มัทธิว 12

(25/04/2008)

สาวกเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต

"ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด" (มัทธิว 12:7 ThaiTSV2002)

คำตรัสของพระเยซูในข้อนี้ ต้องการเน้นย้ำให้เราเข้าใจ ว่าพระเจ้าของเรา ที่เป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ใครที่ถวายเครื่องสัตวบูชาให้แก่พระองค์ พระองค์ก็ทรงพอพระทัย แต่ว่าหากมิได้กระทำด้วยความเมตตา ก็ย่อมไม่เป็นที่พอพระทัย เพราะพระองค์ทรงประสงค์ความเมตตามากกว่าเครื่องสัตวบูชา

คนที่รู้จักพระเจ้า จะต้องดำเนินตามอย่างใจของพระองค์ ให้เราสำรวจชีวิตให้ดี ว่าในวันจันทร์ถึงเสาร์ เราได้สำแดงความรักให้แก่เพื่อนบ้านหรือไม่ เพราะหากชีวิตของเราไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสสั่งสอน แม้ว่าเราจะมานมัสการวันอาทิตย์ พระองค์ก็มิได้ทรงพอพระทัย

"เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต" (มัทธิว 12:8 ThaiTSV2002)

พระเจ้าผู้ตั้งกฎเกณฑ์ พระองค์ไม่ได้เป็นทาสของกฎเกณฑ์ของพระองค์ แต่พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์เหล่านั้น เราจะใช้กฎเกณฑ์ของพระเจ้า มาใช้บังคับพระเจ้าไม่ได้ แต่ว่าพระเมตตาอยู่เหนือกฎเกณฑ์เหล่านั้น ซึ่งพระองค์ได้ทรงสำแดงโดยการที่ทรงรักษาโรคในวันสะบาโต

ชายที่มือลีบ, ผู้รับใช้ที่ทรงเลือก

พระองค์ได้ทรงรักษาโรคในวันสะบาโต ซึ่งทำให้พวกฟาริสีไม่พอใจ แต่พระองค์ทรงกระทำตามพระทัยของพระเจ้า และพระองค์จะเป็นตามที่ท่านอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่าพระองค์จะทรงเป็นความหวังให้แก่ประชาชาติ

"และบรรดาประชาชาติจะฝากความหวังไว้กับท่าน" (มัทธิว 12:21 ThaiTSV2002)

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความหวังของประชาชาติ อยากให้เราตระหนักข้อนี้ในใจของเรา เพราะว่าพระองค์ ทรงเป็นความหวังผู้เดียวของบรรดาประชาชาติทั้งหลาย ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด แม้ว่าบรรดาประชาชาติจะมีพระของตนเอง แต่พระเหล่านั้นมิได้เป็นความหวังที่แท้จริง เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง และทรงเป็นความหวังของเราเสมอ ซึ่งความหวังนี้ จะเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเชื่อ

ครัวเรือนที่แตกแยกกันอยู่ไม่ได้

ต่อมา พระเยซูได้ทรงแสดงหมายสำคัญโดยการขับผีออกจากคนที่ถูกผีเข้า ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เอง ได้ทรงตรัสถึงหลายประเด็นที่น่าสนใจ

"พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า 'ราชอาณาจักรใดๆซึ่งแตกแยกกันแล้ว ก็คงพินาศ เมืองใดๆหรือบ้านใดๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้ว จะตั้งอยู่ไม่ได้' " (มัทธิว 12:25 ThaiTSV2002)

นี่คือสัจธรรม ที่พระองค์ทรงตรัสแก่เรา ดังนั้น ให้เราเองสังเกตดู ในโลกของเรามีความแตกแยกอย่างมากมายและรุนแรงในหลาย ๆ แห่ง และถ้าความแตกแยกนั้นมามาก แผ่นดินแห่งนั้นจะต้องพินาศแน่นอน แม้แต่ในประเทศไทยเอง ก็มีความแตกแยกเช่นเดียวกัน ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ประเทศนั้นจะไม่มีสันติสุขแน่นอน

ในครัวเรือนก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องระวังให้ดีที่จะไม่เกิดความแตกแยก เพราะถ้าหากมีความแตกแยกแล้ว จะไม่มีสันติสุข


"และถ้าซาตานขับซาตานออกมันก็แตกแยกกันในตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? " (มัทธิว 12:26 ThaiTSV2002)

แม้กระทั่งอาณาจักรของมารก็เช่นเดียวกัน ในพระคัมภีร์ข้อนี้ได้แสดงให้เราเห็นว่า แม้แต่อาณาจักรของมาร ยังสามารถเป็นอันหนึ่งเดียวกันได้ อาณาจักของมารจึงยังคงไม่พินาศ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราต้องใครครวญให้ดี เพราะว่าถ้าเรายังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว เราจะต่อสู้กับมารได้อย่างไร ดังนั้น เราจะต้องระวังให้ดี ที่จะไม่ให้เกิดความแตกแยกภายในคริสตจักร


"แต่ถ้าเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว" (มัทธิว 12:28 ThaiTSV2002)

เดิม โลกนี้โดนครอบครองโดยความชั่ว แต่พระคำตอนนี้ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า แผ่นดินของพระเจ้าได้มาตั้งอยู่แล้ว โดยผ่านทางพันธกิจขององค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงยอมกระทำตามพระทัยของพระบิดา และทรงกระทำกิจต่าง ๆ เพื่อที่จะให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในโลกแห่งนี้

เช่นเดียวกัน แผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่ได้ โดยการที่เรายอมที่จะให้พระเจ้าเคลื่อนไหว ซึ่งเมื่อเรายอมแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานพระวิญญาณให้แก่เรา เพื่อเราจะได้ต่อสู่กับอำนาจ และกิจการของมารได้ และจะนำมาสู่ซึ่งแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งแผ่นดินของพระองค์จะเป็นที่ที่ไม่มีมารหลงเหลืออยู่

ถ้าเราได้ยอมให้พระองค์ทรงทำงานผ่านเรา เราก็จะเป็นผู้ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของที่แห่งนั้น เป็นเกลือและแสงสว่างให้แก่ชุมชน ขยายอาณาจักรของแผ่นดินพระเจ้าในที่สุด

แต่ถ้าเราไม่ยอมที่จะให้พระองค์ทรงทำงานผ่านเรา ในที่แห่งนั้นก็จะไม่มีเกลือ และแสงสว่าง และแผ่นดินของพระองค์ก็ไม่สามารถมาตั้งอยู่ได้


"หรือใครจะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่มีกำลังมาก และปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้? เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในบ้านนั้นได้" (มัทธิว 12:29 ThaiTSV2002)

สิ่งที่เราใช้เป็นยุทธวิธี เพื่อที่จะนำวิญญาณได้ ก็โดยการที่เอาชนะมารซาตานให้ได้ แต่ทว่าเราไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้ด้วยตนเอง เราจะต่อสู้กับมารซาตานได้ก็ได้อาศัยกำลังจากพระเจ้าเท่านั้น โดยการอธิษฐานอย่างจริงจัง พึ่งพากำลังจากพระเจ้าผู้ซึ่งมีกำลังมากกว่ามารซาตาน เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าเรามีความตั้งใจ จริงจังที่จะต่อสู้กับมารซาตาน พระองค์ก็จะทรงนำเราอย่างแน่นอน

ดังนั้น กำลังที่มาจากการอธิษฐานเผื่อพันธกิจต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะว่าผู้ที่เราต่อสู้นั้นมีกำลังมากกว่าเรา เราจะสู้ได้ก็ได้กำลังจากพระเจ้าเท่านั้น

ในพระธรรมดาเนียลก็ได้กล่าวถึงสิ่งนี้เช่นเดียวกัน เน้นย้ำถึงความสำคัญของเจ้าแห่งโลกนี้จะขัดขวางเรา เจ้าผู้พิทักษ์นั้นมิได้ถูกผูกมัด พันธกิจของพระเจ้าก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างเกิดผลเท่าที่ควร

"เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน แต่มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมาช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงละท่านไว้ที่นั่นให้อยู่กับเจ้าผู้ พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซีย" (ดาเนียล 10:13 Thai1971)

และมารนั้นมีกำลังมาก แม้กระทั่งมากกว่าทูตสวรรค์มีคาเอล

"แม้แต่มีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์ เมื่อโต้เถียงกับมารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจพูดลบหลู่มารเลย แต่พูดเพียงว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดุว่าเจ้าเถิด" (ยูดา 9 ThaiTSV2002)

ดังนั้น อย่าให้เราประมาท แต่ให้เราพึ่งกำลังจากพระเจ้า เพื่อที่เราจะสามารถชนะในสงครามฝ่ายวิญญาณได้


"ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา และใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็ทำให้กระจัดกระจาย" (มัทธิว 12:30 ThaiTSV2002)

จากพระธรรมตอนนี้ ได้ชี้ให้เราเห็นว่า ถ้าใครไม่อยู่ฝ่ายพระองค์ ก็เป็นศัตรูกับพระองค์ ไม่มีฝ่ายที่อยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ ถ้าใครไม่ได้ถูกรวมรวมไว้กับกระองค์ แตกแยกกับผู้อื่น พระองค์ก็ทรงตรัสว่าจะทรงกระทำให้กระจัดกระจาย และเราจะต้องเป็นผู้ที่จะช่วยให้คนรอบข้างมารู้จักกับพระเยซูให้ได้ เพื่อมิให้เขาต้องถูกทำให้กระจัดกระจายไป

ในสมัยนี้ มีผู้ที่สอนผิดมากมาย และอาจจะดูเหมือนว่าอยู่ฝ่ายพระองค์ แต่เราจะต้องดูให้ดีว่าสอนตามพระคัมภีร์จริง ๆ หรือไม่ มิฉะนั้นจะกลายเป็นยาพิษ และจะทำให้เราไม่สามารถไปสู่ความรอดได้ และอาจารย์เปาโลก็ได้เน้นย้ำให้เราระมัดระวังในการประพฤติและการสอนด้วยเช่นเดียวกัน

"จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงประพฤติสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เพราะเมื่อทำอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถช่วยทั้งตัวท่าน และทุกคนที่ฟังท่านให้รอดได้" (1ทิโมธี 4:16 ThaiTSV2002)

"เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้" (มัทธิว 12:31 ThaiTSV2002)

นี่เป็นคำเตือนที่พระองค์ทรงเตือนเรา ให้เราระมัดระวังให้ดี นี่จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่จะให้อภัยไม่ได้เลย คือ การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือการที่ไม่ยอมรับความจริง แม้รู้ว่าเป็นความจริง

แต่นี่ไม่ได้หมายถึงว่า ถ้าใครอ้างว่าเขากระทำสิ่งต่าง ๆ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะต้องเชื่อเสมอ เพราะ นี่ไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ให้เราพิสูจน์วิญญาณนั้น ว่าเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงหรือไม่

"ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก" (1ยอห์น 4:1 ThaiTSV2002)

การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ การที่เรารู้แล้วว่าสิ่งนี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสำแดงให้เราได้เห็นชัดเจนแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง

ในพระคัมภีร์ มีตัวอย่างให้เห็นชัดเจน คือ อานาเนียและสัปฟีรา ในพระธรรมกิจการ เพราะพวกเขารู้แล้วว่าสิ่งที่อัครทูตกระทำกิจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ก็ยังหลอกลวง

ต้นไม้และผล

"36 ฝ่ายเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดในถ้อยคำเหล่านั้น ในวันพิพากษา

37 เหตุว่าที่เจ้าจะพ้นโทษได้ หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น ก็เพราะวาจาของเจ้า" (มัทธิว 12:36-37 ThaiTSV2002)

นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่เราจะต้องระมัดระวังให้ดี ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นมีสาระหรือไม่ เป็นเหตุให้ผู้ใดกระจัดกระจายไปหรือไม่

เรื่องวาจา เป็นเรื่องที่คริสเตียนหลาย ๆ คนละเลย แต่พระคัมภีร์ได้เน้นย้ำให้เราระมัดระวังให้ดี เพราะว่าพระเยซูได้เน้นชัดเจน รวมถึงพระคัมภีร์ยากอบก็ได้เน้นย้ำเช่นเดียวกัน

"10 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าออกมาจากปากเดียวกัน พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอย่างนั้น

11 บ่อน้ำพุจะมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม(แปลได้อีกว่า และน้ำขม) พุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ?

12 พี่น้องของข้าพเจ้า ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ? และเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ? บ่อน้ำพุเค็มย่อมทำให้เกิดน้ำจืดไม่ได้" (ยากอบ 3:10-12 ThaiTSV2002)

ดังนั้น เราจะต้องระมัดระวังให้ดี เพื่อที่เราจะดีรอบคอบ เหมือนที่พระองค์ทรงดีรอบคอบ อย่าทำให้พระสิริของพระเจ้าต้องมัวหมองไปเพราะการไม่ระมัดระวังของเรา พลาดไม่ได้เลย

(30/05/2008)

คนชาติชั่วแสวงหมายสำคัญ

"38 เวลานั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า 'ท่านอาจารย์ เราอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน'

39 พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า 'คนในยุคชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะไม่ประทานหมายสำคัญให้ เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ

40 เพราะว่าโยนาห์อยู่ในท้องปลามหึมาสามวันสามคืน อย่างไร บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนอย่างนั้น

41 ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนในยุคนี้ และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่เพราะการประกาศของโยนาห์ และผู้ที่ใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่

42 ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าพระนางนั้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่" (มัทธิว 12:38-42 ThaiTSV2002)

ไม่ใช่ทุกคนที่แสวงหาหมายสำคัญแล้ว พระคริสต์จะทรงสำแดงทุกครั้ง เพราะหมายสำคัญมีเพื่อให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์มากยิ่งขึ้น

จากพระคัมภีร์ตอนนี้ ผู้ที่ไม่เชื่อ คือ พวกธรรมาจารย์และฟาริสี มาขอหมายสำคัญ เพื่อต้องการทดลองพระเยซูคริสต์ และพระองค์ก็ไม่ทรงสำแดง เพราะว่าพระองค์ทรงทราบในจิตใจของเขาดี เพราะเจตนาของพวกเขามิได้มาเพื่อรู้จักพระองค์

เช่นเดียวกัน ในชีวิตของเรา เมื่อเราประกาศ เราอาจจะเจอคนบางคนแล้ว ต้องการขอหมายสำคัญ อาทิเช่น ขอให้หายจากโรค ขอให้ถูกลอตเตอรี่ ขอให้มีเงินทอง มิได้เพื่อต้องการแสวงหาพระองค์ แต่เพื่อต้องการผลประโยชน์บางประการ พระองค์ทรงทราบจิตใจของเขาดีว่าเขาต้องการหมายสำคัญเพื่ออะไร ถ้าเพื่อผลประโยชน์ เขาจะไม่มีทางได้เป็นอันขาด แต่หากการขอหมายสำคัญของเขาเพื่อที่จะต้องการรู้จักพระเจ้าจริง ๆ พระองค์จะทรงสำแดงให้แก่เขาอย่างแน่นอน ดังนั้น ขออย่าให้เราเสียใจเมื่อเราอธิษฐานให้แก่ผู้นั้นแล้วพระองค์ไม่ตอบ ซึ่งที่ไม่ทรงตอบนั้น ก็เพราะยังไม่ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงเปิดเผยให้แก่เขาในเวลานั้น

แต่เหนือสิ่งอื่นใด หมายสำคัญที่พระองค์ทรงสำแดงให้แก่มนุษยชาติ ซึ่งเป็นหมายสำคัญหลัก ทรงเปิดเผยให้กับทุกคน นั่นคือ หมายสำคัญของโยนาห์ ได้แก่ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู และการฟื้นจากความตายของพระองค์ในวันที่สาม ถ้าหากผู้ใดเชื่อในหมายสำคัญที่สำคัญที่สุดนี้ หมายสำคัญอื่น ๆ ก็จะตามมาอย่างแน่นอน หมายสำคัญนี้สำหรับมนุษย์ทุกคนไม่มียกเว้น

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาถึงเมื่อครั้นที่โยนาห์ได้ประกาศแก่ชาวนีนะเวห์ จะพบว่า ในเวลานั้น ท่านโยนาห์ประกาศอย่างไม่เต็มใจ ใจของเขาอยากให้เมืองนี้พินาศ และที่ประกาศเพราะเป็นพระบัญชาของพระเจ้า เพราะหนีไม่พ้น แต่ว่าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้แก่ชาวนีนะเวห์ และชาวนีนะเวห์ก็ได้คว้าเอาโอกาสนั้นไว้ พวกเขาจึงรอดได้ พระเยซูคริสต์จึงใช้เรื่องราวนี้เป็นมาตรฐาน ว่า ข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช เพื่อให้ผู้ที่เชื่อได้รับความรอด

"16 ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย

17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ" (โรม 1:16-17 ThaiTSV2002)

ซึ่งสอดคล้องกับที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ในจดหมายฝาก ว่า ไม่ว่าใครจะประกาศด้วยท่าทีเช่นไร แต่ว่าข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช จะสามารถนำวิญญาณได้อย่างแน่นอน

"15 จริงอยู่ที่มีบางคนประกาศพระคริสต์ด้วยความอิจฉาและการวิวาท แต่ก็มีบางคนที่ประกาศด้วยเจตนาดี

16 ฝ่ายหนึ่งประกาศด้วยความรัก โดยรู้ว่าข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งไว้ให้กล่าวปกป้องข่าวประเสริฐนั้น

17 แต่อีกฝ่ายหนึ่งประกาศพระคริสต์ด้วยการชิงดีกัน ไม่ใช่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จงใจจะเพิ่มความยากลำบากแก่ข้าพเจ้าในระหว่างถูกคุมขัง

18 แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ไม่ว่าจะประกาศด้วยการเสแสร้งหรือด้วยความจริงใจ พระคริสต์ก็ถูกประกาศไปในทุกที่ เรื่องนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้ายินดี และข้าพเจ้ายังจะมีความยินดีต่อไปด้วย" (ฟิลิปปี 1:15-18 ThaiTSV2002)

ดังนั้น ขอหนุนใจว่า การประกาศนั้น พวกเราคริสเตียนสามารถกระทำได้ทุกคน ไม่ต้องอาศัยของประทานใด ๆ ในการประกาศ ไม่ต้องขอหมายสำคัญในการประกาศ แต่ทุกครั้งที่ข่าวประเสริฐออกไป ทุกรูปแบบนั้น พระองค์สามารถใช้ข่าวประเสริฐนั้นในการนำวิญญาณอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่จะกระทำให้เชื่อได้ คือ ข่าวประเสริฐเท่านั้น ไม่ใช่เพราะความสามารถของผู้ประกาศ ขอให้เราสัตย์ซื่อในการประกาศ แล้ววันหนึ่งเราจะได้เห็นผู้ที่กลับใจ อย่างที่เราคาดไม่ถึง

และสำหรับผู้ที่ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว กลับปฏิเสธ ในวันพิพากษา เขาจะไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้เลย เพราะว่าชาวนีนะเวห์ จะลุกขึ้นมากล่าวโทษแก่เขาเหล่านั้น เพราะแม้ว่าท่านโยนาห์จะประกาศแก่พวกเขาอย่างเสียมิได้ พวกเขาก็ยังได้กลับใจ แต่ว่าบัดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงพระองค์แก่มนุษย์ทุกคนแล้ว ซึ่งเป็นหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะพระองค์ได้ทรงยอมตายเพื่อไถ่บาปแก่มนุษย์โลก เพื่อผู้ที่เชื่อจะได้รับความรอด ถ้าเขาได้เห็นหมายสำคัญนี้แล้วยังไม่กลับใจ เขาจะไม่สามารถตอบสิ่งใดแก่ชาวนีนะเวห์ในวันพิพากษาได้เลย หน้าที่ของเราผู้ซึ่งเป็นสาวกของพระองค์ คือ จะต้องพยายามประกาศแก่เขา เพื่อเขาจะมิได้ต้องพินาศในวันพิพากษา

อีกเรื่องราวหนึ่ง ที่พระเยซูทรงยกขึ้นมาเพื่อสอนเรา คือ เรื่องราวของราชินีแห่งเชบา ผู้ซึ่งได้เดินทางมาเพื่อทดสอบสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน และเมื่อนางได้เห็นถึงสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอนแล้ว นางก็ได้เศร้าสลด สารภาพว่านางไม่เชื่อในสติปัญญาของซาโลมอน จึงได้เดินทางมาเพื่อพิสูจน์ จนได้เชื่อในที่สุด เมื่อได้เห็นกับตา

"6 พระนางทูลพระราชาว่า 'ข่าวคราวซึ่งหม่อมฉันได้ยินในประเทศของหม่อมฉัน ถึงพระราชกิจและพระสติปัญญาของพระองค์เป็นความจริง

7 แต่หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเฝ้า และตาของหม่อมฉันได้เห็นเอง และดูเถิด ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง พระสติปัญญา และความมั่งคั่งของพระองค์ก็มาก ยิ่งกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน' " (1พงษ์กษัตริย์ 10:6-7 ThaiTSV 1971)

แต่ว่าองค์พระเยซูคริสต์ ทรงมีสติปัญญามากกว่ากษัตริย์ซาโลมอน อยากเทียบไม่ได้ ได้ทรงสำแดงให้แก่เราทุกคนแล้ว หากว่าผู้ที่ได้เห็นพระองค์ ได้รู้จักกับพระองค์แล้ว กลับไม่เชื่อ ในวันพิพากษานั้น ราชินีแห่งเชบา จะมากล่าวโทษผู้นั้นอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกัน อยากให้เราสังเกตท่าทีของเราในการรับฟังพระวจนคำของพระองค์ ในการฟังเทศนาทุก ๆ ครั้งเช่นกัน ว่าเราได้เห็นถึงสติปัญญานั้นหรือไม่ เราให้ความเคารพแก่พระวจนะคำของพระองค์หรือไม่ ถ้าเราได้เห็นแล้ว ยังไม่เชื่อ หรือไม่ได้แสวงหา เราก็จะไม่มีข้อแก้ตัวได้เลย

อย่าให้เราต้องรอการฟื้นฟู จึงค่อยประกาศ จึงค่อยร้อนรน แต่ให้เราตั้งใจจริงกับพระเจ้า ต่อสู้กับตัวเอง และกระตือรือร้นในการรับใช้อย่างสม่ำเสมอ เพราะ การฟื้นฟูจริง ๆ อยู่เราต่อสู้กับตนเอง เอาชนะตนเอง แบกกางเขน แล้วเดินตามพระองค์

"และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้" (ลูกา 14:27 ThaiTSV2002)

ผีร้ายกลับเข้าใหม่

"43 เมื่อผีโสโครกออกมาจากใครแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบ

44 มันจึงกล่าวว่า 'ข้าจะกลับไปที่บ้านของข้า ที่ข้าจากมานั้น' และเมื่อมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นว่าง ถูกปัดกวาดและจัดเป็นระเบียบ

45 มันจึงไปพาผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าตอนแรก คนในยุคชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น" (มัทธิว 12:43-45 ThaiTSV2002)

อยากให้เรามาพิจารณาถึงลักษณะของคนที่ถูกผีเข้า ว่าคนผู้นั้นจะควบคุมตนเองไม่ได้ และกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหนือการควบคุม จะกระทำสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ แก่คนนั้น เมื่อพระองค์ได้ทรงช่วยเขาให้พ้นจากสภาพนั้นแล้ว ได้รับรู้ถึงการทรงช่วยของพระเจ้าแล้ว แต่กลับไปสู่สภาพเดิมอีก ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และการกลับไปสู่สภาพเดิมนั้น เป็นเพราะเขาเจตนาที่จะกลับไปสู่สภาพเดิม จึงเป็นสิ่งที่สุดวิสัย และพระองค์ทรงเรียกเขาว่า "คนในยุคชั่วร้าย" หรือ "คนชาติชั่ว" (ThaiTSV1971)

"4 เพราะว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้ลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์

5 และได้ลิ้มรสความดีงามแห่งพระวจนะของพระเจ้า และฤทธิ์เดชแห่งยุคที่จะมาถึงนั้น

6 แล้วยังหลงไป ก็เหลือวิสัยที่จะนำพวกเขามาสู่การกลับใจอีกได้ เพราะพวกเขาเองได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าอีก(แปลได้อีกว่า เพราะพวกเขาได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าซึ่งเป็นการสูญเสียของพวกเขาเอง) และได้ประจานพระองค์ให้อับอายต่อสาธารณชน

7 เพราะว่าพื้นดินที่ได้รับน้ำฝนอยู่เสมอ(ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ที่ดื่มน้ำฝนที่ตกบนมันบ่อยๆ) และทำให้เกิดพืชผักอันเป็นประโยชน์แก่คนที่เพาะปลูก ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า

8 แต่ถ้าพื้นดินนั้นผลิตต้นหนามใหญ่และหนามย่อย มันก็ไร้ค่าจนเกือบจะถูกแช่งสาป แล้วในที่สุดก็จะถูกเผาไฟ" (ฮีบรู 6:4-8 ThaiTSV2002)

เช่นเดียวกัน ผู้ที่ได้มารู้จักกับพระองค์แล้ว แต่กลับหันหลังกลับ ปฏิเสธพระองค์ เขาก็จะอยู่ในสภาพที่เลยร้ายอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็จะยังมีโอกาสที่จะกลับใจ ยังมีโอกาสที่จะกลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงพร้อมที่จะต้อนรับการกลับมาของคนผู้นั้น และหน้าที่ของเรา คือจะต้องช่วยประคับประคอง นำเขากลับมาให้ได้ เพื่อให้เขามิได้ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่เลวร้าย ร้ายยิ่งกว่าคนที่ไม่เคยได้รู้จักกับพระองค์เสียอีก

มารดา และน้องของพระเยซู

"46 ขณะที่พระองค์ยังตรัสกับฝูงชนอยู่นั้น มารดาและบรรดาน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอก หาโอกาสจะพูดกับพระองค์

47 มีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า 'นี่แน่ะท่าน มารดาและบรรดาน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอก หาโอกาสที่จะสนทนากับท่าน'

48 พระองค์จึงตรัสกับผู้ที่มาทูลนั้นว่า 'ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?'

49 พระองค์ทรงชี้ไปทางสาวกทั้งหลายของพระองค์และตรัสว่า 'นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา

50 เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา' " (มัทธิว 12:46-50 ThaiTSV2002)

นี่คือกฎเกณฑ์ฝ่ายวิญญาณ ที่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยแก่เรา ถึงเรื่อง ครอบครัวฝ่ายวิญญาณ ซึ่งได้แก่ พี่น้องในพระเยซูคริสต์

เราจะต้องรักกันและกัน เหมือนที่เรารักพี่น้องฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีการแบ่งแยก เพราะเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน เราต้องรักกันเหมือนพี่น้องทางสายเลือด เราจะต้องปฏิบัติแก่พี่น้องฝ่ายวิญญาณ เหมือนที่กระทำแก่พี่น้องทางสายเลือด ถ้าหากว่าใครที่กระทำตามพระทัยพระบิดา ผู้นั้นก็เป็นพี่น้องของเราเช่นเดียวกัน เราจะต้องไม่ละทิ้งเขา ต้องช่วยเหลือเขา

แต่หากใครที่ไม่กระทำตามพระทัยพระบิดา เราจะต้องคอยตักเตือนเขาเช่นกัน เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เรารักซึ่งกันและกัน

"34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

35 ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 13:34-35 ThaiTSV2002)

ขอเราเรียนรู้ที่เราจะมองอย่างพระเยซูคริสต์ ที่เราจะใช้สายตาฝ่ายวิญญาณ มิใช่สายตาฝ่ายร่างกาย

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com