วาเลนไทน์กับความรัก

....วันวาเลนไทน์ กับดอกกุหลาบ

....วันวาเลนไทน์คืออะไร?

..…เกิดขึ้นได้อย่างไร?

วาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทำไมต้องเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นคำถามที่น่าสงสัยใช่ไหม

// ลองมาหาคำตอบว่าโดนใจท่านไหม ??

วันวาเลนไทน์ (Valentine)

เรื่อง “วันวาเลนไทน์” (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,734 ปีล่วงเลยมาแล้วในจักรวรรดิโรมัน

ประวัติความเป็นมาของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 3 มีผู้นำคริสตชนคนหนึ่งชื่อ “วาเลนตินัส” เขาเป็นคนที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มาก โดยทุกๆ วันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็นไปวางไว้ประตูหน้าบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ซึ่งในสมัยนั้น ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิโรมัน และถือว่าใครที่นับถือศาสนาคริสต์จะมีความผิดร้ายแรงมาก พวกคริสตนชนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อบังคับให้เลิกเป็นคริสต์ ใครที่ไม่ยอมเลิกนับถือคริสต์จะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง “วาเลนตินัส” ก็รวมอยู่ในกลุ่มขบวนการถูกขู่เข็ญและทรมานบังคับให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาไม่ยอมจึงถูกจับเข้าคุกในข้อหาเป็นคริสตชน

ในขณะที่วาเลนตินัสถูกจับขังคุกนั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในนั้นและด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขาพระเจ้าได้ทรงโปรดรักษาตาของคนรักของเขาให้หายเป็นปกติ จากเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ผู้คุมและครอบครัวของเขาหันมานับเชื่อพระเจ้าของชาวคริสต์

ต่อมาเรื่องนี้รู้ถึงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก ได้สั่งให้ลงโทษวาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ

ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น วาเลนตินัส ได้เขียนจดหมายสั้นๆ เป็นการอำลาส่งไปให้เพื่อนหญิงคนรักของเขา และลงท้ายในจดหมายว่า “จากวาเลนไทน์ของเธอ”

รุ่งขึ้นของเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะและเอาศพไปฝังไว้ที่เฟลมิเนี่ยนเวย์ ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงชีวิตและความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา

คนทั่วประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น “วันวาเลนไทน์” ภาษาอังกฤษเรียกว่า Saint Valentine’s Day หรือ Valentine ‘s Day หรือ “วันแห่งความรัก” ซึ่งต่อมาได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชีย และประเทศไทยด้วย

แล้วทำไมวันวาเลนไทน์ต้องให้ดอกกุหลาบด้วย?

เพราะว่ากุหลาบมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้วล่ะ จึงทำให้ความสวยงามของดอกและกลิ่นอันชวนพิสมัยของราชินีแห่งดอกไม้นี้เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน และล้วนกล่าวถึงความงามเป็นสื่อที่แสดงถึงความสุข ความมีไมตรีจิต ความน่ารัก ความสวยงาม การบูชา และการเกี้ยวพาราสี

ดังนั้น กุหลาบจึงเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความรัก และความอมตะ จนมีตำนานกล่าวขานกันต่างๆ นานา ตั้งแต่สมัยกรีก

ตำนานเล่าว่า “คลอรีส” เทพธิดาแห่งดอกไม้ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้กลายเป็นกุหลาบและยกให้เป็นราชินีของดอกไม้ จากนั้นต่อมาก็มีการมอบดอกกุหลาบแก่ “อีรอส” ลูกชาย ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก

ส่วนในศาสนาคริสต์เชื่อกันว่า ในสมัยที่พระเยซูถูกตรึงไว้ไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงบนต้นหญ้ามอสส์และได้ยังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดงสด จึงมีการเรียกขานกุหลาบชนิดนี้ว่า “กุหลาบมอสส์”

นอกจากนี้ยังมีการสู้รบกันระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือราชวงศ์ยอร์ค ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบ และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ใช้ดอกกุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์และได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่า “สงครามกุหลาบ” ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1948-2028 และในสมัยต่อมา พวกกุหลาบแดงได้มาแต่งงานกับพวกกุหลาบขาว ซึ่งในปัจจุบันกุหลาบได้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติของชาวอังกฤษไป ถ้าทุกคนมีความรักให้แก่กันแล้วโลกจะสงบสุขแน่นอน

แรกรัก (อิทิสังฉันท์ 20)

อ้าอะรุณแอร่มระเรื่อรุจี

ประดุจมะโนภิรรมระตี ณแรกรัก

แสงอะรุณวิโรจน์นะภาประจักษ์

แฉล้มเฉลาและโศภินัก นะฉันใด

หญิงและชายณะยามรตีอุทัย สว่าง ณ กลางกะมลละไม ก็ฉันนั้น

( มัทนะพาธา: รัชกาลที่ 6 )

เรามาดูกันในประเทศไทยบ้างมีเรื่องราวเล่าขานถึงความงดงามของดอกกุหลาบไว้โดยปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ของพระมหาธีราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ในเรื่อง “มัทนะพาธา” หรือ “ตำนานดอกกุหลาบ” ซึ่งได้ปรากฏชัดว่าดอกกุหลาบได้กลายเป็นดอกไม้ที่นิยมไปทั่วโลก

เรามาย้อนอดีต…กุหลาบ…ราชินีแห่งบุปผชาติกันดูไหม

ด้วยความโดดเด่นของรูปโฉมอันพิลาส กอปรกับกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้น่าหลงไหล กุหลาบจึงเป็นดอกไม้ที่นิยมมาตั้งแต่อดีตกาล โดยดูได้จากซากฟอสซิลที่ขุดพบโดยนักวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดแน่นอนจะอยู่ในราว 5,000 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยสุเมเรียน (Sumerians) โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษได้ขุดค้นพบน้ำที่มีกลิ่นกุหลาบ ในหลุมศพของกษัตริย์ในสมัยนั้น นอกจากนี้ซึ่งมีรูปทรงเป็นดอกกุหลาบทำด้วยทองคำ

แต่ในบางแหล่งได้กล่าวไว้ว่ากุหลาบมีกำเนิด ณ เทือกเขาคอเคซัสประเทศเปอร์เซีย หรืออิหร่านในปัจจุบันและมีชื่อเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า “คุล” Gol หรือ Gul ซึ่งแปลว่า ดอกไม้ และคำว่า “คุลาพ” หมายถึง กุหลาบอย่างที่คนไทยเราเรียกกัน

สำหรับประเทศไทยไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกุหลาบมาตั้งแต่สมัยใด หากแต่มีการบันทึกของราชทูตฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่าได้เห็นดอกกุหลาบอยู่ในกรุงศรีอยุธยา และอีกหลายแห่งที่ปรากฏหลักฐานว่า มีกุหลาบเข้ามาเมืองไทยแล้วก็คือ กายพ์ห่อโคลงนิราศธารโศก ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ที่ได้กล่าวถึงความงามของดอกกุหลาบไว้ด้วย

รูปร่างและสีสันของดอกกุหลาบ…แปลความหมายได้ดังนี้

ดอกกุหลาบนั้นทั้งลักษณะและสีสันของมันสามารถสื่อความหมายถึงคนที่เรามอบให้ได้ว่าอย่างไรที่เราทุกคนเรียกมันว่า “ภาษาดอกไม้” มาดูกันเลยว่าดอกกุหลาบแต่ละแบบ แต่ละสีสื่อความหมายไว้ว่าอย่างไรกันบ้าง

กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของคิวปิคและอีรอส (คุณกามเทพไง) เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ

กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอก กุหลาบแดง

กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด

กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข

กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย

กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น

เป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าคุณคงหายสงสัยแล้วว่าทำไมวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีจึงเป็นวันวาเลนไทน์ และทำไมต้องให้ดอกกุหลาบในวันนั้น

ประเพณีของหนุ่มสาวชาวอาทิตย์อุทัย หรือชาวญี่ปุ่นนั่นเองจะแตกต่างกับ ชาติอื่นๆ คือในวันที่ 14 กุมภาพันธ์หรือ วันวาเลนไทน์ สาวๆ จะเป็นคนให้ ช็อกโกเลต (Chocolate) รูปหัวใจขนาดเล็ก-ใหญ่แล้วแต่ความชอบน้อย-มาก ( ฐานะด้วย ) ตัวเองทำเองแก่หนุ่มๆ ที่เธอชอบเรียกว่าวันนั้นหนุ่มๆ ยิ้มกันแก้มปริกันเป็นแถว หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งเดือนคือวันที่ 14 มีนาคมหนุ่มๆ ก็จะมอบดอกกุหลาบ เพื่อเป็นการขอบคุณสาวผู้ให้

สำหรับประเพณีเกาหลี วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หนุ่มจะเป็นคนให้ช็อกโกเลต รูปหัวใจให้สาวที่ตัวเองรัก ....หลังจากนั้น 14 มีนาคม หากสาวรักหนุ่มคนนั้น เธอก็จะส่ง ช็อกโกแลต ขาวเพื่อสื่อรัก กับหนุ่มคนนั้น

แล้วคุณล่ะ ปฏิบัติอย่างไร กับคนรักของคุณ ( พีพี ไม่เกี่ยว และไม่มีเอี่ยวค่ะ )

นี่ก็เป็นเพลงที่ไพเราะและให้ความหมายลึกซึ้ง เกี่ยวกับพระเยซูเจ้าของเรา

@. ถ้าพระคริสต์เป็นดอกกุหลาบ.@

…. ถ้าพระคริสต์เป็นดอกกุหลาบ

…. ข้าจะเป็นใบเขียวใบหนึ่ง

….. ดวงใจชิดประกอบสนิท

….. ความรักนั้นสุดแสนมั่นคง

….. ถ้าพระองค์เป็นดอกกุหลาบ

….. ข้าจะเป็นใบเขียวใบหนึ่ง

….. ถ้าพระองค์เสมือนเนื้อเพลง

….. ข้าจะเป็นดนตรีแห่งรัก

….. ประสานเสียงระรื่นสุขสันต์

….. ดังนกน้อยส่งเสียงอรุณ

….. สามัคคีประคองรองรับ

….. ในดวงจิตประชิดสมดุล

….. ถ้าพระองค์เสมือนเนื้อเพลง

….. ข้าจะเป็นดนตรีแห่งรัก

ความรักในทัศนะพระคัมภีร์

ความรัก…: เป็นพระลักษณะของพระเจ้า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก”

ถ้าเราคิดว่าพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมปราศจากความรัก เราก็คิดผิด เพราะคำพยานเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าที่กินใจที่สุดในพระคัมภีร์คือหนังสือโฮเชยา ความรักนี่เองเป็นเหตุให้พระเจ้าเลือกสรรและดูแลอิสราเอล ดังนั้นพระเจ้าจึงประสงค์ให้ชาวอิสราเอลรักพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจและรักเพื่อนมนุษย์เช่นกัน

ความรักในพันธสัญญาใหม่บางครั้งแปลจากคำ “ฟีเลีย” ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึงความรักใคร่สนิทสนม แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นแปลจากคำว่า “อากาเป้” คำนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรักทางเพศ ถึงแม้พระคัมภีร์จะมองความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเรื่องสูงส่งก็ตาม

อากาเป้เป็นความรักที่ยอมอุทิศตัวให้คนอื่น ซึ่งปรากฎชัดที่สุดในชีวิตพระเยซูคริสต์ โดยเฉพาะการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ทำให้เราได้เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของความรักนี้ นี่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักของมนุษย์ เป็นความรักที่ผูกพันพระบิดากับพระบุตรให้เป็นอันเดียวกันเป็นความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษยโลก เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสเตียนที่พระเจ้าประทานให้และเป็นเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่ามีพระเจ้าอยู่ในชีวิตคริสเตียน

พระเยซูตรัสว่า

“ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”

ดูอ้างอิงได้จากพระคัมภีร์: (1 ยน. 4:8; ฮชย. 11:1-4; 7-9; ฉธบ. 7:7-8; 6:5; ลนต. 19:18; รม. 5:5, 8; ยน. 3:16; 35; 1 คร. 13; กท. 5:22; ยน. 13:34-35; 14:15, 21-24; 15:9-14; 1 ยน. 4:7-5:3)

ความรักอากาเป้

Agape แปลง่ายที่สุดคือ รักของพระเจ้า

ถ้าจะให้ความหมายแค่นั้นมันง่ายเกินไป ดังนั้นจึงขอให้มาศึกษา คำว่ารัก ที่เราใช้กันมากขึ้นทุกวันดังนี้

อากาเป้,อากาปัน ( Agape and Agapan ) คำที่กล่าวนี้เป็นภาษากรีก เป็นภาษาที่ร่ำรวยที่สุดภาษาหนึ่งในโลก ดังนั้นจะเห็นบ่อยๆว่าความคิดเรื่องหนึ่งๆภาษากรีกคำอธิบาย ความหมายในแง่มุมต่างๆ เช่นคำว่า"รัก" ทั้งไทยและอังกฤษจะใช้คำเดียวกันแล้วเข้าใจถึงความรักทุกชนิด แต่ภาษากรีก มีอย่างน้อย 4 คำ คือ

1.เอโรส

คำนาม (เอราน-คำกริยา) ใช้หมายถึงความรักระหว่างเพศ หรืออาจจะใช้หมายถึงความกระหายทะเยอทะยาน และเรื่องความรักชาติอย่างรุนแรงก็ได้ (สังเกตว่า คนที่ทำการพลีชีพสังหาร เมื่อเร็วๆนี้คงจำคุณแม่ วัย ๒๒ ปี ชาวปาเลสไตน์ ทิ้งลูกน่ารักวัย ๑๘ เดือน และ ๓ ขวบไว้เบื้องหลัง โดยตัวเองติดระเบิดพลีชีพสังหารชาวยิว และอีกหลายๆกรณีที่ได้ยินกัน- พีพี )

2.สเตอร์เก

คำนาม (สเตอร์เกน-คำกริยา) มีความหมายรักผูกพันฉันญาติ แต่ใช้ได้กับประชาชนที่มีความรักต่อผู้ปกครองหรือความรักของชนชาติ แต่ทั่วๆไปก็ใช้ถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆ และลูกๆต่อพ่อแม่

3.ฟิเลีย

คำนาม (ฟิเลน-คำกริยา) มีความรักที่อบอุ่นอยู่ในคำนี้ หรือแปลว่ามองด้วยความรักใคร่ผูกพัน ใช้ได้ทั้งความรักระหว่างเพื่อนและความรักของสามีภรรยา "ฟิเลน" แปลได้ตรงคือรักใคร่อย่างทะนุถนอมรักอย่างดูแลเอาใจใส่ "ฟิเลีย" รักใคร่ฝ่ายเนื้อหนัง หรือบางครั้งแปลว่าจุมพิตก็ได้

4.อากาเป้

คำนาม (อากาปัน-คำกริยา) คำนี้ใช้มากในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ของคริสเตียน

ความรักอากาเป้ หรืออากาปัน คือความรักของคริสเตียนที่ต้องปฏิบัติในชีวิตทั้งความคิดและการกระทำ เป็นความรักไม่จำกัดขอบเขตเฉพาะญาติมิตรหรือคนที่ใกล้ชิดเท่านั้น แต่ความรักนี้ ต้องแผ่ขยายออกไปจากกลุ่มของตนเอง ออกไปสู่เพื่อนบ้าน ไปสู่คนทั้งโลก และแม้กระทั่งศัตรู ความรักอากาเป้ เกี่ยวข้องกับความคิด ความตั้งใจ ไม่ใช่อารมณ์ ความรักอะกาเป้เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้รับความรักของพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์ครอบครองจิตใจแล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจผู้เชื่อที่จะสามารถมีความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเช่นนี้ได้ เพราะเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ต้องอดทน เป็นความรักที่มีแต่การให้ และให้อภัยเสมอ เพราะความรักอะกาเป้ที่พระเยซูทรงสำแดงแก่มนุษย์รักมนุษย์ทั้งๆที่เป็นคนบาป ดื้อด้านต่อต้าน ฯลฯ แต่พระองค์ทรงยอมวายพระชนม์เพื่อเขาทั้งหลาย

..พอมาถึงคริสเตียน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้เชื่อสวมใส่ความรักอากาเป้ไว้ในชีวิต ทรงสั่งให้รัก อดทน ต่อความผิดของคนอื่น ให้รักศัตรู และเพราะความรักอากาเป้นี้แหละที่ทำให้คริสเตียนอดทนต่อคนที่ด่า ที่ข่มเหง ทนต่อคนที่ไม่น่ารัก เป็นต้น

-เพราะความรักอากาเป้นี้แหละที่ทำให้องค์กรคริสตชน เข้าไปช่วยเหลือด้านสังคมกับคนทุกประเภท ไม่ว่าเขาจะเกลียดชัง หรือต่อต้าน

-เพราะความรักอากาเป้นี้แหละ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1943) จึงเริ่มต้น NGOs โดยเริ่มจากคริสตชน “คาทอลิก” ( Catholic Relife Service) ถือกำเนิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากสงคราม ต่อมา องค์กร Church World Service ของโปรเตสแตนต์ ถือ กำเนิดในปี ค.ศ.1946 ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน

-เพราะความรักอากาเป้นี้เอง และต่อมาจึงเกิดกลุ่ม NGOs ขึ้นอีกมากมาย เพราะคำว่ารัก "อากาเป้" ที่คริสตชนได้รวมตัวร่วมมือ สำแดงความรักของพระเจ้า ตามบัญญัติทอง ข้อที่ 2

"จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง"

รักเอย จริงหรือที่ว่าหวาน

โดย: ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ : ผู้อำนวยการศูนย์รวมนักศึกษาแบ๊บติสต์

เมื่อคุณเห็นภาพนักศึกษาชายหญิงเริงรักกันในโรงแรมแล้วถูกแอบถ่ายและนำภาพมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เนทคุณรู้สึกอย่างไร?

ตัวของชายหนุ่มหญิงสาวผู้เป็นดาราจำเป็นนั้นล่ะเมื่อเห็นภาพของตัวเองแล้วรู้สึกอย่างไร?

ส่วน บิดามารดา ญาติมิตร ของผู้แสดงทั้งสองคงไม่ต้องบรรยายความรู้สึกหรอกจริงไหมครับ?

นอกจากนี้ยังมีภาพของนักศึกษาสาวหรือชายที่ถูกแอบถ่ายวีดีโอ ขณะเร่ขายบริการทางเพศ เพราะประชดชีวิตรักหรอใจแตกเพราะกร้านกับความรัก ภาพเหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?

แต่ที่น่าอนาถใจก็คือ ภาพของหญิงสาวนอนเรียงรายที่เตียงคนไข้ขณะลักลอบทำแท้งทารกในครรภ์อันเป็นผลิตผลที่ไม่พึงประสงค์จากการร่วมรักของหนุ่มสาวที่ยังไม่พร้อมสำหรับสถานภาพของการเป็น "พ่อและแม่”!

ใช่ครับ นี่คือ โศกนาฏกรรมของชีวิตรักที่ไม่ถูกทาง!

“รัก” และ “ใคร่” เป็นของคู่กัน แม้ไม่เหมือนกัน แต่คนมักสับสนคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน!

ความรักรักไม่เคยทำให้ใครตาบอด แต่ความใคร่ทำ หนุ่มสาวในปัจจุบันมักตีค่าความรักต่ำลงเหลือเพียงแค่ความใคร่

ความรักเป็นการชอบอย่างผูกพันพร้อมด้วยความยินดี เป็นจิตบริสุทธิ์ที่พร้อมจะให้สิ่งดีแก่คนที่ตนรัก เช่น ให้เกียรติ ให้สิ่งของที่ดี! ให้เวลาที่มีคุณภาพ! ให้การปรนนิบัติที่ดี! ฯลฯ

คนที่มีความรักแท้จะถือคติเดียวกับองค์พระเยซูคริสต์ นั่นคือ

“การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”!

นั่นคือ ถ้าเรารักใครแล้ว เราจะมีความสุข และความยินดี เพราะได้เป็นฝ่ายให้เสมอ แต่ความใคร่นั้นตรงกันข้าม

ความใคร่ เป็นความอยากความต้องการที่จะได้!

แท้จริงแล้ว ถ้าเราได้ในสิ่งที่เราต้องการ ในเวลาที่เหมาะสม และในสถานที่ที่สมควร ก็น่าจะนำความสุขมาสู่เรา จริงไหมครับ?

แต่การพยายามจะได้บางสิ่งก่อนเวลาอันควร ณ สถานที่ที่ไม่ถึงควร ที่เราเรียกว่า “ชิงสุกก่อนห่าม” อาจจะนำความทุกข์ขมขื่นมาแทนก็เป็นได้ใช่ไหมครับ?

ดังนั้น ความรักที่สุกตามเวลาจะมีรสหวาน แต่ความรักที่ยังไม่ “สุก” พอจะเป็นได้แค่ความใคร่ที่นำรสเปรี้ยวและรสขมมาสู่ชีวิต!

เมื่อคนเรายังเด็ก ก็คิดแต่จะได้ แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เราก็รู้จักคิดที่จะให้!

หนุ่มสาวที่คิดแต่จะได้ คือได้ล่วงเกินหรือได้ระบายความใคร่กับเพศตรงข้ามหรือคนที่รกันั้นถือว่ายังเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักคำว่า “รัก” อย่างแท้จริง

แต่หนุ่มสาวที่คิดรู้จักให้ ให้สติแก่กัน ให้ปัญญาแก่กัน ให้แต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อกัน นับว่ามีวุฒิภาวะแห่งความรักอันเหมาะสม!

คนที่หลงผิดคิดว่า “ความใคร่” คือความรัก แม้ว่าหน้าตาจะคล้ายๆ กันก็ตาม จะจบลงที่ความขื่นขม แต่คนที่รู้จัก “รักแท้” จะจบลงที่ความชื่นชม!

พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความรักแท้ พระองค์ประทานสิ่งที่ดีที่สุด และล้ำค่าที่สุดแก่มวลมนุษย์ ดังที่ปรากฏหลักฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า

“โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงใช้พระบุตรองคืเดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร” (1 ยน. 4:9)

พระเจ้าทรงรักคุณและผม จึงทรงยินดีให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือ องค์พระเยซูคริสต์มาในโลกเพื่อมารับโทษตายไถ่บาปของเรา และถ้าหากเรารับของขวัญแห่งความรักของพระเจ้านี้ไว้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่กระทำให้เราพ้นจากหนี้บาปและความตายในนรก และได้พำนักกับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล แต่ยังจะทำให้เรามีความสามารถที่จะรักคนอื่น (แม้จะไม่น่ารัก) ได้อีกด้วย!

วันนี้คุณต้องการความรักแท้เช่นนี้หรือไม่?

รับรองได้ว่า…ถ้าคุณมีความรักแท้จากพระเจ้า

- คุณจะไม่ปล่อยตัวเริงรักในโฮเต็ล ให้คนแอบบันทึกภาพ!

- คุณจะไม่ปล่อยตัว เร่ขายรักในสถานที่ต่างๆ ให้คนดูหมิ่น!

- คุณจะไม่ปล่อยตัวร่วมรักจนเกิดที่หัวขน อันเป็นเหตุให้ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ!

แต่หากแม้นคุณผิดพลาดในเรื่องรัก เพราะความใคร่ไปแล้ว พระเจ้าจะทรงให้อภัยแก่คุณด้วยความรักแท้ของพระองค์และพระองค์จะทรงช่วยให้คุณเริ่มต้นใหม่และคุณสามารถให้อภัยแก่คนที่ทำผิดพลาดต่อคุณในสนามรักนี้ด้วยใจเมตตาจากเบื้องบน

เวลานี้คุณใคร่จะได้รับความรักอันมหัศจรรย์เช่นที่ว่านี้หรือไม่?

ความใคร่ชนิดนี้เป็นความใคร่ชนิดเดียวที่คุณพึงจะมี!

แล้วคุณจะรู้แจ้งว่า “รักเอย” จริงหรือที่ว่าหวาน?

จากคุณ โปรดปราน ( พีพี )

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com