แสวงหาเป้าหมายของชีวิต

ซาโลมอนทรงเรียนรู้อย่างยากลำบากว่า พระองค์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ราวกับว่าไม่มีพระเจ้าได้ แม้ว่าพระองค์จะทรงตรัสเป็นนัย ๆ ถึงคำตอบสุดท้ายในบทแรก ๆ ไปแล้ว แต่คำยืนยันอย่างหนักแน่นที่สุดถึงเป้าหมายชีวิตของพระองค์อยู่ในบทสรุปสองข้อสุดท้ายของหนังสือปัญญาจารย์ว่า

"13 จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
14 ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว" (ปัญญาจารย์ 12:13-14)

ใช่แล้ว เป้าหมายสุดท้ายของเราทั้งหมดอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า พระผู้สร้างเรา หากเราคิดจะหนีจากความรับผิดชอบต่อการกระทำอันเห็นแก่ตัวของเราเอง ซาโลมอนทรงย้ำเตือนว่า เราทุกคนต้องเข้าสู่วันแห่งการพิพากษาและรับผิดชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า


"ความพึงพอใจในชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์จะไม่เกิดขึ้น
จนกว่าเราจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ผู้ทรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์"
ชาร์ลส์ สวินดอลล์


คำว่า "ยำเกรงพระเจ้า" นั้นมีความหมายว่าอย่างไร และการ "รักษาพระบัญญัติของพระองค์" นั้นหมายถึงอะไร ? ลองมาพิจารณาสองคำนี้ด้วยกัน

รับรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่

คนมากมายต่อต้านความคิดที่ว่า พวกเขาควรจะยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา และความสุภาพ (ซึ่งความจริงพระองค์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น) และเน้นว่าพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปของพวกคริสเตียนได้ถูกยกออกไปแล้วโดยทางพระเยซูคริสต์ นั่นหมายถึงว่าคำแนะนำของซาโลมอนใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือบุคคลในพระคัมภีร์เดิมเท่านั้นหรือ ?

เปล่าเลย เพราะพระองค์ทรงตรัสถึงความจำเป็นที่มนุษย์ทุกคนต้องยำเกรงพระเจ้า และพันธสัญญาใหม่ก็เน้นในเรื่องของการเรียกร้องให้เรายำเกรงพระเจ้าเช่นกัน

การยำเกรงพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร ?

คนที่กลัวโดยปราศจากเหตุผล ไม่ว่าจะกลัวความสูง ที่แคบ ฝูงชน ลิฟท์ โทรศัพท์ น้ำ ความมืด หรือแมลง มักพยายามเสาะหาความช่วยเหลือทางด้านจิตใจเพื่อเอาชนะความกลัวที่ผิดธรรมชาติ แต่ความยำเกรงพระเจ้าไม่ได้เป็นอารมณ์ที่ไร้เหตุผล เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเมื่อคุณเข้าใจในความจริงที่ว่า พระเจ้าคือใคร และพระลักษณะของพระองค์เป็นอย่างไร

ความยำเกรงพระเจ้า ตามหลักพระคัมภีร์นั้น เกี่ยวข้องกับการยอมรับในฤทธานุภาพ ความยิ่งใหญ่ สิทธิอำนาจ และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นความกลัวที่ถูกต้อง ความยำเกรงในที่นี้หมายถึงการที่เราให้ความเคารพต่อพระองค์ ตัวสั่นเมื่อคิดถึงการพิพากษาของพระองค์ รับพระองค์ด้วยความเกรงกลัว บูชาพระองค์ ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ ความกลัวที่ถูกต้องซึ่งได้แก่ความเกรงกลัวพระเจ้านั้น จะนำเราให้เข้าใกล้พระเจ้า ไม่ใช่ออกห่างจากพระองค์ !

มีตัวอย่างอะไรในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ?

ชายหญิงมากมายในพระคัมภีร์ได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้ทียำเกรงพระเจ้า มีบางคนได้รับการท้าทายอย่างเฉพาะเจาะจงให้ยำเกรงพระเจ้า ดังตัวอย่างต่อไปนี้

อับราฮัมได้แสดงความยำเกรงพระเจ้าด้วยการถวายบุตรชายของเขา คืออิสอัค ต่อพระเจ้า (ปฐมกาล 22:12)

นางผดุงครรภ์ชาวอียิปต์ ซึ่งปฏิเสธที่จะฆ่าทารกชายชาวฮีบรูมีความยำเกรงพระเจ้า (อพยพ 1:21)

โยบเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า (โยบ 1,2)

กษัตริย์ดาวิดได้หนุนใจให้ผู้เชื่อทุกคนยำเกรงพระเจ้า และยินดีในความโปรดปรานของพระองค์ (สดุดี 34:7,9,10)

ภรรยาที่ดีในสุภาษิตบทที่ 31 ได้รับการยกย่องว่าเป็นสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า (สดุดี 31:30)

ผู้ที่ฟังพระดำรัสของพระเยซู ได้รับการท้าทายให้ยำเกรงพระเจ้า เพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งพวกเขาลงไปในนรกได้ (ลูกา 12:5)

โครเนลิอัสเป็นชายที่มีความยำเกรงพระเจ้า และรับพระวจนะด้วยความยินดี (กิจการ 10:22-48)

อาจารย์เปาโลบอกชาวฟิลิปปีให้

"เหตุฉะนี้ พวกที่รักของข้าพเจ้า เมื่อท่านเชื่อฟังทุกเวลาฉันใด ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ เพื่อให้ได้ความรอด ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้น ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย" (ฟิลิปปี 2:12)

อาจารย์เปโตรได้หนุนใจให้ผู้เชื่อประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลา

"และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้" (1เปโตร 1:17)

ผู้ซึ่งจะมีที่อยู่บนสวรรค์ ได้แก่ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า

"และมีเสียงออกมาจากพระที่นั่งว่า 'ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์
ที่ยำเกรงพระองค์ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยจงสรรเสริญพระเจ้าของเรา' " (วิวรณ์ 19:5)

เหตุใดพระเจ้าจึงประสงค์ให้เรายำเกรงพระองค์ ?

ซาโลมอนทรงกล่าวว่า การยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า เป็นเป้าหมายทั้งหมดของชีวิต เมื่อเรายำเกรง เคารพ และถวายเกียรติแด่พระเจ้านั้น เป็นการแสดงถึงการยอมรับรู้พระองค์ในทุกทาง และเป็นการยืนอยู่บนความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง และพระผู้สร้างของเขา การที่เรายำเกรงพระเจ้านั้น แสดงให้เห็นว่า เราเอาจิงเอาจังและปรารถนาที่จะทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำของเรา การใช้เวลาทุก ๆ นาทีของเราเป็นตัวบ่งชี้ความรับผิดชอบที่เรามีต่อพระเจ้า

ความยำเกรงพระเจ้าจะทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อแสวงหาการยกโทษบาปจากพระเจ้า และทำให้ผู้เชื่อเกิดผลในความเชื่อ และได้รับคำชมเชยต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์

"9 เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์

10 เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว" (2โครินธ์ 5:9-10)

"ดูก่อนท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนัง และวิญญาณจิต และจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า" (2โครินธ์ 7:1)

"จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทน ความตื่นตัว ความอาลัย และความกระตือรือร้น และการลงโทษ ในทุกสิ่งเหล่านี้ ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด" (2โครินธ์ 7:11)

ความยำเกรงพระเจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับการนมัสการ ?

ความยำเกรงพระเจ้าและการนมัสการพระเจ้านั้น มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ในปัญญาจารย์ 5:1-7 ซาโลมอนได้พูดถึงการไปยังพระนิเวศของพระเจ้า โดยพระองค์ได้กล่าวว่า

"1 เจ้าจงระวังเท้าของเจ้า เมื่อเจ้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า เพราะการเข้าใกล้ชิดเพื่อจะฟังก็ดีกว่าคนเขลาถวาย สักการบูชา ด้วยว่าเขาไม่รู้ว่าตนกำลังทำชั่ว

2 อย่าให้ใจของเจ้าเร็ว และอย่าให้ปากของเจ้าพูดโพล่งๆต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ

3 ฝันเมื่อมีงานมาก และมีเสียงคนเขลาเมื่อพูดมาก

4 เมื่อเจ้าปฏิญาณบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์หาชอบพระทัยในคนเขลาไม่ จงแก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด

5 ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้

6 อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้กระทำผิดไป และอย่าพูดต่อหน้าผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า นี่แหละเป็นความพลั้งเผลอ เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพิโรธเพราะเสียงพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า

7 เพราะว่าเมื่อฝันมาก คำพูดพล่อยๆก็มาก เจ้าจงยำเกรงพระเจ้าเถิด" (ปัญญาจารย์ 5:1-7)


"พระเจ้าทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้นมาสำหรับพระองค์

และจิตใจของข้าพระองค์ก็ไม่อาจหยุดพัก

จนกว่าจะได้เข้ามาพักสงบในพระองค์"

ชาร์ลส์ สวินดอลล์


มีผู้ยำเกรงพระเจ้าบ้างหรือไม่ในปัจจุบัน ?

ผู้หญิงคนหนึ่งได้เขียนจดหมายมายังรายการ Radio Bible Class มีใจความว่า "คนที่ไม่เชื่อวางใจในพระเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด ฉันรู้แต่ว่าฉันต้องการพระองค์ทุกชั่วโมง ทุกวัน ซึ่งพวกเขาก็เหมือนกัน แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้นะ ?"

ผู้หญิงคนนี้เข้าใจดีถึงความหมายของการยืนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยความกลัวและถ่อมใจ เธอตระหนักดีถึงชีวิตที่ต้องพึ่งพาพระเจ้า และเธอก็มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์

อย่างไรก็ตาม ผู้คนมากมายในปัจจุบันไม่ได้มีทัศนคติเช่นนี้ มีบางคนที่ไม่เชื่ออย่างเปิดเผยว่ามีพระเจ้า และบางคนก็เป็นพวกนับถือศาสนาแต่เปลือกนอก อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์

มีคนจำนวนมากที่บอกว่า ตัวเองเชื่อพระเจ้า แต่วันหนึ่ง ๆ แทบไม่ได้นึกถึงพระองค์เลย คนพวกนี้แม้ปากจะบอกว่าเชื่อ แต่การดำเนินชีวิตไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้ที่ยังไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เรื่องของความยำเกรงพระเจ้าปรากฎอยู่หลายแห่งในพระคัมภีร์เพื่อย้ำเตือนเราทั้งหลาย

เป็นการง่ายที่เราจะหลงลืมไปว่าเราต้องการพระเจ้า และหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองในเรื่องเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ โดยลืมไปว่าเหตุผลที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงประทานลมหายใจให้กับเรานั้นคืออะไร

พระองค์ทรงปรารถนาให้เราใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดเพื่อเวลาที่เรายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ พระองค์จะสามารถพูดได้ว่า

"นายจึงตอบว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด' " (มัทธิว 25:21)

คิดทบทวน

  • คุณกลัวอะไรในชีวิต ? ถ้าหากว่าคุณยำเกรงพระเจ้าอย่างถูกต้อง คุณจะไม่ต้องกลัวอะไร

"17 ในข้อนี้แหละ ความรักของเราจึงสมบูรณ์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นไรเราทั้งหลายในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น

18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

19 เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน

20 ถ้าผู้ใดว่า 'ข้าพเจ้ารักพระเจ้า' และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้

21 พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย" (1ยอห์น 4:17-21)

  • เหตุใดความยำเกรงพระเจ้าจึงเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ?

"และพระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า 'ดูเถิด ความยำเกรงพระเจ้า นั่นแหละคือพระปัญญา และที่จะหันจากความชั่ว คือความเข้าใจ' " (โยบ 28:28)

"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของ ความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน" (สุภาษิต 1:7)

"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์ เป็นความรอบรู้" (สุภาษิต 9:10)

"พระเนตรของพระเจ้าอยู่ในทุกแห่งหน ทรงเฝ้าดูคนชั่วและคนดี" (สุภาษิต 15:3)

ดำเนินตามคำแนะนำของพระองค์

ไม่ว่าคุณกำลังจะอบขนมเค็ก หรือสร้างตึกสูง ความสำเร็จในงานนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการปฏิบัติตามคำแนะนำ คุณอย่าหวังว่าเค็กจะอร่อยหากคุณใส่ส่วนผสมไม่ถูกต้อง และคุณไม่ควรพยายามสร้างตึกสูงถ้าคุณไม่มีรากฐานและวัสดุที่แข็งแกร่งพอ ถ้าเช่นนั้นทำไมเราจึงคิดว่าจะสามารถเอาคำแนะนำในการดำเนินชีวิตของพระเจ้าขว้างทิ้งไป แล้วยังคงมีความพึงพอใจในชีวิตได้เล่า ? บ่อยครั้งที่เราคิดว่าเรารู้ดีกว่าพระองค์

ซาโลมอนทรงคิดว่าตัวเองสำคัญ และทรงเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเองมากเกินไป พระองค์ทรงลืมไปว่าพระเจ้าทรงฉลาดกว่าพระองค์มากนัก พระองค์ทรงหลอกลวงตนเอง โดยคิดว่าความสุขของโลกนี้ดีกว่าความสุขจากการมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าเป็นไหน ๆ พระองค์ทรงตกหลุมพรางของการให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะสั้น และละเลยในสิ่งที่เป็นนิรันดร์

อย่างไรก็ตาม ซาโลมอนทรงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง โดยพระองค์ได้กล่าวในบทสรุปของหนังสือปัญญาจารย์ว่า

"จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง" (ปัญญาจารย์ 12:13)

คำว่ารักษาพระบัญญัติของพระเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร ?

การรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า หมายถึง การเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เรากระทำ

สำหรับผู้เชื่อในพระคัมภีร์เดิมอย่างซาโลมอน สิ่งนั้นหมายถึงพระบัญญัติ 10 ปะการ ซึ่งรวมถึงกฎเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตส่วนตัว กฎเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคม และกฎระเบียบทางด้านศาสนา แต่สำหรับพวกเราในปัจจุบัน การรักษาพระบัญญัติของพระเจ้านั้น หมายถึง การเชื่อฟังหลักการตามพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นหลักการดำเนินชีวิตภายใต้พระคุณของพระเจ้า

พระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า

"ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (ยอห์น 14:15)

และพระธรรม 1ยอห์น ได้บอกกับเราว่า

"เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ" (1ยอห์น 5:3)

นอกจากนี้ ในยอห์น 15:9-11 พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า

"9 พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา

10 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์

11 นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม" (1ยอห์น 15:9-11)

พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด ?

คำสั่งของพระเจ้าทุกคำสั่ง เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตาม และก็มีคำสั่งบางอย่างที่เป็นคำสั่งพื้นฐานและครอบคลุมมากกว่าคำสั่งอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การกระทำตนให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้านั้น ต้องเริ่มต้นจากการเป็นบุตรของพระเจ้า ทุกคนที่หันกลับมาหาพระเจ้า ยอมรับว่าเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า (โรม 3:23) และตระหนักว่าพระเยซูคริสต์ทรงตายเพื่อเขา (ยอห์น 3:16) และรับของประทานเปล่า ๆ จากพระเจ้าเป็นการส่วนตัว (โรม 6:23) คนนั้นก็ได้เริ่มต้นก้าวแรกของการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว

เมื่อมีคนถามพระเยซูคริสต์ว่า พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

"พระเยซูตรัสตอบเขาว่า 'งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา' " (ยอห์น 6:29)

พระเยซูคริสต์ยังทรงอ้างถึงพระบัญญัติอีกสองข้าที่สำคัญที่สุด

"37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า 'จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า

38นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น

39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้' " (มัทธิว 22:36)


"เป็นเรื่องสมเหตุผลที่จะกล่าวว่า ถ้าไม่มีพระเจ้า ก็ปราศจากความหมาย"

อีดิธ เชฟเฟอร์


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่เชื่อฟังพระเจ้า ?

การพยายามแสวงหาความพึงพอใจโดยไม่เชื่อฟังพระเจ้า นั้นก็เปรียบเสมือนการพยายามติดไฟด้วยน้ำ ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ คุณไม่อาจกินยาพิษเข้าไปโดยหวังว่าจะรอดชีวิต และคุณไม่สามารถเอามือจุ่มลงไปในน้ำที่กำลังเดือดปุด ๆ โดยที่มือไม่พอง เช่นเดียวกัน คุณไม่สามารถดื้อดึงกับพระเจ้าได้โดยไม่เกิดผลเสียตามมาภายหลัง

ในข้อสุดท้ายของหนังสือปัญญาจารย์ ซาโลมอนทรงชี้ให้เราเห็นถึงความรับผิดชอบของเราที่ต้องมีต่อพระเจ้า โดยกล่าวว่า

"ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว" (ปัญญาจารย์ 12:14)

ไม่มีใครสามารถรอดพ้นการพิพากษาของพระเจ้าได้ ถ้าหากเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า

"ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะมีกาลกำหนดไว้สำหรับทุกเรื่อง และสำหรับการงานทุกอย่าง" (ปัญญาจารย์ 3:17)

คนที่ไม่เคยเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟัง และวางใจในพระเยซูคริสต์ จะไม่ได้รับการอภัยโทษ และจะต้องถูกพิพากษาจากพระเจ้า (วิวรณ์ 20:7-15)

"12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ

13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน

14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง

15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ" (วิวรณ์ 20:12-15)

ส่วนผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะยืนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า เพื่อรายงานถึงชีวิตของเขา และรับรางวัลตามการงานที่เขาได้กระทำ

"10 โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร
11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์

12 บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง

13 การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร

14 ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน

15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ" (1โครินธ์ 3:10-15)

"เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว" (2โครินธ์ 5:10)

การเชื่อฟังจะช่วยบรรดาผู้ที่แสวงหาให้พบกับเป้าหมายในชีวิตได้อย่างไร ?

ในจดหมายของอาจารย์เปาโลที่มีไปถึงคริสเตียนเมืองฟิลิปปี ได้พูดถึงวิธีการต่าง ๆ ที่เราจะสำแดงให้โลกรู้ถึงความสุขแท้ซึ่งเกิดจากการที่เราได้รู้จักและเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อใดที่เราสามารถพูดได้ว่า

"เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร" (ฟิลิปปี 1:21)

เราก็ได้สำแดงให้โลกรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าสำหรับเรา ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิต และเมื่อตายจากโลกนี้ไป เมื่อเรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ เราก็ได้ประกาศให้ศัตรูของพระเจ้ารู้ว่าเป้าหมายของมันไม่มีทางบรรลุ

"27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านเชื่อมั่นคง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่ออันเกิดจากข่าวประเสริฐนั้น
28 และท่านไม่เกรงกลัวผู้ที่ขัดขวางท่านแต่ประการใดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นที่ประจักษ์แก่เขาว่า พวกเขาจะถึงซึ่งความพินาศ แต่พวกท่านก็คงจะถึงซึ่งความรอด และการนั้นมาจากพระเจ้า" (ฟิลิปปี 1:27-28)

เมื่อเราเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เราก็ได้สำแดงให้โลกรู้ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์

"4 อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย
5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์" (ฟิลิปปี 2:4)

เมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยปราศจากตำหนิ เราก็จะส่องสว่าง ดังดวงดาวท่ามกลางความมืดมิดของโลก

"14 จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน
15 เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็น บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลาง พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก" (ฟิลิปปี 2:14-15)

เมื่อเรามีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายที่อยู่เบื้องบน เราก็จะมีชีวิตที่ตรงกันข้ามกับผู้ที่ถูกควบคุมโดยความปรารถนาของเนื้อหนัง และเมื่อเราพึงพอใจในชีวิตของเราเอง ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน เราก็ได้สำแดงให้โลกรู้ว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เรามีอยู่ แต่ให้ความสนใจในเรื่องของสัมพันธภาพฝ่ายวิญญาณระหว่างเรากับพระเจ้า

"17 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีพวกเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงดูคนที่ประพฤติตามแบบนั้น
18 เพราะว่า มีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกท่านอีกด้วยน้ำตาไหล
19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
20 แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า
21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์ปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของพระองค์" (ฟิลิปปี 3:17-21)

"11 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น
12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน 13ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:11-13)


"การพยายามแสวงหาความพึงพอใจโดยไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้น
ก็เปรียบเสมือนกับการพยายามติดไฟด้วยน้ำ ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ"


คิดทบทวน

  • ทำไมลูก ๆ จึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ? ทำไมผู้ใหญ่จึงทำผิดกฎหมาย ?

  • ทำไมชายหญิงที่มีความเชื่อในฮีบรูบทที่ 11 จึงเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ?

  • เมื่อใดที่คุณต้องต่อสู้กับการเชื่อฟังพระเจ้า ?

  • เวลาใดที่คุณรู้สึกว่า การเชื่อฟังพระเจ้าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ?

ขอพระเจ้าที่จะสำแดงให้คุณรู้ถึงบางส่วนในชีวิตของคุณที่ยังไม่ได้ให้พระเจ้าเข้ามาควบคุม

มาร์ติน อาร์ เดอ ฮาน II
เขียนโดย เคิร์ท เดอ ฮาน
แปลโดย ปาริชาติ แสงอัมพร
เรียบเรียงโดย ชนิดา จิตตรุทธะ
จากหนังสือ ฉันมาอยู่ในโลกนี้ทำไม?

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com