พิจารณาข้อเท็จจริง

คงไม่มีบุคคลในในโลกยอมรับในสิ่งที่เขาคิดว่าไร้สาระ งมงาย หรือฟังดูคล้ายนิยายปรัมปราสมัยโบราณที่หามูลความจริงไม่ได้ เพราะการที่คนคนหนึ่งจะเชื่อในสิ่งใดนั้น เขาย่อมต้องศึกษาหาข้อเท็จจริงจนเขามีความมั่นใจพอสมควรต่อสิ่งที่เขาเชื่อนั้นว่าเป็นความจริง

ความเชื่อของคริสตชนเกี่ยวกับพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เป็นความเชื่อและหลักศรัทธาที่วางอยู่บนหลักของเหตุและผลที่หนักแน่น ไม่ใช่เป็นความหลงงมงายดังที่หลายท่านเคยเข้าใจกัน และเรามีความมั่นใจว่า ถ้าใครก็ตามยอมเปิดตาใจ พิจารณาข้อเท็จจริงโดยรอบคอบ และด้วยความคิดที่ไม่ลำเอียงแล้ว เขาจะต้องยอมรับว่าภายใต้จักรวาลที่เขาอาศัยอยู่นี้มีพระเจ้าเที่ยงแท้องค์หนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา

แต่อะไรล่ะ คือข้อเท็จจริงหรือหลักฐานที่เราสามารถยืนยันว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เราใคร่ขอเชิญท่านพิจารณาความจริงบางประการต่อไปนี้

  • ความจริงเกี่ยวกับมนุษย์

    • เอกลักษณ์ของมนุษย์

    • ประสบการณ์ของมนุษย์

  • ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล

    • กฎของเหตุและผล

    • แบบแผนและผู้ออกแบบ

ความจริงเกี่ยวกับมนุษย์

1. เอกลักษณ์ของมนุษย์

คำถามขั้นพื้นฐานคำถามหนึ่งที่มนุษย์ได้ถามตนเองมาตลอดทุกยุคทุกสมัย คือ "ฉันคือใคร มาจากไหน อยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร และกำลังจะไปไหน" ซึ่งแม้ปัจจุบันนี้ บางท่านก็กำลังถามและแสวงหาคำตอบของคำถามขั้นพื้นฐานแห่งชีวิตนี้

มนุษย์คือใคร ? เราสามารถให้คำตอบได้หลายแง่หลายมุม แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ คือ มนุษย์เป็นบุคคลที่ประกอบด้วยบุคลิกภาพ ได้แก่ การรู้จักค้นหาเหตุผล การรู้จักถ่ายทอดเหตุผลนั้น ความมีเสรีภาพในการเลือก มีความรัก ความยุติธรรม และจิตสำนึกผิดชอบ ลักษณะดังกล่าวแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ทั่วไป ซึ่งบางครั้งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า เอกลักษณ์ของความเป็นมนุษย์

แต่มีปัญหาอยู่ว่า เอกลักษณ์ของความเป็นมนุษย์มาจากไหน และมาได้อย่างไร ? เราสามารถเลือกคำตอบจากสองคำตอบต่อไปนี้ คือ

คำตอบที่หนึ่ง

มนุษย์ที่มีเอกลักษณ์ดังกล่าว เป็นผลมาจากบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่บุคคล เช่น เกิดจากมวลสาร พลังธรรมชาติ กลุ่มแก๊ส ฯลฯ บวกกับ เวลานับล้าน ๆ ปี บวกกับ ความบังเอิญ (เป็นไปได้เองโดยไม่มีใครควบคุม) แล้วผลที่ออกมา คือ มนุษย์อย่างเราที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเราพอสรุปหลักการนี้อีกครั้งหนี่งดังนี้

มนุษย์ (ที่มีเอกลักษณ์) = มวลสาร + เวลานับล้านปี + ความบังเอิญ

แต่การยอมรับหลักการนี้ ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา คือ

1. ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่า ทำไมบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่บุคคล เช่น มวลสสาร และกลุ่มแก๊ส บวกกับความบังเอิญ และเวลานับล้านปี ถึงได้ทำให้เกิดเป็นมนุษย์

2. การรับหลักการนี้ เท่ากับยอมรับว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น มวลสารและพลังงาน ฯลฯ ซึ่งขัดกับวิทยาศาสตร์ที่ว่า ชีวิตต้องเริ่มต้นมาจากชีวิตเท่านั้น

3. ถ้าชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากมวลสารจริง คำถามที่น่าถามต่อไป คือ ถ้าเช่นนี้ชีวิตมนุษย์จะมีความหมายอะไร ? เพราะชีวิตของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องจักรใหญ่ในจักรวาล แทนที่จะมีคุณค่าทางชีวิตจิตใจ

คำตอบที่สอง

มนุษย์ที่มีบุคลิกภาพอย่างเรานี้มาจากบุคคลที่มีสติปัญญา พระคัมภีร์ของคริสตชนให้คำตอบว่า

"แล้วพระเจ้าตรัสว่า 'ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน' " (ปฐมกาล 1:26)

พระฉายาที่ว่านี้ หมายถึง ความมีเหตุผล ความบริสุทธิ์ เสรีภาพ ความยุติธรรม ความรัก และจิตสำนึกผิดชอบ ฯลฯ การรับหลักการนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าสมเหตุผลที่สุด เพราะเราไม่เพียงแต่จะได้คำตอบว่า บุคลิกภาพต้องมาจากบุคลิกภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายได้ว่า ชีวิตต้องเริ่มต้นมาจากบ่อเกิดแห่งชีวิต คือ พระเจ้า และชีวิตมนุษย์ได้รับการสร้างตามพระลักษณะของพระองค์

2. ประสบการณ์ของมนุษย์

2.1 ประสบการณ์สากล

ผู้เชี่ยวชาญทางมานุษยวิทยา ยืนยันว่า มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ทุกประเทศเคยมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าในรูปหนึ่งรูปใดมาก่อน สำหรับคนไทยเรา ก็มีความนึกคิดเรื่องพระเจ้าเช่นกัน เป็นต้นว่า ทุกครั้งที่เรามีงานมงคลใด ๆ เรามักจะได้ยินคำอวยพรที่คุ้นหูอยู่เสมอว่า "ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก จงดลบันดาลให้...ประสบความสุขความเจริญ" สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าภายใต้จิตสำนึกของเราทุกคน เราเชื่อว่ามีสิ่งศักด์สิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ แม้เราอาจไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เราก็เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง

พูดอีกนัยหนึ่ง มนุษย์เรากิดมาพร้อมด้วยสัญชาตญาณทางศาสนา ซึ่งเราไม่พบในสัตว์ทั่วไป ไม่ว่าสัตว์นั้นจะฉลาดสักปานใดก็ตาม

มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ว่า "มนุษย์ต้องมีพระเจ้า หรือไม่ก็ต้องมีรูปปั้นเคารพบูชา" คือ ถ้ามนุษย์ไม่เชื่อพระเจ้าในจิตใจของเขา เขาจะต้องหาสิ่งอื่นใดมาทดแทน เป็นต้นว่า เขาอาจจะเคารพบูชาในสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ ขลัง ฯลฯ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ประเด็นยังอยู่ที่ว่า เราต้องการนมัสการบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเรา แต่ปัญหาที่น่าถามต่อไปนี้ คือ "สัญชาตญาณทางศาสนาของมนุษย์ ซึ่งเราไม่พบในตัวสัตว์นั้น มาได้อย่างไร ?" หลายท่านอาจจะอ้างสาเหตุต่าง ๆ เช่น ความกลัว ความไม่รู้ ความต้องการสิ่งยึดเหนี่ยว ฯลฯ แต่ผู้เขียนขอเสนอคำตอบจากพระวจนะของพระเจ้า ดังนี้

"พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต" (ปฐมกาล 2:7)

ชีวิตในที่นี้ เป็นชีวิตที่มีจิตวิญญาณ และเป็นเพราะชีวิตที่มีจิตวิญญาณนี้เอง มนุษย์จึงมีความต้องการทางด้านจิตวิญญาณในการนมัสการ แต่เนื่องจากมนุษย์หันเหจากพระเจ้า และปฏิเสธความจริงของพระเจ้ามาโดยตลอด มนุษย์จึงเตลิดเปิดเปิงไปสู่แนวความคิดของตนเองด้วยการหาสิ่งต่าง ๆ มานมัสการแทนการนมัสการพระเจ้า เพราะฉะนั้น การที่มนุษย์เสาะแสวงหาในเรื่องศาสนา เพื่อพยายามกลับไปสู่ความจริงของพระองค์ จึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่ามีพระเจ้า

2.2 ประสบการณ์ส่วนตัว

เราทุกคนตระหนักดีว่า ภายในจิตใจของแต่ละคนมีสิ่งหนึ่งที่เราเรียกกันว่า "จิตสำนึกผิดชอบ" สิ่งนี้คอยเตือนเราอยู่เสมอว่า "อะไรควร และอะไรไม่ควร" สังเกตดูว่าทุกครั้งที่เราทำผิด เราจะรู้สึกทันทีว่า "ไม่สบายใจ" เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น ตัวเราเองจะไม่มีกำลังอำนาจไปบังคับให้เป็นอย่างอื่นตามประสงค์ของเรา เป็นต้นว่า "ทำผิดแล้วไม่สบายใจ" เราจะพยายามบังคับให้สบายใจ ก็ไม่ได้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้ร้ายหลายคนที่ทำผิดต้องยอมมอบตัวเพราะทนต่อเสียงฟ้องร้องจากภายในจิตใจไม่ได้

ท่านเคยถามตัวเองไหมว่า "ใครเป็นผู้วางธรรมบัญญัติที่จารึกอยู่ในจิตใจมนุษย์ ซึ่งคอยบอกกับเราว่ามีสิ่งที่เรียกว่าควรและไม่ควร ?" และเราทราบดีว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ผลงานของมนุษย์ เพราะมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์เอง

คำตอบคือ จะต้องมีผู้หนึ่งที่เป็นองค์บริสุทธิ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เป็นผู้ตราในจิตใจมนุษย์ทุก ๆ คน เพื่อเตือนเราว่า "เราต้องรับผิดชอบการกระทำของเราต่อพระองค์ และอนาคตจะมีการพิพากษาจากผู้พิพากษายิ่งใหญ่ ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมที่สุด"

จิตวินิจฉัยผิดชอบ (มโนธรรม) ของมนุษย์จึงเป็นความจริงอีกประการหนึ่งที่เราต้องพิจารณา เมื่อเราบอกว่ามีพระเจ้า

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล

1. กฎของเหตุและผล

ทุกคนเคยสังเกตธรรมชาติและจักรวาลรอบตัวเรา นับตั้งแต่พืช สัตว์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ตลอดจนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งเกินความสามารถที่เราจะใช้สายตาเปล่า ๆ ของมนุษย์มองไปถึงได้ เราจึงอดถามตัวเองไม่ได้ว่า "สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ?"

คำตอบที่คนทั่วไปมักพูดติดปาก คือ "ธรรมชาติสร้าง" หรือ "เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ" ซึ่งถ้าจะพูดให้เข้าหลักการมากขึ้น หลายคนเชื่อว่า จักรวาล และสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า คือ จากความไม่มีอะไรเลย หรือจะบอกว่ามันบังเอิญบวกกับเวลา มันจึงพัฒนาต่อ ๆ มาจนกระทั่งทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่าง ดังที่เราได้เห็นอยู่ในทุกวันนี้

อยากขอร้องให้ผู้อ่านใช้ความคิดสักนิดว่า คำตอบที่กล่าวมานี้สมเหตุผลหรือไม่ อย่างไร ? ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ เราจะมีคำตอบที่ดีกว่านี้ไหม ?

ท่านผู้อ่านบางท่านคงคุ้นเคยกับเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ เซอร์ ไอแซค นิวตัน เรื่องหนึ่ง ซึ่งกล่าวว่า

นิวตันเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างจับจิตจับใจ แต่เพื่อนของเขาบางคนไม่เชื่อในพระเจ้า จึงได้หาทางเยาะเย้ยเขาต่าง ๆ นานา

วันหนึ่ง นิวตันตั้งใจจะสอนบทเรียนเพื่อนคนนั้น โดยการสร้างหุ่นจำลองของระบบสุริยจักรวาลขึ้นภายในห้องของเขา หลังจากสร้างแล้ว เพื่อนของเขาบังเอิญมาพบเข้า จึงเอ่ยปากชมเปาะว่า "แหม ใครนะสร้างได้ยอดเยี่ยมเหมือนของจริงอย่างไม่น่าเชื่อ"

นิวตันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลางตอบไปอย่างหน้าตาเฉยว่า "ไม่มีใครสร้างหรอก มันเกิดขึ้นเอง"

เพื่อนคนนั้นฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจนิด ๆ กล่าวว่า "ฉันคงไม่โง่พอที่จะเชื่อตามที่คุยบอกหรอก"

นิวตันได้ที จึงตอบว่า "ถ้าเพียงหุ่นจำลองของระบบสุริยจักรวาลขนาดนี้ คุณยังเชื่อว่ามีคนสร้างขึ้นมา แล้วทำไมเมื่อพูดถึงระบบสุริยจักรวาลจริง ๆ ว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง กลับไม่ยอมเชื่อเล่า"

ครับ ธรรมชาติและจักรวาลที่เราสังเกตเห็นได้ บอกเราอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดตามกฎแห่งเหตุและผล คือ ผลทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุปัจจัยมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ แม้นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาทางด้านดาราศาสตร์ในสมัยปัจจุบันหลายท่าน ก็กล่าวยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สากลโลก และจักรวาล จะต้องมีจุดเริ่มต้นอย่างแน่นอน ดังจะขออ้างข้อเขียนของ ดร.มิทเชล ผู้ซึ่งเคยคลุกคลีกับโครงการด้านอวกาศอย่างกว้างขวางท่านหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ว่า

"ในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับด้านอวกาศ มีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องราวสุริยจักรวาลแตกต่างไปจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนอย่างมาก จากการใช้ยานอวกาศสำรวจระบบสุริยจักรวาล ได้เปิดเผยให้มนุษย์รู้ถึงความซับซ้อนที่จัดอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยของกลุ่มดาวกาแล็กซี อีกทั้งกลุ่มก๊าซที่ห่อหุ้มโลกของเรานี้ ด้วยเหตุผลนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับด้านอวกาศ จึงไม่สามารถยอมรับทฤษฎีก่อน ๆ ที่ว่า สุริยจักรวาลเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และไม่ยอมรับว่าความลี้ลับซับซ้อนนี้เกิดขึ้นมาเอง"

(จากบทความของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอฟ มิทเชล อดีตผู้อำนวยกาลศูนย์คำนวณยานโคจรอวกาศกอดดาด ศูนย์การบินอวกาศของนาซา เรื่อง วิทยาศาสตร์ปัจจุบันและพระคัมภีร์ไบเบิ้ลสอดคล้องกันอย่างไร?, 1973 หน้า 1)

เมื่อสุริยจักรวาลไม่ได้เกิดขึ้นเอง ก็ย่อมหมายความว่ามีผู้สร้าง พระคัมภีร์ไบเบิ้ลของชาวคริสต์บันทึกถึงเรื่องนี้ว่า

"ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน" (ปฐมกาล 1:1)

"ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์" (สดุดี 19:1)

2. แบบแผนและผู้ออกแบบ

ถ้าท่านสังเกตต่อไป จะพบว่า โลกและจักรวาลไม่เพียงแต่บอกเราว่ามันมีจุดเริ่มต้น แต่มีความเป็นระเบียบแบบแผน และความสัมพันธ์คล้องจองอย่างดี สิ่งนี้ย่อมแสดงถึงจุดประสงค์และสติปัญญาของผู้บงกาลที่อยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างง่าย ๆ ที่ทุกคนเข้าใจดี คือ เรื่องนาฬิกาข้อมือ คงไม่มีใครเชื่อว่า นาฬิกาข้อมือเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือเกิดขึ้นเองโดยปราศจากการออกแบบและการดำเนินการสร้างของวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเป็นแน่ ถ้าแม้แต่นาฬิกาเพียงน้อยนิดซึ่งมีความสลับซับซ้อนน้อยกว่าระบบสุริยจักรวาลมากนัก ยังต้องมีผู้สร้าง ทำไมเราจะบอกว่าระบบสุริยจักรวาลอันหาขอบเขตจำกัดมิได้ จะไม่มู้ใดสร้างเล่า ขอท่านพิจารณาหลักฐานของความมีระเบียบแบบแผนและความน่าอัศจรรย์ของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นดังต่อไปนี้

2.1 เซลล์แรกที่เป็นต้นกำเนิดแห่งสิ่งมีชีวิต

โปรตีน (ธาตุไข่ขาว) เป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ซึ่งหลายคนเชื่อว่าโปรตีนหรือธาตุไข่ขาวนี้เอง เป็นจุดเริ่มแรกของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลก แต่โปรตีนนั้นยังประกอบด้วยโมเลกุลต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเซลล์แต่ละเซลล์ แต่ท่านทราบไหมว่า การที่จะทำให้เกิดโมเลกุลหนึ่งในโปรตีนนั้น จะต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรบ้าง ?

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า

"โมเลกุลหนึ่ง ๆ จะต้องมีอะตอมจำนวนนับพันนับหมื่นอะตอม ในจำนวนพอดีจากธาตต่าง ๆ 6 ชนิด ในจำนวนธาตุทั้งหมด 100 กว่าชนิดในโลก และโดยเหตุบังเอิญเหตุใดเหตุหนึ่งที่ไม่มีใครเข้าใจได้ ทำให้สามารถรวมตัวกันในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน และโดยลำดับก่อนหลังที่ถูกต้อง เพื่อจะประกอบขึ้นเป็นโมเลกุลเพียงโมเลกุลเดียว"

แต่ปัญหามีอยู่ว่า กระบวนการที่ซับซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นโดยเหตุบังเอิญได้ไหม ? ซึ่งเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ชื่อ Charles-Eugene Guye ได้คิดออกมาเป็นตัวเลขว่า

"ความบังเอิญของกระบวนการนี้แทบจะไม่ต้องพูดถึง เพราะการที่จะให้ความบังเอิญของกระบวนการดังกล่าว เกิดขึ้นครั้งหนึ่งครั้ง จะต้องใช้เวลา 10243 พันล้านปี (10243 billion years) นั่นหมายถึงตัวเลขหลัก 10 ตามด้วย 0 อีก 243 ตัว คูณด้วยหนึ่งพันล้าน ซึ่งผลออกมาเป็นตัวเลขที่นับไม่ได้ แต่นั่นเป็นเพียงโมเลกุลเดียวเท่านั้น เพราะเราจะต้องคำนึงอีกว่า ในเซลล์ง่าย ๆ เซลล์หนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยโมเลกุลเหล่านี้ ต้องใช้เวลาในการฟอร์มตัวเหมือนกระบวนการบังเอิญที่กล่าวมาแล้ว ท่านลองคิดดูสิว่า ตัวเลขเป็นล้าน ๆๆๆ ปีที่ออกมาจะเหลือคณานับขนาดไหน ถึงกระนั้น ก็ยังเป็นโปรตีนของเซลล์ที่ไร้ชีวิต"

สำหรับปัญหาที่ว่า ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ? แม้ปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบทีชัดเจน หลายท่านอาจเคยหัวเราะเมื่อเราบอก "เราเชื่อในพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต" แต่จริง ๆ แล้วน้อยคนที่จะตระหนักว่า เขาต้องใช้ความเชื่อที่มากกว่าอีกหลายเท่าตัวที่จะยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเอง และวิวัฒนาการต่อ ๆ มาโดยความบังเอิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่ว่าสสารที่ไร้ชีวิตเป็นผลให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก

นิตยสาร "ไทม์" ได้เขียนไว้อาลัย เจ ดับบลิว เอ็นซ์ เมื่อเขาเสียชีวิตว่า

"เขาเป็นผู้ที่มีความเปรื่องปราดในการอธิบายกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากทางฟิสิกส์ให้คนธรรมดาเขาใจได้โดยง่าย ยากที่จะหาใครมีความสามารถเสมอเหมือนได้ กล่าวว่า กำเนิดของโลกเรื่องวิวัฒนาการยังคงเป็นปัญหาที่มิอาจยุติได้ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดตอบได้ว่า อะไรคือที่มาของสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนว่าจะมีเพียงทฤษฎีที่ว่า 'สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเอง' โดยยกตัวอย่างเช่น เขาคิดว่าหนอนเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้นจากเนื้อเน่าเปื่อย เป็ฯต้น แต่จากการทดลองอย่างรอบคอบของปาสเตอร์ และนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่า การสรุปทฤษฎีดังกล่าว เกิดจากการทดลองที่เลินเล่อ ปราศจากการสังเกตที่ดีพอ ข้อยุติที่ถูกก็คือ 'ชีวิตต้องเกิดจากชีวิตเท่านั้น' ตราบใดที่เรายังยึดถือในเหตุผลที่ถูกที่ควร ข้อสรุปนี้ย่อมเป็นที่ถูกต้องที่เชื่อถือได้ที่สุดตราบนั้น"

2.2 ระบบจราจรของดวงดาว

การโคจรของดวงดาวจำนวนมหาศาลบนท้องฟ้าอย่างมีระเบียบแบบแผน ย่อมเป็นพยานหลักฐานในตัวว่า ต้องมีผู้สร้างผู้วางระบบ เริ่มต้นคิดง่าย ๆ โลกเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยจักรวาล อันประกอบด้วยดาวนพเคราะห์ทั้งหมด 9 ดวง ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโลกหลายเท่าตัว คือ ถ้าดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นโพรงกลวงแล้วละก็ มันสามารถบรรจุลูกโลกของเราได้ถึง 13,000,000 ลูกได้อย่างสบาย ๆ แต่ท่านทราบไหมว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงระบบสุริยจักรวาล ซึ่งเป็นส่วนน้อยนิดส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่โตกว่านี้ ที่เรียกว่า ระบบกาแล็กซี (ทางช้างเผือก) และกาแล็กซีหนึ่งมีดวงดาวไม่น้อยกว่าแสนล้านดวง แต่จักรวาลของเรามีกาแล็กซีอยู่ไม่ต่ำกว่า 50-100 พันล้านกาแล็กซี เพราะฉะนั้นถ้ารวมกันแล้ว จึงเป็นหมู่ดาวจำนวนมหาศาลเหลือคณานับ ซึ่งโคจรอย่างมีระเบียบแบบแผน อันเป็นระบบจราจรที่ยอดเยี่ยม ผิดกับระบบจราจรของกรุงเทพ ฯ ที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อย ๆ มาก แต่น่าอัศจรรย์ที่ดวงดาวนับล้าน ๆ ดวงบนท้องฟ้า ไม่เคยโคจรมาชนกันเลย สิ่งนี้หรือจะเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ และปราศจากผู้สร้างและผู้วางแผนควบคุม

2.3 ความเหมาะเจาะสำหรับการดำรงชีวิต

สภาพแวดล้อมที่เหมาะเจาะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถดำรงชีพอยู่ได้ สิ่งนี้เป็นพยานหลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่งที่ยืนยันว่ามีผู้ออกแผนแบบที่ยิ่งใหญ่ มิใช่การบังเอิญ

1. ที่ตั้งอันเหมาะสมของโลก

โลกของเรามีที่ตั้งห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะทาง 93 ล้านไมล์ ซึ่งเป็นระยะทางที่ได้รับการจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะที่สุด เพราะถ้าหากอยู่ใกล้เข้าไปอีกสัก 5 เปอร์เซ็นต์ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็จะเพิ่ม หรือถ้าหากว่าโลกอยู่ห่างออกมาสัก 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกจะแผ่ขยายปกคลุมทุก ๆ ส่วนของโลก จนเราไม่สามารถจะทนความหนาวเย็นต่อไปได้ และจะต้องตายไปในที่สุด เพราะฉะนั้น การที่โลกได้รับการจัดวางอยู่ในตำแหน่งอันเหมาะสมที่ชีวิตจะสามารถดำรงอยู่ได้ แสดงถึงการจัดเตรียมที่เลิศประเสริญของพระเจ้า

2. อัตราการหมุนของโลก

โลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 24 ชั่วโมง โดยใช้อัตราความเร็ว 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ถ้าสมมติโลกหมุนในอัตราความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมง แทนที่จะเป็น 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ชีวิตมนุษย์และพืชสัตว์ก็อยู่ไม่ได้ เพราะกลางวันและกลางคืนในโลกจะต้องยาวนานกว่าปัจจุบันนี้ 10 เท่าตัว ซี่งจะไม่เหมาะสมกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั้น การหมุนเวียนสลับกลางวันและกลางคืนภายใน 24 ชั่วโมง จึงพอเหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิต ซึ่งป็นการวางแผนอย่างเหมาะเจาะของผู้สร้าง

3. แนวโคจรของโลก

โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยทำมุม 23 องศา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดฤดูต่าง ๆ แต่ถ้าโลกไม่ทำมุมเอียงดังกล่าว ก็จะไม่มีฤดู ไอน้ำจากทะเลจะพาความแห้งแล้งไปยังขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ ซึ่งผลคือ แผ่นดินกลายเป็นน้ำแข็จนหมด ไม่เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั้น ฤดูต่าง ๆ จึงไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มีผู้จัดวางแบบแผนที่พอดี เพื่อสิ่งมีชีวิตจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

4. ร่างกายของมนุษย์

ถ้าเราใช้ความคิดสักนิด จะสังเกตเห็นว่า ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่หาสิ่งอื่นใดเปรียบมิได้ ร่างกายคนเราประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำงานสัมพันธ์ต่อเนื่องกันอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ถ้าเปรียบเป็นโรงงานก็จะเป็นโรงงานหลายสิบโรงงานที่ประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายที่เป็นไปอย่างมีระเบียบ นี่เป็นผลจากความบังเอิญหรือ ?

จากสาเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เราสามารถสรุปตามถ้อยคำของ ดร.วิลเลียม ออร์ ผู้ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ท่านกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า

"สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ได้สำแดงถึงฝีพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแจ่มชัด เพียงแต่ท่านจะมองดูผืนแผ่นดินและท้องทะเล ดูหมู่นกในอากาศ และสิงสาราสัตว์ตามพื้นดิน ฤดูร้อนและฤดูหนาว กลางวันและกลางคืน สิ่งเล็กน้อยเพียงธุลีจนถึงสิ่งใหญ่โตมโหฬาร ต่างประกอบขึ้นเป็นคณะนักร้องของพระเจ้าประสานเสียงกระตุ้นเตือนท่านให้ยอมรับถึงพระปัญญาอันเลิศประเสริฐและฤทธานุภาพของพระเจ้าผู้สร้าง จงแหงนดูท้องฟ้า จงก้มหน้าดูพื้นดิน จงมองไปรอบ ๆ จะมองไปทางไหนก็ตาม ท่านจะพบกับพยานหลักฐานอันสมบูรณ์ว่า พระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านี้ ดูสิ ต้นหญ้าจำนวนมากมายเหลือคณานับกำลังชูยอดของมัน เพื่อที่จะเป็นพยานถึงผู้ที่ได้ปลูกมันมา เม็ดฝนจำนวนล้าน ๆ ที่ตกลงมายังพื้นโลก ก็สำแดงถึงความเมตตากรุณาอันใหญ่หลวงของพระผู้ทรงบันดาล นกนานาชนิดบินวนเวียนไปมาปกคลุมอยู่เหนือฟากฟ้า ขับกล่อมเสียบเพลงอันไพเราะอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยก็เพื่อสำแดงฤทธิ์อำนาจอันไม่มีขีดจำกัดของพระองค์ในการออกแบบสร้างสรรค์ และไม่ว่าท่านจะใช้กล้องจุลทรรศน์ หรือกล้องโทรทรรศน์เพื่อจะสำรวจสิ่งเหล่านี้ คำตอบที่ยังได้ก็ยังคงเหมือนเดิม คือ พระเจ้าเป็นผู้สร้าง"

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
จากหนังสือ เรื่อง พระเจ้ายุคอวกาศ
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com