร แต่เราก็ต้องควบคุมท่าที่ ต้องยึดไว้ให้มั่น

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า แค่ 3 อย่างนี้ ก็ไม่ง่ายที่จะประพฤติตาม แต่เราต้องตระหนักเสมอว่า เป็นอุปนิสัยที่เราจะต้องฝึกฝน และประพฤติตาม เพราะเป็นอุปนิสัยของชาวสวรรค์ ในการที่อาศัยในแผ่นดินสวรรค์

ทั้งหมดทุกสิ่งนี้ ก็อยู่ในพระบัญญัติข้อที่ 2 ที่พระเยซูทรงตรัสสั่งพวกเราไว้ นั่นคือ

"29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า 'ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว

30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน

31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี' " (ลูกา 10:29-31)

บางคนอาจจะอ้างถึงตอนที่พระเยซูทรงโกรธเมื่อพระองค์ทรงเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในพระวิหาร แต่เราต้องทำความเข้าใจว่า พระองค์ทรงโกรธในสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ผิดต่อพระองค์

แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่แสดงท่าทีที่ไม่ดี หยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ก็ยังคงทรงแสดงกิริยาที่สุภาพเสมอ แม้กระทั่งกับคนที่เฆี่ยนตีพระองค์ ผู้ที่กล่าวคำดูถูกพระองค์ ทำร้ายพระองค์

อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า

"26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่

27 และอย่าให้โอกาสแก่มาร" (เอเฟซัส 4:26-27)

ผู้ที่หิวกระหาย

"บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์" (มัทธิว 5:6)

เราคริสเตียน จะต้องพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ใช่ใคร ๆ ก็จะเข้าไปได้ง่าย ๆ แผ่นดินสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่มาก ยอดเยี่ยมมาก ถ้าผู้ใดได้เห็นถึงความสง่างามของแผ่นดินสวรรค์ จะไม่มีใครที่ไม่ต้องการที่จะเข้าไปเลย และเป็นเป้าหมายของคริสเตียนเราที่จะเข้าไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์นั้น

"เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

เราจะต้องถูกสร้างใหม่ เราจึงจะสามารถเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ เราต้องเข้ามาสู่กฎของพระวิญญาณเท่านั้น ซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เราทั้งหลายเข้ามาอยู่ในกฎเหล่านี้

"1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย" (โรม 8:1-2)

เราต้องรู้ทันอุบายของมาร ต้องระวังคำล่อลวงของมาร ที่จะไม่ให้เรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งอาจทำให้เราพลาดพลั้ง แต่อย่างไรก็ดี พระเจ้าก็ทรงรอคอยเราเสมอ ที่เราจะกลับมาหาพระองค์ กลับมาเชื่อฟังพระองค์ และพระเจ้าจะทรงวัดที่จุดสุดท้าย ณ วันพิพากษา

การเชื้อฟังนั้น ถ้าอาศัยกำลังจากเนื้อหนัง โดยไม่ได้ออกมาจากภายใจ อาจจะสามารถทำได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดก็จะไม่สำเร็จ

ในทางกลับกัน ถ้าการเชื่อฟังนั้น อาศัยกำลังจากพระวิญญาณในเรา เราก็จะทำได้จนสำเร็จในที่สุด

"และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงเก่านั้นขาดไป ทั้งน้ำองุ่นและถุงก็จะเสียไปด้วยกัน แต่น้ำองุ่นหมักใหม่นั้นต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่" (มัทธิว2:22)

พระบัญญัติของพระเจ้าเข้มงวดมาก ถ้าเราไม่ได้เข้าอยู่ในพระวิญญาณ ในที่สุดก็จะพลาดพลั้ง ดังนั้นเราต้องมาเรียนรู้ถึงวิถีทางฝ่ายวิญญาณ แล้วเราจะไม่พลาดพลั้ง เราจะพบความแตกต่างอย่างชัดเจน แล้วเราจะเป็นดังอาจารย์เปาโล ที่กล่าวว่า

"ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:13)

ดังนั้นอย่ากลัว แม้ว่าจะรู้สึกว่ายาก แต่ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับพระเจ้า

"25 เพราะว่าตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า

26 ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้ยินจึงว่า 'ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้'

27 แต่พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้" (มัทธิว 18:25-27)

พระเจ้าอยากให้เราเป็นคนชอบธรรม ดังนั้นเราจะต้องหิวกระหาย ขวนขวายที่จะเป็นชอบธรรม ซึ่งเมื่อพระเจ้าเห็นเราหิวกระหายความชอบธรรมดังนี้ พระเจ้าก็จะทรงพอพระทัย และจะทรงประทานให้เราเป็นคนชอบธรรม ให้เราได้อิ่มบริบูรณ์ ดังนั้นชีวิตคริสเตียน เราจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพราะพระองค์จะทรงให้เฉพาะกับคนที่แสวงหาเท่านั้น

"กวางกระเสือกกระสนหาลำธาร ที่มีน้ำไหลฉันใด ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น" (สดุดี 42:1)

ผลที่จะได้ โดยการอยู่กับพระเจ้า เราก็จะมีประสบการณ์เหมือนกับกษัตริย์ดาวิด ดังในพระคัมภีร์สดุดี บทที่ 23

"1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน

2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ

3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์

4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

5 พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่

6 แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์" (สดุดี 23:1-6)

ดังนั้น เราก็จะรู้ตัวเอง ว่าเราจะต้องทำอย่างไร จึงจะเข้าไปอยู๋ในแผ่นดินสวรรค์ได้

ผู้ที่มีใจกรุณา

"บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ" (มัทธิว 5:7)

พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งการตอบแทน ใครที่เชื่อฟังพระเจ้า กระทำตาม ก็จะได้รับการตอบแทน แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา กฎเกณฑ์ของพระเจ้า ทรงบัญชาเพื่อที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับและเจ้า และอีกส่วนหนึ่งคือเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อนบ้าน

ผู้ที่เชื่อฟัง พระเจ้าทรงตอบแทนเสมอ และพระเจ้าจะทรงรับประกันความพอใจของเรา

การที่พระเจ้าสั่งให้รักผู้อื่น ก็คือให้เรามีใจกรุณาต่อเขาเหล่านั้นนั่นเอง

พระเจ้าสั่งให้เรารักพระเจ้า และให้รักเพื่อนบ้าน ดังนั้นเราจะต้องรักผู้อื่นเสมอ ต้องช่วยเหลือเพื่อนบ้าน และมีความกรุณาต่อผู้นั้น แม้กระทั่งศัตรูเอง เราก็ต้องรักเขา ถึงแม้ว่าอาจจะดูว่าเป็นไปได้ แต่ว่าถ้าเราลองเริมที่จะเป็นเพื่อนบ้านของเขาเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ดีกับเรา เราจะสามารถรักเขาได้ และเราจะได้รู้ว่าเป็นความยินดีเพียงใด ซึ่งมีแต่คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินสวรรค์เท่านั้นที่จะทำได้ เราต้องเปิดใจให้กว้าง ๆ ยอมเชื่อฟัง

เราจะต้องทำตามแบบอย่างของหญิงชาวสะมาเรีย ที่พระเยซูทรงกล่าวไว้ในคำอุปมาของพระองค์เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ให้เราทำตัวแบบชาวสะมาเรียนั้น ที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน แม้ว่าจะเป็นชนชาติที่เป็นศัตรูกัน

"29 แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัว จึงทูลพระเยซูว่า 'ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า'

30 พระเยซูตรัสตอบว่า 'มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว

31 เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง

32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง

33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา

34 เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้

35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า 'จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้'

36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น'

37 เขาทูลตอบว่า 'คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา' พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า 'ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด' " (ลูกา 1:29-37)

จะเห็นได้ว่า พระเยซูไม่ทรงกล่าวว่า ในที่สุดแล้ว ผู้ที่บาดเจ็บจะตอบแทนแก่ชาวสะมาเรียนั้นหรือไม่ ก็หมายถึงว่า พระองค์ไม่ต้องการที่จะให้เราหวังสิ่งตอบแทนหลังจากการช่วยเหลือแล้ว

ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์

"บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า" (มัทธิว 5:8)

คนที่จะเข้าใกล้พระเจ้า อยากเข้าใกล้พระองค์ จะต้องมีใจบริสุทธิ์ เพราะพระองค์บริสุทธิ์ และสิ่งที่ออกมาจากใจก็สำคัญมาก และผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ พระองค์ก็จะสามารถให้เขาเห็นได้

"แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ" (1เปโตร 1:16)

กษัตริย์หลายองค์ของอิสราเอล พระเจ้าทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม แม้ว่าเขาจะทำผิดมากมาย แม้ใจไม่บริสุทธิ์ ดังนั้น การที่มีใจบริสุทธิ์นั้น ต่างจากหิวกระหายความชอบธรรม การมีใจบริสุทธิ์นั้น ยิ่งกว่าความชอบธรรม ต้องหมดจด แล้วจึงจะได้เห็นพระเจ้า

ดังนั้น เราจะต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตของเรา ที่จะมีใจบริสุทธิ์ แล้วเราจะได้เห็นพระเจ้า

ผู้ที่สร้างสันติ

"บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร " (มัทธิว 5:9)

ลูกของพระเจ้า ต้องเป็นลูกแห่งสันติภาพ ดังนั้นคนที่ทะเลาะกับผู้อื่นประจำนั้น ย่อมต้องพิจารณาตนเองให้ดี เราผู้เป็นคริสเตียนจะต้องตระหนักให้ดีว่าเราไม่ควรทะเลาะกับผู้ใดเลย ต้องหว่านสันติ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "ลิ้น" ดังที่อาจารย์ยากอบได้กล่าวเอาไว้ ว่าถ้อยคำนั้น สำคัญมาก สามารถทำให้คนฆ่ากันตาย ทำร้ายกันได้ ดังนั้น คริสเตียนจะต้องระมัดระวังคำพูดให้ดี โดยเฉพาะเวลาถูกด่า เราจะต้องใคร่ครวญ ระมัดระวัง ว่าจะพูดอย่างไรที่จะระงับความโกรธนั้นได้ เพื่อเราจะได้เป็นผู้สร้างสันติ

"5 ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็ก ๆ และอวดอ้างเรื่องใหญ่ ๆ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ

6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไปทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก

7 เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว

8 แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่ว ที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย

9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์

10 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น" (ยากอบ 3:5-10)

ละครสมัยนี้ มักจะปลูกฝังให้เราโต้ตอบ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังให้ดี เพราะสื่อเหล่านี้ จะปลูกฝังถ้อยคำที่จะก่อให้เกิดการทำร้ายจิตใจกัน และกำลังทำลายชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา เราจะต้องฝึกฝนให้ดีเกี่ยวกับการพูดโต้ตอบต่าง ๆ เพื่อให้ฝังเข้าไปในชีวิต และจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะในวินาทีเหล่านั้น อาจจะไม่มีเวลาที่จะคิดมากนัก ดังเช่น การฝึกซ้อมเมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม้ เพื่อถ้าเกิดเหตุเหล่านั้นจริง ๆ ก็จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติ

"เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย" (1ทิโมธี 4:8)

ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม

"10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

11 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข

12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน" (มัทธิว 5:10-12)

ถ้าเราถูกข่มเหง เพราะว่าเราชอบธรรม และโดนเหม็นหน้า หรือหมั่นไส้

"20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

21 เพราะพระเจ้าทรงใช้ท่านสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์" (1เปโตร 2:20-21)

หลายคน จะโดนกลั่นแกล้ง เพราะว่ามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสัจธรรม ดังเช่น คนอธรรม จะไม่พอใจคนชอบธรรมเสมอ ดังนั้นถ้าเราโดนเกลียดชัง เราจะต้องไม่แปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเสมอ เพราะโลกจะเป็นเช่นนี้แหละ

"คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่าน เพราะความภักดีที่ท่านมีต่อเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด" (มัทธิว 10:22)

แต่พระเยซูทรงบอกว่า เมื่อเราถูกข่มเหง ให้เราชื่นชมยินดี แทนที่จะรู้สึกขมขื่น เพราะเราจะได้บำเหน็จอย่างแน่นอน

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ในวิถีทางของพระเจ้า เราจะเป็นสุขเสมอ

ถ้าเราโดนข่มเหงโดนไม่ทราบสาเหตุ เราก็จะเป็นสุข เพราะว่าเราโศกเศร้า และได้รับการปลอบประโลม

ถ้าโดนข่มเหงเพราะข่าวประเสริฐนั้น ก็จะเป็นสุข เพราะว่าจะได้บำเหน็จ

แม้กระทั่งถ้าเราทุกข์ โดนข่มเหงเพราะความผิดของเรา เราก็จะเป็นสุขได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเราจะรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ และแผ่นดินสวรรค์จะเป็นของเรา


(27/04/2007)

เกลือและแสงสว่าง

ขอทบทวนบทเรียนจากตอนที่แล้วเกี่ยวกับผู้เป็นสุข เราคริสเตียน จะเป็นสุข เมื่อ

1. รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาดังนั้นฝึกไว้เมื่อสารภาพบาป ดังนั้น ให้เราอย่าลืมลงท้ายด้วยว่าขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ประทานแผ่นดินสวรรค์ให้แก่เราเป็นมรดก

2. หิวกระหายความชอบธรรม ให้เรายึดหลักตามพระคัมภีร์มัทธิว 6:33 ที่ว่า

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

3. โศกเศร้า อย่างไรก็ดี เราเองต้องหนุนใจให้เพื่อนๆ อย่าขาดการประชุม เพื่อเขาจะได้ติดสนิทกับพระเจ้า และไม่เจอเรื่องโศกเศร้า

4. ใจกรุณา เป็นบุคลิกภาพของคริสเตียน

5. ใจบริสุทธิ์ ดังนั้นเราต้องมีใจปรารถนาที่อยากเห็นพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็จะรักษาใจให้บริสุทธิ์ เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

"จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ" (สุภาษิต 4:23)

6. สร้างสันติ ลูกพระเจ้าต้องสร้างสันติ ถ้าเราไม่สร้างสันติ เราก็จะเป็นผู้ทำให้เกิดการแตกแยก หากเรารู้ว่าพี่น้องมีปัญหากันอยู่ เราต้องช่วยทำให้เขาคืนดีกันจึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกพระเจ้า

7. ถูกข่มเหง

วันนี้ เราจะมาเรียนกันเรื่อง เกลือแห่งโลก และแสงสว่างของโลก


"13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ (มัทธิว 5:13)

พระคริสต์ทรงตรัสสอนว่า ลูกพระเจ้าต้องมีเอกลักษณ์ คือ เราจะต้องเป็นเกลือแห่งโลก

เกลือประกอบด้วย โซเดียมและคลอไรด์ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมีเอกลักษณ์คือรสเค็ม หากไม่เค็มก็ไม่ใช่เกลือ เช่นเดียวกัน แบบอย่างของพระเยซูคริสต์ต้องมีเอกลักษณ์ ซึ่งถ้าไม่มีเอกลักษณ์นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นลูกพระเจ้า

การที่เรามีเอกลักษณ์ หรือไม่มีเอกลักษณ์นั้น คนรอบข้างจะเป็นผู้บอกได้ เช่น เมื่อเรามีชีวิตที่แตกต่างจากคนรอบข้าง (ในสิ่งที่ดี) เขาจะพูดว่า "ทำไมคริสเตียนทำอย่างนี้” ก็ให้เรายินดี เพราะว่าเราได้มีเอกลักษณ์ ขอให้เราเป็นเกลือแห่งโลกใบนี้

เกลือมีประโยชน์มากมาย เช่นเดียวกับคริสเตียนมีบทบาทกับสังคม หนุนใจให้เรากล้าเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ประทานสิ่งที่ดีทั้งในโลกนี้และชีวิตนิรันดร์

หน้าที่ของเกลือก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือ คุณเป็นเกลือหรือไม่ หากไม่ใช่เกลือ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้ง คริสเตียนต้องหนุนใจกันให้แสดงเอกลักษณ์ว่าเรามีลักษณะที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ต้องบอกกับตัวเองทุกเช้าว่าเราเป็นเกลือ เพื่อให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในโลกนี้ จะมีใครด่าว่าเรา เราก็จะไม่ต่อว่ากลับ เพราะเราเป็นเกลือแห่งโลกนี้ ดังที่พระเยซูไม่ทรงด่าว่ากลับเมื่อมีคนที่มาด่าว่าพระองค์ แต่กลับทรงให้อภัย

หากเราไม่เป็นเกลือ พระเจ้าก็ไม่พอพระทัยในชีวิต พระเยซูคริสต์ได้จึงตรัสและย้ำเน้นว่าถ้อยคำของพระองค์เป็นชีวิต เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ

"14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้

15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น

16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:14-16)

เมื่อเราเป็นเกลือและสำแดงว่าเราเป็นเกลือ เราก็ดำเนินชีวิตเป็นความสว่างของโลก เราจะต้องเป็นเกลือก่อน แล้วจึงจะเป็นความสว่างที่จะนำทางคนอื่นได้ หากไม่รู้เอกลักษณ์ของพระเยซูคริสต์ แล้วนำทางคนอื่นก็คือคนนำทางตาบอด

สิ่งสำคัญของการเป็นความสว่าง คือ จะต้องตั้งบนเชิงตะเกียง หากเรารู้ตัวว่าเราเป็นเกลือ เราจะภูมิใจและไม่ปิดบังคนรอบข้างว่าเป็นคริสเตียน พระเจ้าก็จะตั้งเราไว้บนเชิงตะเกียง หากเราปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเป็นคริสเตียนแล้วเราต้องตรวจสอบว่าเราเป็นเกลือจริงหรือไม่

ดังนั้น เราควรจะลองสำรวจตัวเองดูว่าเราเป็นเกลือหรือไม่ และเราอยู่ที่เชิงตะเกียงหรือไม่ ถ้าหากเรานำทางคนรอบข้างให้เขามาถูกทาง คนรอบข้างจะดีใจที่มีเราอยู่ในองค์กร เป็นความสว่าง สร้างสันติ เราจะได้รับความสุขทั้ง 8 ประการ

แต่ให้เราสังเกตว่า พระเจ้าทรงประทานความสุขมาก่อน แล้วจึงสั่งงาน

พระเยซูคริสต์เมื่ออยู่ในโลกนี้พระองค์ดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระบิดา เราเองก็เช่นเดียวกันต้องดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

การกลับใจเป็นช่องที่พระเจ้ายอมรับการกลับมาของเรา ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดอะไร เท่าไหร่มาก็ตาม การกลับใจที่แท้จริงคือการขวนขวายที่จะไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ดังนั้นเมื่อเราสำรวจตัวเองและสารภาพต่อพระองค์ พระเจ้าจะเปลี่ยนให้เราเป็นเกลือ เกลือเป็นธาตุที่เสถียร สิ่งที่พระเจ้าสร้างให้กับคริสเตียนก็เช่นเดียวกันเป็นสิ่งที่มีความเสถียร และมั่นคง

เราต้องรู้พระประสงค์ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ และยอมจำนนต่อพระองค์ เพราะพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงเราถ้าเราไม่ยอมให้พระองค์เข้ามา

ลองถามตัวเองว่าควรไหมที่เราจะเป็นเกลือ ควรไหมที่เราจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ต้องการให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จในชีวิตของเรา และพระองค์จะเป็นผู้กระทำให้สำเร็จ ลูกที่ดีต้องเชื่อฟัง และพระเจ้าจะทรงยินดีถ้าเรายอมต่อพระองค์

คำถามที่เราควรจะถามตัวเอง คือ

  1. พระเยซูคริสต์ได้ทรงมอบหมายงานของพระองค์ให้สาวกทำต่อ เรายินดีหรือไม่ที่จะทำงานของพระองค์ให้สมบูรณ์ทุกประการ

  2. เมื่อเรายอมเป็นเกลือแล้ว เราอาสาที่จะทำงานของพระองค์ต่อไหม คนที่รู้ใจพระเจ้าจะมุ่งดูว่าอะไรคือพระบัญชาและทำต่อ

  3. พระเจ้ามอบหมายให้เราสร้างแผ่นดินของพระเจ้า เราจะทำหรือไม่


(18/05/2007)

ธรรมบัญญัติ

"17 อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ

18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว

19 เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

20 เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์" (มัทธิว 5:17-20)

ธรรมบัญญัติของพระเจ้านั้นได้ถูกกำหนดแล้ว และเข้มงวด ในการพิพากษานั้น พระเจ้าจะไม่ทรงไว้หน้าผู้ใดเลย พระองค์ได้ทรงช่วยให้เราหลุดพ้นแล้ว ถ้าเรายังกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ก็จะทำให้การพิพากษานั้นกลับมาตกอยู่กับเรา เราจึงควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าทำให้ธรรมบัญญัติข้อใดเบาลง ก็ไม่ได้

เราต้องระวังให้ดี การที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าการเห็นอกเห็นใจนั้นทำให้ธรรมบัญญัติเบาขึ้น ก็จะผิด เช่น ถ้าเห็นใครทำผิด แล้วรู้สึกเห็นใจเขา จนไม่กล้าที่จะเข้มงวดกับเขา เพราะกลัวเขาจะไม่มาโบสถ์ ไม่มาเชื่อพระเจ้า จึงอลุ้มอล่วยกับเขา เป็นสิ่งที่ผิด

จากประสบการณ์ พบว่า ยิ่งเราอลุ้มอล่วย ไม่เด็ดขาด จะยิ่งทำให้เขาหละหลวมกับพระเจ้า และกลับเป็นสิ่งที่ไม่ดี แทนที่จะทำให้เขามาเดินในทางของพระเจ้า กลับกลายเป็นทำให้เป็นที่ติฉินนินทาของผู้อื่น ว่าทำไมคริสเตียนจึงเป็นเช่นนี้

อาทิเช่น มีผู้หนึ่ง เป็นคนที่ขี้โมโห ปากร้าย มาเข้าเรียนพระคัมภีร์ที่คริสตจักร โดยอ้างว่าเพราะสังคมเป็นเช่นนี้ ผมจึงได้ตักเตือนว่า "ไม่ได้ เราต้องละชีวิตเก่า และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม" คนนั้นก็ปฏิเสธ บอกว่า เปลี่ยนไม่ได้ ผมจึงพูดตรง ๆ ว่า พระเจ้าทรงไม่พอใจกับสิ่งนี้ แต่พี่น้องส่วนใหญ่จะอลุ้มอล่วยว่า ไม่เป็นไร ค่อย ๆ เปลี่ยนได้ ค่อย ๆ ฝึก เมื่อเขาบอกว่าทำไม่ได้ ก็จะยอมตามเขา บอกว่าไม่เป็นไร เพราะมนุษย์ก็ยังมีความบกพร่อง คน ๆ นั้นเมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ก็จะไม่ต่อสู้กับเนื้อหนัง รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ร้ายและ และชีวิตก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย และในความเป็นจริง เขาก็จะต้องได้รับการพิพากษาอย่างยุติธรรม และผู้ที่สอนผู้ที่ดูแล ก็จะต้องรับการพิพากษากับสิ่งที่เขาสอนด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด เราควรจะเข้มงวดตั้งแต่ต้น เพราะพระเจ้าไม่อนุญาตให้เราอ่อนข้อกับบทบัญญัติของพระเจ้า เราไม่มีสิทธิที่จะทำให้บทบัญญัติของพระเจ้าอ่อนลงไป กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้น เที่ยงตรง และเข้มงวด เราต้องตักเตือนด้วยความรัก เพื่อจะให้ดำเนินชีวิตตามทางของพระองค์ และไปถึงแผ่นดินสวรรค์ในที่สุด

เมื่อนำเขาเข้ามาถึงพระเจ้าแล้ว อย่าเพียงแต่ให้เขาก้าวเข้ามาเท่านั้น แต่จะต้องคิดว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้เขาดำเนินชีวิต สอนให้เขารู้ว่า พระเจ้านั้นน่าเกรงกลัว น่ายำเกรง ไม่เพียงแต่สอนด้านที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก เต็มด้วยพระเมตตาเท่านั้น เพื่อที่เขาจะก้าวสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ด้วย เพราะจะมีประโยชน์อะไรที่นำเขามา แล้วเขายังละเลยที่จะยำเกรงพระเจ้า มีชีวิตที่ตกอยู่ในทาสของบาป แล้วเมื่อวันพิพากษา เขากลับต้องได้รับการลงโทษ และผู้ที่สอนจะต้องได้รับการตำหนิด้วย รวมถึง เมื่อถึงวันพิพากษานั้น คน ๆ นั้น ก็จะกลับมาถามเราว่า ทำไมจึงไม่สอนเขาในสิ่งที่ถูก แล้วเราจะไม่มีข้อแก้ตัวได้เลย

"5 จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส

6 จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน" (โคโลสี 4:5-6)

คำว่า "ปรุงด้วยเกลือ" นั้น จะใช้กับคนภายนอกที่ยังไม่เชื่อ แต่กับผู้ที่เชื่อแล้ว จะต้องเข้มงวดอย่างยิ่ง

สิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คือการสอนที่ทำให้เราไม่เกรงกลัวการพิพากษา บางคนสอนว่า เราจะทำบาปอะไรก็ได้ เพราะเรารอดผ่านทางความเชื่อ ไม่ต้องพยายามไม่ทำบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง

มีอาจารย์บางท่านสอนว่า พระคัมภีร์ 1ยอห์น 1:9 นั้น เป็นพระสัญญาของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข สอนว่าเราทำบาปได้ เพียงแต่เราสารภาพ พระเจ้าก็จะทรงยกโทษให้ เป็นคำสอนที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และไม่ถูกต้อง เพราะว่าการจะได้รับการยกโทษบาปนั้น จะต้องมีเงื่อนไข คือเมื่อเราพึงพาพระเจ้า กลับใจ และเปลี่ยนแปลง จึงจะเป็นการที่เราจะได้รับการชำระจากพระสัญญานี้

พระคัมภีร์ได้เน้นย้ำ ให้เรารักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด

"เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใดเจ้าจะได้รับความสำเร็จ อย่างดี" (โยชูวา 1:7)

"7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ

กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา

8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์

พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง" (สดุดี 19:7-8)

เมื่อเราตักเตือนเขาตรง ๆ อาจจะเจ็บปวด แต่เขาก็จะรู้ในที่สุด ว่าเราหวังดีกับเขา แล้วเขาก็จะไม่โกรธเรา

"เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์" (มัทธิว 5:20)

พวกฟาริสีนั้น รู้ธรรมบัญญัติอย่างดี รู้มาก และรู้ดี รู้รายละเอียดทุกอย่าง เมื่อมาเทียบกับเรา ความรู้ในด้านของพระเจ้า เราเทียบกับฟาริสีได้หรือไม่

แต่ในเรื่องของการกระทำนั้น พระเยซูทรงตำหนิฟาริสีเสมอ โดยเฉพาะในมัทธิวบทที่ 23 พระเยซูทรงตำหนิพวกฟาริสีโดยตรง เพราะพวกฟาริสี มักจะทำให้กฎเกณฑ์ของพระเจ้ายากที่จะปฏิบัติตาม พวกฟาริสีรู้กฎเกณฑ์ แต่หัวหมอ ทำให้ตัวเองสบายที่สุด แต่ทำให้ผู้อื่นลำบากยิ่งขึ้น ใครทำผิดเล็กน้อย พวกฟาริสีก็จะลงโทษอย่างเข้มงวด พวกเขาสอน แต่ไม่เคยยึดถือปฏิบัติ

เวลาที่พระเยซูคริสต์มาสอนเรื่องแผ่นดินพระเจ้า พระองค์ทรงสอนไม่เหมือนกับฟาริสี จึงทำให้ประชาชนนั้นประหลาดใจ และเชื่อถือศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุที่ทำให้พวกฟาริสีไม่พอใจ

ดังนั้น การเข้าแผ่นดินสวรรค์ จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เราจะต้องชอบธรรมยิ่งกว่าฟาริสี คือ เราจะต้องรู้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า และปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด

"11 และพยานหลักฐานนั้นก็คือว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์

12 ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต" (1ยอห์น 5:11-12)

"ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้" (เอเฟซัส 2:8)

เรามักจะอ้างพระคัมภีร์เหล่าข้อนี้เสมอ แต่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า เราจะต้องยึดจากพระคัมภีร์ทั้งเล่ม และพระคัมภีร์ไม่ขัดแย้งกันเอง

"22 ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อมีกำลังร่วมกับการประพฤติตามของท่าน และความเชื่อนั้นจะบริบูรณ์ด้วยการประพฤติ

24 ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการประพฤติ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว" (ยากอบ 2:22,24)

จะเห็นได้ว่า เมื่อเราเชื่อ เราได้รับการเปลี่ยนใหม่แล้ว เราจะต้องประพฤติตามด้วย และถ้าชีวิตเราไม่เปลี่ยน ก็แสดงว่าความเชื่อของเราก็ยังไม่บรรลุผล

การเรียนรู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้น เพื่อให้เราประพฤติตาม ไม่ใช่ให้เราศึกษาแล้วเจ้าเล่ห์ เพื่อหาประโยชน์จากการรู้บัญญัติ แต่เป็นการศึกษาเพื่อให้เรารู้ว่ากฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นเข้มงวดเพียงใด การพิพากษาของพระเจ้านั้นเที่ยงตรงเพียงใด และกลับใจ ตั้งใจที่จะประพฤติตาม เราจะต้องตระหนักเสมอว่า ถ้าพระเยซูคริสต์จะทรงเสด็จกลับมาเมื่อใด อาจจะเป็นตอนที่เรากำลังนอนหลับอยู่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างคนที่อยู่ในแผ่นดินสวรรค์ สารภาพบาปและกลับใจ เพื่อเราจะได้นอนหลับได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องกลัวกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์อีกต่อไป

สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำอีกเรื่องหนึ่ง คือ เราต้องฉวยโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในการที่จะนำผู้อื่นมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะว่าโอกาสนั้นอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะช่วยเขาให้รอดจากการพิพากษา และได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน

"15 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา

16 จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว" (เอเฟซัส 5:15-16)

ถ้าเรารู้จักฉวยโอกาส เมื่อมีโอกาสมา เราก็จะเป็นเหมือนคนมีปัญญา ถ้าฉวยโอกาสแล้วไม่สำเร็จ เราก็ควรวางใจ และรอคอยโอกาส อธิษฐานฝากกับพระเจ้า เพื่อที่พระเจ้าจะทรงให้โอกาสกับเราอีกครั้งหนึ่ง และจะเป็นโอกาสที่ทันเวลา


(15/06/2007)

ความโกรธ ล่วงประเวณี การหย่าร้าง

ทบทวน เรื่องที่ผ่านมา เราจำเป็นต้องชอบธรรมยิ่งกว่าฟาริสี เพราะมาตรฐานของพระเจ้านั้นเข้มงวดมาก เราจะต้องไม่ลดมาตรฐานบัญญัติของพระเจ้า แต่เราจะต้องพัฒนาตัวเราเองที่จะได้มาตรฐานข่องพระเจ้า

"17 ด้วยว่าถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการพิพากษานั้นเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร

18 และ ถ้าคนชอบธรรมจะรอดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนที่ไม่เคารพพระเจ้า และคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน" (1เปโตร 4:17-18)

ทัศนคติของพระเยซูเรื่องความโกรธ

"21 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ

22 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า 'อ้ายโง่' ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า 'อ้ายบ้า' ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก

23 เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน

24 จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน

25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ

26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ" (มัทธิว 5:21-26)

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูทรงตรัสสอนถึงการโกรธพี่น้องของตน แต่สังเกตได้ว่า พระเยซูทรงโยงไปถึงการ "ฆ่าคน" ซึ่งเราอาจจะดูแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวกัน และเกี่ยวกับความโกรธ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องซีเรียส แต่ทว่า ในบริบทนี้ จะเห็นได้ว่า ความโกรธพี่น้องในพระคัมภีร์ตอนนี้ เป็นความโกรธที่ไม่ใช่ธรรมดา แต่โกรธมากถึงกล่าวว่าผู้นั้น ขนาดว่า "อ้ายบ้า" หรือ "อ้ายโง่" ซึ่งเป็นความโกรธที่คนผู้นั้นไม่สามารถให้อภัยได้ ซึ่งในกรณีนี้ ได้มีพระคัมภีร์กล่าวไว้เช่นกันว่า

"ผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็เป็นผู้ฆ่าคน และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย" (1ยอห์น 3:15)

แค่เกลียดชังพี่น้อง ก็ไม่สามารถเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้แล้ว

มีพระคัมภีร์กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า ถ้าเราโกรธกับพี่น้อง เราควรจะไปคืนดี ก่อนที่จะถวายเครื่องบูชาเสียอีก ซึ่งพี่น้องในที่นี่ ไม่ใช่เพียงพี่น้องฝ่ายกาย หรือพี่น้องในโบสถ์ แต่ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ เป็นพี่น้องทั้งสิ้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กฎเกณฑ์นี้ ขอบเขตกว้างมาก เราจึงจำเป็นต้องรักพี่น้องทุกคน แม้แต่ศัตรู ก็ยังจะต้องรัก

ถ้าพี่น้องของเรา ทำผิดต่อเรามากมาย เราก็จำเป็นต้องให้อภัยเขา เพราะพระเยซูทรงตรัสตอบอาจารย์เปโตรว่า ต้องให้อภัยจนถึง 7x70 ครั้ง แต่ทว่า เราจะต้องอาศัยกฎเกณฑ์ของความรัก คือ จะต้อง "ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด" ดังนั้น เราจะต้องตักเตือน ถ้าเขาไม่กลับใจ ต้องสอนเขา ต้องแสดงให้เขารู้ว่าเราไม่ชื่นชมยินดีกับการกระทำของเขา

อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิด แล้วไม่กลับใจ เราจำเป็นต้องตัดสินลงโทษ เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง

"1 มีข่าวเล่าลือว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่า คนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นเมียของตน

2 และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ท่านควรที่จะตัดคนที่กระทำผิดเช่นนี้ออกเสียจากพวกท่าน

3 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วยเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้น

4 ในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันและใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

5 พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า" (1โครินธ์ 5:1-5)

ถ้าเราไม่คืนดี พระเจ้าก็ไม่ทรงรับเครื่องบูชา แต่พระองค์ก็พร้อมที่จะรับเครื่องบูชานั้นเสมอ หลังจากที่เราคืนดีแล้ว

ทีนี้ มาถึงประเด็นที่ว่า "เครื่องบูชา" นี้ จะเปรียบได้กับสิ่งใดในปัจจุบัน

เดิม เครื่องบูชานั้น ทำเพื่อเป็นการถวายแด่พระเจ้า ด้วยหลายวัตถุประสงค์ด้วยกัน อาทิเช่น เพื่อไถ่ความผิด เพื่อนมัสการพระเจ้า ดังนั้น ในเรื่องการไถ่ความผิด ในปัจจุบันก็คือการอธิษฐานสารภาพ ถ้าเราไม่ให้อภัยพี่น้อง พระเจ้าก็ไม่ให้อภัยเราเช่นเดียวกัน และเมื่อเราจะนมัสการพระเจ้า เราก็จำเป็นต้องอภัยความผิดของพี่น้องเช่นกัน

"พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย" (โรม 12:1)

"25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ

26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ" (มัทธิว 5:25-26)

เป็นเรื่องราวที่สำคัญมาก เราควรจะปรองดองกับคู่ความเสมอ มิฉะนั้นเราก็จะถูกจับ และถูกลงโทษ จนกว่าจะใช้หนี้ครบ

เรื่องราวนี้ เป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงได้กับ "ไฟชำระ" ซึ่งมีบางความเชื่ออ้างถึง "บาปที่นำไปสู่ความตาย" และ "บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย" ซี่งบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย ก็จะต้องถูกการชำระ ซึ่งเวลานั้น จะเป็นเมื่อไร ก็คงจะไม่ทราบ เพียงแต่ว่าน่าจะมี แม้จะยังไม่เข้าใจ ดังนั้น อย่าเสี่ยงเด็ดขาด เราจะต้องปรองดอง ดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์เสียดีกว่า

ทัศนคติของพระเยซูเรื่องการล่วงประเวณี

"27 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา

28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว

29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก

30 ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก

31 ยังมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยาก็ให้ทำหนังสือหย่าให้แก่ภรรยานั้น

32 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการเล่นชู้ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นผิดศีลล่วงประเวณี และถ้าผู้ใดจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา ผู้นั้นก็ผิดศีลล่วงประเวณีด้วย" (มัทธิว 5:27-32)

จะเห็นได้ว่า กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้น เข้มงวดมาก โดยดูเจตนา แม้ยังไม่ได้กระทำ สิ่งเหล่านั้นก็เกิดผลแล้ว ซึ่งต่างจากกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเราแค่คิดวางแผน แต่ยังไม่ทำ ก็ไม่ผิด แต่กฎเกณฑ์ของพระเจ้า แค่คิดก็ผิดแล้ว แม้จะยังไม่กระทำ เราจึงต้องระวังให้ดี อย่าปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นพัฒนาขึ้น

"14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม

15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย" (ยากอบ 1:14-15)

เราจะต้องระวัง ผู้ชาย ควรจะระวังการทดลอง เพื่อที่ความคิดนั้น จะไม่นำให้เราเกิดตัณหา แล้วเกิดบาปในที่สุด ตั้งแต่วินาทีที่เราเห็นภาพที่ล่อใจ แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เราจะต้องห้ามใจทันที และไม่เหลียวมองอีกครั้ง เพื่อเราจะไม่แพ้การทดลองนั้น

ส่วนผู้หญิงเอง ก็ต้องแต่งตัวระมัดระวัง เพื่อจะไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นหลงผิด

สิ่งที่พระเยซูทรงเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงเห็นสิ่งนี้เป็นเรื่องซีเรียสเพียงใด ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า

"29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก

30 ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก" (มัทธิว 29-30)

บางคนอาจจะคิดว่า พระองค์ทรงแค่กล่าวลอย ๆ แต่ถ้าเราคิดอย่างนั้นอันตรายมาก แต่จริง ๆ พระองค์ทรงกล่าวไว้จริงจังมาก ถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่พูดเล่น ๆ พระองค์กล่าวว่า ว่าถ้าตาทำให้เราหลงผิด สู้เข้าสวรรค์โดยตาข้างเดียว ยังดีกว่า หรือถ้ามือข้างขวาทำให้เราหลงผิด สู้เราตัดทิ้งเสียดีกว่า มิฉะนั้นก็จะเสียทั้งชีวิต และเป็นความพินาศชั่วนิรันดร์ เราจึงจำเป็นต้องต่อสู้ และไม่ยอมแพ้ เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญ และจริงจังกับชีวิตนิรันดร์มากยิ่งกว่าสิ่งใด

"19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก

20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน

21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า (กาลาเทีย 5:19-21)

"แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง" (วิวรณ์ 21:8)

"14 คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู

15 ภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี คนฆ่ามนุษย์ คนไหว้รูปเคารพ ทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตาม" (วิวรณ์ 22:14-15)

"ท่านจงรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนลามก คนละโมบ (ที่เป็นเหมือนคนที่นับถือรูปเคารพ) จะมีส่วนในแผ่นดินของพระคริสต์และพระเจ้าเป็นมรดกก็หามิได้" (เอเฟซัส 5:5)

ทัศนคติของพระเยซูเรื่องการหย่าร้าง

"31 ยังมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยาก็ให้ทำหนังสือหย่าให้แก่ภรรยานั้น

32 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการเล่นชู้ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นผิดศีลล่วงประเวณี และถ้าผู้ใดจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา ผู้นั้นก็ผิดศีลล่วงประเวณีด้วย" (มัทธิว 5:31-32)

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษากันให้ดี แม้ว่าจะยังไม่มีประสบการณ์เรื่องการมีคู่มาก่อน

พระคัมภีร์ตอนนี้ ให้ความสำคัญกับชีวิตคู่มาก เพราะเป็นความผูกพันที่จะขาดออกจากกันไม่ได้ ยกเว้นได้เพียง 2 กรณีเท่านั้นเอง คือ อีกฝ่ายมีชู้ หรือเสียชีวิต เท่านั้นเอง กรณีอื่น ไม่สามารถที่จะแยกจากกันได้อย่างถูกต้องได้เลย และจะผิดในเรื่องการประเวณีถ้าแยกจากกันนอกเหนือจาก 2 กรณีนี้

ดังนั้น การจะเลือกคู่ จะต้องเลือกให้ดี ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะถ้าเลือกใครแล้ว จะต้องตกลงปรงใจว่าจะต้องอยู่กันจนตายเท่านั้น เลือกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต


(22/06/2007)

การสาบาน การตอบแทน และรักศัตรู

ทัศนคติของพระเยซูเรื่องการสบถสาบาน

"33 อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น

34 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย โดยอ้างถึงสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า

35 หรือโดยอ้างถึงแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรือโดยอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็อย่าสาบาน เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์

36 อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้

37 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว(หรือ มารร้าย)" (มัทธิว 5:33-37)

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม ได้มีการกล่าวไว้เกี่ยวกับการสาบาน ว่า ถ้าสาบานในนามของพระเจ้าแล้ว จะต้องรักษาไว้ เพราะเป็นการเกี่ยวข้องกับพระเจ้าโดยตรง

ยกตัวอย่าง เยฟธา ในพระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ เมื่อจะออกรบแล้ว เขาไม่มั่นใจว่าจะรบชนะหรือไม่ จึงได้ทำการอธิษฐานขอต่อพระเจ้าว่า ถ้าเกิดเขารบชนะ กลับมาแล้ว เขาจะนำบุคคลแรกที่มาต้อนรับเขาหลังจากรบ ถวายแด่พระเจ้า เมื่อรบชนะ ปรากฎว่า คนแรกที่มารับเขา คือ ลูกสาวของเขาเอง เขาจึงรู้สึกเสียใจ เขาจึงบอกตามตรงต่อพระเจ้า แต่ลูกของเขาเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจ จึงกล่าวให้พ่อนำเขาไปถวายแด่พระองค์ เพื่อที่บิดาของเขาจะไม่ต้องเสียคำสาบานต่อพระเจ้า

ซึ่งกรณีนี้ต่างจากกรณีของอับราฮัม เนื่องจากในกรณีอับราฮัมถวายอิสอัคนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งอับราฮัมให้ทำดังนั้นเอง

พระเจ้าได้ทรงคัดเลือกเราให้มีฐานะให้ได้รับสิทธิพิเศษ คือ เป็นบุตรของพระเจ้า โดยความรักของพระเจ้า พระองค์ปรารถนาที่จะให้สิ่งที่ดีกับเราอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องสาบาน ไม่ต้องต่อรองต่อพระเจ้า และการบนบานนั้น เป็นสิ่งที่พระเยซูไม่ทรงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่ท่าทีแห่งความรัก เราไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องสบถสาบาน

อีกกรณีหนึ่ง คือ การสาบานว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใด ๆ ก็เป็นสิ่งที่พระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้เราสาบานเลย เพราะสิ่งที่เรากล่าวอ้างนั้น อันที่จริงมนุษย์ไม่มีสิทธิในสิ่งที่เขาต้องการยืนยันเหล่านั้นได้เลย แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านั้น มนุษย์ไม่ได้มีสิทธิครอบครองเลย

พระเยซูทรงกล่าวว่า "จริง" ก็เพียงบอกว่า "จริง" ไม่ต้องอ้างนู่นอ้างนี้ เพราะพระเยซูทรงทราบว่าอะไรอยู่ในมนุษย์ และคนที่อ้างนู่นอ้างนี่ มักจะกล่าวความเท็จ และพระองค์รู้เจตนาของเขา และคนที่บริสุทธิ์จริง มักจะไม่ต้องกล่าวอ้างสิ่งใด และเขามักจะไม่เดือดร้อน ไม่กลัว

ในกรณีของศาลนั้น ยังมีการสาบานก่อน ซึ่งเป็นกฎ ยังเป็นสิ่งที่ต้องกระทำกัน ทั้งนี้ เนื่องจากเดิม เป็นการสาบาน เพื่อให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ลงโทษต่อผู้กระทำผิด หรือการโกหกในศาล ซึ่งเดิม ชาวยิวกลัวมาก เนื่องจากชาวยิวกลัวว่าพระองค์จะทรงลงโทษ และปัจจุบันก็ยังสามารถใช้วิธีนี้เป็นกลยุทธทางจิตวิทยาได้ในบางกรณี เนื่องจากมนุษย์บางคนยังคงกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่

ทัศนคติของพระเยซูเรื่องการตอบแทน

"38 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน

39 ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย

40 ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย

41 ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร

42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน" (มัทธิว 5:38-42)

ที่พระเยซูทรงตรัสสอน "อย่าต่อสู้คนชั่ว" เนื่องจาก การตอบแทน แม้จะมีสิทธิ์ เนื่องจากเขาชั่ว แต่ถ้าเราสู้กับคนชั่ว แพ้แน่นอน เพราะถ้าเราโต้ตอบ เขาจะยิ่งกระทำต่อเรามากเป็นทวีคูณ พระเยซูทรงต้องการให้เราใช้สติปัญญาในการโต้ตอบ

การที่มีคนมาทำร้ายเราโดยที่เราไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด แสดงว่าเขาคนนั้นไม่น่าจะเป็นคนดี เมื่อมีคนมาตบแก้มซ้ายของเรา พระองค์จึงทรงแนะนำให้เราหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ และพระเยซูก็ได้ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าต้องการเสื้อ ให้เสื้อคลุมแก่เขา และถ้าเขาเกณฑ์ให้เราเดินทาง 1 กิโลเมตร ให้เราเลยไปถึง 2 กิโลเมตร ดูเหมือนจะไม่น่าที่จะดี แต่เชื่อเถิด ว่าการต่อสู้กับคนชั่ว มีแต่ทำให้เราแย่ลง ดังนั้น ถ้าเรายอมให้เขากระทำดังนั้น จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้ เขาอาจจะสะใจ และบอกว่าเราอ่อนแอ เรากลัว และเขาก็จะเลิกในที่สุด แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราต่อสู้ เราอาจจะกลับตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าเราต่อสู้กับคนที่ชั่ว

ให้เรามีความเชื่อว่า พระองค์ทรงปกป้องดูแลเราเสมอ แม้ว่าเราจะหันแก้มอีกข้างให้เขาตบ พระองค์ก็จะไม่ให้เราต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาอาจจะตบอีกข้างจริง ๆ แต่ให้เรามีความเชื่อว่า พระองค์จะทรงตอบแทนให้แก่เราอย่างแน่นอน และเราจะไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน

ในฝรั่งมีคำกล่าวว่า "Second Mile" ซึ่งมาจากพระคัมภีร์ในตอนนี้ และใช้เป็นคำหนุนใจคริสเตียน ให้เราจำคำนี้ไว้ เมื่อเราได้รับสิ่งที่เลวร้าย ให้เราตระหนักดีว่าเป็นสิ่งที่ทำดีเพื่อพระองค์ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกบังคับ และไม่เต็มใจที่จะทำ

เรื่องนี้มีประวัติ คือ กฎหมายของโรม ซึ่งปกครองชาวยิวอยู่สมัยนั้น ชาวโรมมีสิทธิที่จะใช้งานคนยิวได้ แต่กฎเกณฑ์คือ เมื่อใช้ให้ชาวยิวคนนั้นแบกไป จะต้องไม่เกิน 1 กิโลเมตร ห้ามเกิน เพราะถ้าเกิน จะผิดกฎ และพวกยิวห้ามปฏิเสธ

ดังนั้น ไมล์แรกที่เราถูกเกณฑ์ให้เดินไป เราทำเพราะถูกบังคับ แต่ไมล์ที่สอง แสดงถึงน้ำใจที่เรามีให้แก่คนที่ใช้เรานั้น และนี่จะเป็นการชนะใจแก่คนที่เกณฑ์เราไปนั้น

แต่ทว่า ไม่ใช่ทุกกรณีที่เราจะใช้พระคัมภีร์ตามนี้ ซึ่งเราจะต้องพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราจะให้ได้หรือไม่ มีขอบเขต ไม่ใช่จะให้ได้เสียทุกเรื่อง

รักศัตรู

"43 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู

44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน

45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม

46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ

47 ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ

48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ" (มัทธิว 5:43-48)

พระคัมภีร์ตอนนี้ เน้นย้ำว่า มาตรฐานของคนของพระเจ้า หรือคนในแผ่นดินสวรรค์นั้น ล้วนแต่สูงกว่ามาตรฐานของโลก เกินกว่าที่โลกจะสามารถกระทำได้ ซึ่งมาตรฐานนั้น สูงจริง ๆ แต่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงสอนเพื่อให้เป็นมาตรฐานในชีวิต และพระองค์ไม่ทรงกำหนดเพื่อให้เรากระทำไม่ได้ แต่เราจะสามารถกระทำได้โดยการทรงช่วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ตัวอย่างนี้จะเห็นได้ชัด คือ จงรักคนสนิท และจงเกลียดชังศัตรู นั้น เป็นมาตรฐานที่ชาวโลกทั่วไปสามารถกระทำได้อย่างไม่ยากนัก เพราะเป็นมาตรฐานของมนุษย์ แต่พระเยซูทรงต้องการให้รักแม้แต่ผู้ที่ข่มเหงเรา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงมาก

เราจะต้องตระหนักเสมอว่า หลังจากที่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เรามีมาตรฐานที่สูงขึ้นหรือไม่ มีมาตรฐานที่สูงกว่ามาตรฐานของโลกหรือยัง ซึ่งถ้ามาตรฐานของเราไม่มีการพัฒนา แต่ยังอยู่เหมือนเดิม เราก็ควรที่จะพิจารณาให้ดี

ศัตรูนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้มีข้อแม้ บางคนอาจจะบอกว่า "ยกโทษให้ได้หมด ยกเว้นคนนี้" ซึ่งเป็นสิ่งที่คนนั้นจะต้องเรียนรู้ เพราะคำว่า "ศัตรู" นี้ ไม่มีข้อยกเว้น พระเยซูไม่ได้ทรงเปิดโอกาสว่า สามารถยกเว้นศัตรูบางคนที่จะไม่ต้องให้อภัยได้ แต่ทรงบอกว่า "จงรักศัตรูของท่าน"

ในพระคัมภีร์ข้อที่ 48 นี้ สำคัญมาก เพราะว่าพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ที่ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น ก็คือพระเจ้า และทรงเป็นผู้ดีรอบคอบ ดังนั้น เราจะต้องยอมให้พระองค์เปลี่ยนแปลงเรา ให้เราดีรอบคอบเช่นเดียวกัน

มนุษย์อาจจะอ้างว่า "มนุษย์ ไม่มีทางที่สมบูรณ์ได้หรอก ต้องมีข้อบกพร่อง" นี่เป็นสิ่งที่เหมือนจะถูก และมนุษย์มักจะใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะสามารถทำผิดได้ แต่จริง ๆ แล้ว พระองค์ทรงประสงค์ให้เราดีรอบคอบ (Perfect) และเราจะต้องพึ่งพระวิญญาณเท่านั้นจึงจะ perfect ได้

ความล้ำลึกของพระวิญญาณนั้น ยากที่จะเข้าใจโดยกำลังจากมนุษย์ได้ แต่เมื่อเราได้มองเห็นความล้ำลึกนั้นแล้ว เราก็จะเข้าใจได้อย่างไม่ยาก เพราะจริง ๆ แล้วพระวิญญาณทางกระทำกิจในเราอยู่ เพียงแค่เรายอมให้พระองค์ทำงาน ยอมแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ และความชอบธรรมของพระองค์ เท่านั้น เราก็จะเกิดผลโดยอัตโนมัติ แล้วเราก็จะเข้าใจความล้ำลึกของพระวิญญาณ เพราะสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณก็จะมาครอบครองชีวิตเรา จะเกิดผลออกจากชีวิตของเรา

"ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ" (กาลาเทีย 5:22)

นี่จะเป็นสิ่งที่บอกกับเราว่า เราอยู่ฝ่ายพระองค์หรือไม่ ซึ่งเราควรจะท่องจำให้ดี

การจะเกิดผลหรือไม่ อยู่ที่เราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ว่าเรายอมหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เราไปให้อาจารย์ท่านใดวางมืออธิษฐานเพื่อ หรือการพูดภาษาแปลก ๆ แต่สิ่งที่ยืนยันถึงการมีพระวิญญาณในชีวิต คือ ผลของพระวิญญาณเท่านั้น

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com