มัทธิว 19

พระดำรัสสอนของพระเยซู เรื่องการหย่าร้าง

"3 พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์โดยทูลถามว่า 'ผู้ชายจะหย่าภรรยาของเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?'

4 พระองค์ตรัสตอบว่า 'ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิมนั้นทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

5 และตรัสว่าเพราะเหตุนี้ ผู้ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน

6 ด้วยเหตุนี้เขาทั้งสองจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย'

7 พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า 'ถ้าอย่างนั้นทำไมโมเสสสั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้?'

8 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 'โมเสสยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยา เพราะใจของท่านแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมไม่ได้เป็นอย่างนั้น

9 เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี เว้นแต่ว่านางเป็นชู้กับชายอื่น' (สำเนาโบราณบางฉบับ มีข้อความว่า และใครรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยา ก็ผิดประเวณีด้วย)

10 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า 'ถ้าลักษณะสามีภรรยาเป็นอย่างนั้น ไม่แต่งงานยังจะดีกว่า'

11 พระองค์ทรงตอบว่า 'ไม่ใช่ทุกคนจะรับคำสอนนี้ได้ ยกเว้นคนที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น

12 เพราะคนที่เป็นขันทีตั้งแต่เกิดก็มี คนที่มนุษย์ทำให้เป็นขันทีก็มี คนที่ทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่แผ่นดินสวรรค์ก็มี ใครรับได้ก็ให้รับเอาเถิด' " (มัทธิว 19:1-12 ThaiTSV2002)

พระธรรมตอนนี้ เป็นตอนที่พระเยซูได้ทรงสอนเราโดยตรงเกี่ยวกับการสมรส ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราควรจะเรียนรู้ เพื่อที่จะไม่ตกอยู่ในความบาปหลังจากแต่งงานไปแล้ว

ฟาริสีได้ถามพระเยซู เพื่อเป็นการทดลองพระองค์ เกี่ยวกับเรื่องการหย่า และพระเยซูทรงมิได้ตอบทันที พระองค์มิได้ทรงกล่าว่าพระบัญญัติกล่าวว่าอะไร แต่ทรงกล่าวอ้างถึงความหมายที่แท้จริงของการสมรสตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ซึ่งพระธรรมตอนนี้เราอาจจะได้ยินบ่อย ๆ ในพิธีแต่งงาน

มีคนบางกลุ่ม ที่อนุญาตให้มีภรรยาได้หลายคน โดยบางพวกอาจจะเอาตามแบบอย่างยาโคบ บรรพบุรษของอิสราเอล ที่มีภรรยาหลายคน แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกล่าวไว้ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงสร้างชาย 1 คนและหญิง 1 คนให้มาคู่กัน และเมื่อเขาแต่งงานกัน เขาก็จะกลายเป็นเนื้ออันเดียวกัน ทั้งเรื่องที่พระองค์ทรงสร้าง 1 ต่อ 1 และการเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งสองสิ่งจะต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน

พระเยซูคริสต์ได้ทรงสร้างบรรทัดฐาน สร้างกฎเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน เพื่อเป็นการป้องกันเราไว้มิให้ถูกตำหนิหรือถูกลงโทษเนื่องจากการล่วงประเวณีตามบัญญัติสิบประการ พระองค์ได้เปิดเผยว่า

"เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี เว้นแต่ว่านางเป็นชู้กับชายอื่น(สำเนาโบราณบางฉบับ มีข้อความว่า และใครรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยา ก็ผิดประเวณีด้วย)" (มัทธิว 19:9 ThaiTSV2002)

ในสิ่งที่เราจะต้องเลือกต่อไปนี้ คือ เมื่อเราเลือกที่จะแต่งงานกับคนที่เรารัก เลือกเขาให้เป็นคู่ชีวิต พระองค์ทรงสร้างเราและคนนั้นไว้เป็น 1 ต่อ 1 เท่านั้น ดังนั้นเราจะต้องเลือกให้ดี เพราะในชั่วชีวิตของเราอาจจะเลือกได้เพียงครั้งเดียว เราจึงต้องตัดสินใจอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจ พระองค์มิได้สร้าง 1 ต่อ 2, 1 ต่อ 3, หรือ 1 ต่อ 4 แต่เพียงแค่ 1 ต่อ 1 เท่านั้น และเรากับเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ นี่คือพระทัยของพระเจ้า ต้องจำไว้ให้ดี เราจะไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจได้เลย เพราะการแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้

คงจะไม่มีใคร ที่เป็นคนปกติ แล้วจะตัดอวัยวะของตัวเองทิ้งโดยไม่มีสาเหตุ เราอาจจะตัดส่วนเกินออก แต่ถ้าเป็นอวัยวะปกติคงไม่มีใครตัดออก เช่นเดียวกัน เมื่อเราตัดสินใจแต่งงานแล้ว เราจะต้องยอมรับว่าคู่ของเราก็เป็นกายเดียวกับเราแล้ว เราจะต้องทะนุถนอมให้ดี ผู้พันกันตลอดชีวิต โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ที่จะแยกจากกันได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างไรก็ตาม เราก็จะต้องรักษาไว้ ยกเว้นเพียงกรณีเดียว คือ "การมีชู้" เท่านั้น

แม้ว่าจะมีการตบตีกัน การไม่เข้าใจกัน การเข้ากันไม่ได้ สิ่งเหล่านี้มิได้กระทำให้ความผูกพันนี้สิ้นสุดลง มิได้ทำให้การหย่าขาดนั้นถูกต้องตามกฎฝ่ายวิญญาณ แม้ว่าทางกฎหมายจะมีผลโดยการเขียนใบหย่า แต่ทางฝ่ายวิญญาณ การหย่านั้นก็ยังไม่เป็นผล ดังนั้น ถ้าไปแต่งงานใหม่ ก็จะผิดบัญญัติเรื่องการล่วงประเวณีทันทีเลย และคนที่แต่งงานกับคนที่หย่านั้นก็จะผิดด้วยเช่นกัน นี่คือกฎเกณฑ์ฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์ตรัสสอนไว้ กฎเกณฑ์ที่บอกถึงพระทัยของพระเจ้า

คริสเตียนในปัจจุบัน มีมากทีเดียวที่มิได้คำนึงถึงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ทำให้เกิดความบาปขึ้น และความบาปนี้ก็อาจทำให้ผู้อื่นต้องตกอยู่ในความบาปโดยการแต่งงานกับคนที่หย่าแล้ว และพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า

"แต่พวกที่ขี้ขลาด พวกที่ไม่เชื่อ พวกที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน พวกฆาตกร พวกล่วงประเวณี พวกใช้เวทมนตร์ พวกบูชารูปเคารพ และทุกคนที่โกหกนั้น มรดกของพวกเขาอยู่ในบึงที่ไฟและกำมะถันกำลังลุกไหม้อยู่ ซึ่งเป็นความตายครั้งที่สอง (วิวรณ์ 21:8 ThaiTSV2002)

"19 การงานของเนื้อหนัง (แปลได้อีกว่า ผลงานของเนื้อหนัง) นั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล

20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน(แปลได้อีกว่า การแบ่งพรรคแบ่งพวก)

21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้ซึ่งข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า" (กาลาเทีย 5:19-21 ThaiTSV2002)

"ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมพงศ์พันธุ์ของเจ้าเสียด้วย" (โฮเชยา 4:6)

เมื่อมีคู่ไหนที่มีปัญหาจนกระทั่งอยู่ด้วยกันไม่ไหว สิ่งที่เราจะแนะนำเขาได้ ก็คือ ให้เขาคืนดีกัน เราไม่สามารถที่จะแนะนำให้เขาหย่าได้ เพราะจะเป็นความผิดของเรา และถ้าเขายังคงเลือกที่จะหย่า สิ่งที่เราทำได้ คือ บอกให้เขารู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ว่าถ้าเขาจะหย่า เขาต้องไม่แต่งงานใหม่ มิฉะนั้นจะผิดกฎเกณฑ์ของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งละเอียดอ่อนมาก

เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ จึงเป็นความจำเป็นที่เราจะต้องป้องกันโดยการศึกษาคนที่เราจะแต่งงานด้วยให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะต้องศึกษาชีวิตเขาให้ดี ว่าเขารักพระเจ้าเพียงใด ถ้าคนที่เราจะแต่งงานด้วยเป็นคนที่รักพระเจ้า เขาก็จะยำเกรงพระเจ้า และเชื่อฟังกฎเกณฑ์ของพระองค์ ปัญหาเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นได้ยาก และชีวิตสมรส รวมถึงชีวิตของเราและชีวิตของเขา ก็จะอยู่ในความปลอดภัย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเขามิได้เป็นคนที่รักพระเจ้า เขาก็จะสามารถทิ้งพระเจ้าเมื่อไรก็ได้ เขาก็จะสามารถที่จะทำผิดได้ทุกเมื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็จะไม่รู้ได้

แต่ถึงกระนั้น ก็อย่าให้เราที่จะใช้ช่องที่พระเยซูทรงเปิดไว้ ว่าถ้าอีกฝ่ายมีชู้ เราก็จะเป็นอิสระ สามารถแต่งงานใหม่ได้ ถึงแม้ว่าถ้าอีกฝ่ายจะไปมีชู้ เขาก็จะผิดประเวณี และเราก็จะสามารถหย่าได้ แต่ก็จะเป็นภาพที่ไม่สวยงาม มิได้เป็นตามพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน

ต่อมา พวกฟาริสีจึงถามพระเยซูต่อว่า ทำไมโมเสสจึงให้หย่าได้ แต่เราต้องทำความเข้าใจว่า น้ำพระทัยของพระเจ้ามิได้เป็นเช่นนั้น พระองค์ตรัสว่า

"พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 'โมเสสยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยา เพราะใจของท่านแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมไม่ได้เป็นอย่างนั้น' " (มัทธิว 19:8 ThaiTSV2002)

เมื่อพวกสาวกฟังแล้ว ก็รู้สึกหนักใจ เช่นเดียวกับพวกเรา ที่เมื่อฟังแล้วอาจจะหนักใจ แต่อยากขอบอกว่า ถ้าเราหนักใจ ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพื่อเราจะได้ระมัดระวัง แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งไว้เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข และเพื่อความถูกต้องของครอบครัวนั้น

นอกจากนี้ พระเยซูตรัสต่อว่า จะมีคนพิเศษเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ คือการอยู่เป็นโสด ซึ่งก็สอดคล้องกับที่อาจารย์เปาโลได้สอนไว้ และถ้าคนที่ตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสดเพื่อที่จะรับใช้พระเจ้า ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก

"32 ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านพ้นจากความพะวง ชายที่ไม่แต่งงานก็ห่วงใยในสิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะให้เป็นที่พอพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า

33 แต่คนที่แต่งงานก็พะวงในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ เพื่อจะให้เป็นที่พอใจของภรรยา

34 เป็นการสองฝักสองฝ่าย หญิงที่ไม่แต่งงาน และหญิงพรหมจารี ก็ห่วงใยในสิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเธอจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ทั้งกายและจิตวิญญาณ แต่หญิงที่แต่งงานแล้วก็พะวงในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ เพื่อจะให้เป็นที่พอใจของสามี

35 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่จะเอาบ่วงคล้องท่าน แต่เพื่อชีวิตที่เหมาะสม และเพื่อให้การอุทิศตัวต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ถูกจำกัด

36 แต่ถ้าชายใดคิดว่า ไม่อาจจะปฏิบัติอย่างสมควรต่อคู่หมั้น(ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า หญิงพรหมจารี) ของเขา มีความรักร้อนแรง(แปลได้อีกว่า มีอายุเลยวัยแล้ว) และต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ให้เขาทำตามความต้องการ คือให้เขาแต่งงานเสียเพราะไม่เป็นความผิด

37 แต่ถ้าชายใดตั้งใจแน่วแน่ และเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และเขามีอำนาจเหนือความอยากของตนเอง และตัดสินใจว่าจะให้หญิงนั้นเป็นคู่หมั้นของเขาต่อไป เขาก็ทำดีแล้ว

38 เพราะฉะนั้นใครที่แต่งงานกับคู่หมั้นของตนก็ทำดีอยู่ แต่ผู้ที่ไม่แต่งงานก็ทำดีกว่า" (1โครินธ์ 7:32-38 ThaiTSV2002)

ถ้าอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ทำผิดบาปโดยการล่วงประเวณีแล้ว เราก็มีทางที่จะเลือก 2 ทาง ทางเลือกแรก คือ จะตัดสินใจที่จะหย่ากับเขา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะอีกฝ่ายได้ล่วงประเวณีแล้ว แต่อีกทางหนึ่ง คือ ในเมื่อเราเป็นเนื้อเดียวกับเขาแล้ว เราก็สามารถที่จะตกลงกับเขา นำเขากลับมา และตกลงว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ซึ่งถ้าตกลงกันได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี

การให้คำแนะนำ เราจะต้องระมัดระวัง เราควรพยายามที่จะบอกให้เขารู้ถึงทางที่ถูกต้อง บอกถึงกฎเกณฑ์ของพระเจ้า และบอกถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากการที่เขาเลือกทางใด ที่สำคัญ เราต้องไม่แนะนำให้เขาแยกจากกันเป็นอันขาด มิฉะนั้นเราจะต้องรับผิดชอบกับพระเจ้าแน่นอน

เรื่องเศรษฐีหนุ่ม

"16 นี่แน่ะ มีคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า 'ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำความดีอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?'

17 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า 'ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม? ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว ถ้าท่านต้องการจะเข้าสู่ชีวิต ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้'

18 คนนั้นทูลถามว่า 'คือพระบัญญัติข้อไหนบ้าง?' พระเยซูตรัสว่า 'อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ

19 จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง'

20 ชายหนุ่มคนนั้นทูลพระองค์ว่า 'ข้าพเจ้ารักษาข้อเหล่านั้นทุกข้ออยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?'

21 พระเยซูตรัสกับเขาว่า 'ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา'

22 เมื่อชายหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก

23 พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า คนร่ำรวยจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก

24 เราบอกพวกท่านอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า'

25 เมื่อพวกสาวกได้ยินก็อัศจรรย์ใจมาก จึงทูลว่า 'ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?'

26 พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า 'สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า'

27 แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า 'พวกข้าพระองค์สละสิ่งสารพัดตามพระองค์มา แล้วพวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง?'

28 พระเยซูตรัสว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์นั้น พวกท่านที่ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า

29 และทุกคนที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา คนนั้นจะได้ผลร้อยเท่าและชีวิตนิรันดร์ด้วย

30 แต่หลายคนที่เป็นคนแรก จะกลับไปเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนแรก' " (มัทธิว 19:16-30 ThaiTSV2002)

ประเด็นแรก ที่อยากให้เรามีโอกาสได้คิด ก็คือ การที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว” หมายความว่าอย่างไร ?

เดิมที พระวาทะทรงดำรงอยู่ พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดที่จะนอกเหนือพระวาทะ

"1 ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

2 ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า

3 พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ" (ยอห์น 1:1-3 ThaiTSV2002)

โลกในสมัยเริ่มแรกนั้น มีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ พระเจ้า มนุษย์ และมาร พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ดังนั้น มนุษย์ในสมัยเริ่มแรกนั้นดี ซึ่งความดีของมนุษย์นี้ได้มาจากความดีของพระเจ้า เนื่องจากผู้ที่ดีก็มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระเจ้าแล้ว ก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ดีนั้นเป็นอย่างไร จนเมื่อมนุษย์ได้ตกอยู่ในความบาป

ตอนที่เริ่มแรกสร้างโลกนั้น อาดัมนั้น ทำบาปไม่เป็น เขามีชีวิตที่ดีเหมือนกับพระเจ้า เขาก็อยู่ในสวนเอเดนมาตั้งนานโดยไม่สงสัยถึงต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว และก็ไม่คิดที่จะขัดคำสั่งของพระเจ้า จนกระทั่งเอวาโดนล่อลวงโดยมาร และเวลาก็ได้ล่อลวงอาดัมต่อ พอได้กินปุ๊บ จากที่รู้ดีอย่างเดียว ก็เลยได้รู้ชั่วด้วย และบาปก็ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากนั้น จึงเหลือผู้ที่ดีผู้เดียวคือพระเจ้า และมนุษย์จึงไม่สามารถที่จะดีพร้อมเหมือนกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถที่จะทำตามบัญญัติ ทำดีเพื่อที่จะกลับไปอยู่ในสภาพแรกเริ่มนั้นได้แล้ว ส่งผลให้เราไม่มีทางที่จะไปสวรรค์ได้โดยการทำดีของเราเอง

พระเยซูคริสต์ต้องการบอกกับเขาว่า ผู้ที่ดีมีเพียงผู้เดียว ถ้าอยากจะไปถึงสิ่งที่ดี ก็มีอยู่ทางเดียว ก็คือพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ที่ดี นี่คือสัจธรรมแห่งความล้ำลึก มนุษย์เราไม่เข้าใจ คิดว่าถ้าเราทำสิ่งนี้สิ่งนั้นได้ ก็ดีแล้ว

ชายคนนี้ก่อนที่จะมาพบพระเยซูนั้น ภูมิใจในตัวเองมาก คิดว่าตัวเองนั้นดี แต่พระเยซูคริสต์ตรัสบอกชายคนนี้โดยตรงเลยว่า ผู้ที่ดีมีเพียงพระเจ้าเท่านั้น และสิ่งที่เขายังขาดไป ก็คือ เขายังไม่รู้จักพระองค์

"พระเยซูตรัสกับเขาว่า 'ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา' " (มัทธิว 19:21 ThaiTSV2002)

ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ สามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์สมบัติในสวรรค์ได้ก็โดยการที่เราช่วยผู้ที่เล็กน้อยในโลกนี้ แล้วพระเยซูคริสต์จะทรงให้บำเหน็จให้แก่เราในสวรรค์แน่นอน

"แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย' " (มัทธิว 25:40 ThaiTSV2002)

และถ้าชายคนนี้อยากได้ชีวิตนิรันดร์ ต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเอาไว้ แต่ยังไม่พอ จะต้องทำสิ่งอีกสิ่งหนึ่ง คือ สละโลกนี้ และติดตาม เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์

ธรรมบัญญัตินั้น แม้ว่าจะทำได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่พอ เพราะว่าผู้ที่ดีมีเพียงพระเจ้า และมาตรฐานของพระเจ้านั้นจะสูงเพียงไร

"เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)

แต่เมื่อเราได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็ได้กลับมามีสภาพเดิมได้ กลับมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ และสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก็คือ เราจะต้องรักษาสภาพไว้ที่จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก

"ภายหลังพระเยซูทรงพบคนนั้นในบริเวณพระวิหารจึงตรัสกับเขาว่า 'นี่แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน' " (ยอห์น 5:14 ThaiTSV2002)

ชายเศรษฐีหนุ่มคนนี้เมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงไม่สามารถอวดได้อีก แต่ก็ท้อใจ เพราะเขาทำไม่ได้ พ่ายแพ้เพราะการที่เขารักโลก รักทรัพย์สินในโลกนี้

และสาวกเมื่อเห็นเหตุการณ์ เห็นว่าเศรษฐีหนุ่มยังไม่สามารถรอดได้ ดังเช่นที่อูฐไม่สามารถรอดรูเข็มได้ ก็ท้อใจ

(เข็มในที่นี้ ไม่ใช่เข็มเย็บผ้า แต่เป็นประตูที่ชาวอิสราเอลใช้เป็นทางที่จะให้แกะลอดผ่านได้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น อูฐมีขนาดใหญ่กว่าแกะมาก จึงไม่สามารถผ่านได้แน่นอน)

ในที่สุด พระเยซูคริสต์ตรัสแก่สาวกว่า

"พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า 'สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า' " (มัทธิว 19:26 ThaiTSV2002)

นี่คืออัศจรรย์ที่ไม่มีใครสามารถทำได้ ไม่มีใครที่จะช่วยมนุษย์ได้ดังเช่นที่พระเยซูคริสต์ทรงทำ พระเจ้าทรงกระทำให้กับเรา โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น เพียงแค่เราเชื่อวางใจในพระองค์เราก็จะได้รับความรอด

จากความจริงเหล่านี้ เราจึงควรที่จะตระหนักให้ดี และอย่าละเลยที่จะประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนที่เรารัก

สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้แล้วก็คือ พระเยซูคริสต์จะทรงครอบครองเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์จะอยู่บนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์นั้น ทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนาจะต้องมาอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระองค์

พระพรของพระเจ้านั้นน่าปรารถนา แต่เราจะกล้าหรือไม่ที่เราจะเชื่อฟังตามที่พระเจ้าอยากให้เราเป็น แล้วเราจะได้พรทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า และไม่มีสิ่งใดที่จะมีค่าเท่ากับชีวิตนิรันดร์

"อิสอัคหว่านพืชในดินแดนนั้น ในปีเดียวกันก็เก็บผลได้หนึ่งร้อยเท่า พระยาห์‍เวห์ทรงอวยพรท่าน" (ปฐมกาล 26:12 ThaiTSV2006)

"และทุกคนที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา คนนั้นจะได้ผลร้อยเท่าและชีวิตนิรันดร์ด้วย" (มัทธิว 19:29 ThaiTSV2002)

ตอนท้ายพระเยซูตรัสสอนให้ผู้ที่อยู่ข้างหน้านั้นระมัดระวังให้ดี ระวังที่อย่าหยุด แต่ให้ร้อนรนอยู่เสมอ อย่าให้กลับกลายเป็นคนสุดท้าย

จึงอยากขอหนุนใจ ที่ถึงแม้ว่าจะยากลำบาก แต่ขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยความร้อนรนในพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงเสริมกำลังให้แก่เราอย่างแน่นอน เราจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เราจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย

"30 แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว

31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย" (อิสยาห์ 40:30-31 ThaiTSV1971)

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com