คนที่ไม่ใช่

ตรงข้ามสำนักงานที่ฉันทำงานให้พี่ลิลลี่ เป็นโรงเรียนสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ ในแต่ละวัน คุณจะเห็นคนหลายชนชาติมาเข้าเรียนภาษาไทย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า พวกเขาจะเรียนไปเพื่ออะไร ภาษาไทยนับว่าติดอันดับภาษาที่ยากที่สุดในโลก แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังตั้งใจมาเรียน

เป็นเวลาเกือบเดือนในทุกๆ บ่าย ที่ฉันแอบสังเกตเห็นผู้ชายผอมสูงใส่แว่นไร้ขอบ แต่งกายด้วยกางเกงทรงสุภาพและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนๆ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่หน้าลิฟต์เพื่อรอเวลาเข้าเรียน เขายิ้มให้ฉันทุกวัน แต่เราไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกัน เพราะฉันมักจะเดินกลับจากโรงอาหารพร้อมๆ เพื่อนผู้หญิงอีก 2-3 คน ฉันได้คุยกับมาร์ตินในบ่ายวันหนึ่งขณะที่เดินไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม

"สวัสดีครับ ผมอยากรู้จักคุณ" เขาเดินตามมาและพยายามจะพูดกับฉันเป็นภาษาไทย แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เมื่อถึงประโยคที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น

"คุณชื่ออะไรครับ ไม่ทราบว่า พรุ่งนี้วันเสาร์คุณว่างไหม ผมอยากจะชวนคุณไปทานกาแฟตอน 10 โมงเช้า และถ้าไม่เป็นการรบกวน คุณช่วยพาผมไปเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือด้วยได้ไหม"

เราพูดคุยกันสักพัก และนัดหมายกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านสีลม


เมื่อฉันมาถึงสถานที่นัดพบ มาร์ตินก็มานั่งรออยู่แล้ว มันเป็นเช้าวันที่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจเป็นเพราะว่าหัวใจของฉันกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง กี่ปีมาแล้วที่ฉันไม่ได้ออกเดทกับใครสองต่อสอง

"คุณไปอยู่ที่ไหนมา มาร์ติน ทำไมไม่มีโทรศัพท์มือถือ" ฉันถามขณะที่เรานั่งทานกาแฟและเค้กในร้านกาแฟที่ตกแต่งแบบทันสมัย สไตล์อิตาเลียน

"ผมเคยทำฟาร์มมาก่อน ไม่เคยใช้โทรศัพท์มือถือ วันๆ ก็อยู่แต่ในฟาร์ม" รอยยิ้มของเขานั้นช่างมีเสน่ห์ ว่าไปแล้วหน้าตาของเขานั้นดูใกล้ๆ ก็ไม่ต่างกับ บรูซ วิลลิส เพียงแค่เขาใส่แว่นตลอดเวลา

"ผมมาอยู่ที่เมืองไทยก็หลายเดือนแล้ว ตอนแรกคิดว่า ไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ แต่ตอนนี้ผมอยากมีโทรศัพท์ไว้โทรคุยกับคุณ" ฉันอดขำไม่ได้ที่ต้องสอนวิธีส่งข้อความทางโทรศัพท์ให้เขาด้วย หลังจากที่เราพากันไปซื้อโทรศัพท์ที่ห้างมาบุญครองเซ็นเตอร์

มาร์ตินเป็นชาวอังกฤษที่ไปทำงานอยู่สหรัฐอเมริกากว่า 10 ปี เขาบอกว่า เดินทางมาเมืองไทยเพราะอกหักจากแฟนสาว ด้วยเหตุผลที่ว่า ปรับตัวให้เข้ากับลูกสาววัยรุ่นของเธอไม่ได้ เขาตั้งใจมาบวชเป็นพระที่นี่ แต่เมื่อพูดเรื่องนี้ให้คนไทยฟัง ทุกคนก็จะบอกว่า "วัดนี้ไม่น่าไป" แต่ไม่มีใครอธิบายให้เขาฟังได้ว่าทำไม "ถึงไม่น่าไป" เขาถามฉันว่า "คุณพอจะอธิบายให้ผมฟังได้ไหม ว่าทำไม"

ตอนนั้นฉันไม่แน่ใจ เฝ้าถามพระเจ้าทุกวันว่า นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ที่ฉันสนิทสนมกับมาร์ติน เขาเริ่มมาเร็วขึ้นเพื่อที่จะทานข้าวกลางวันกับฉันก่อนเข้าเรียน เพื่อนๆ เริ่มหยอกล้อว่า ฉันไม่ไปทานข้าวกับพวกเธอที่โรงอาหารเหมือนเคย ฉันถามพระเจ้าเสมอ "หรือว่า พระองค์จะแค่ต้องการใช้ฉัน เพื่อเปลี่ยนใจมาร์ตินไม่ให้บวช"

เวลาผ่านไป 1 เดือน ฉันเริ่มหลงรักเขาตามประสาคนที่ต้องการความรัก และคู่แท้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันกับลูก เรามีโอกาสได้ไปทานอาหารเย็นในร้านหรูย่านสุขุมวิทด้วยกันครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะอยากใช้เวลาทุกนาทีข้างๆ คนที่ฉันชอบพอ ฉันก็ต้องบังคับใจตนเอง รีบกลับบ้านก่อน 3 ทุ่ม เพราะไม่ต้องการให้แม่บ่นที่ต้องดูแลนิคกี้ทั้งวัน มาร์ตินนั่งรถไฟฟ้ามาเป็นเพื่อนฉันจนถึงสถานีจตุจักร ก่อนที่ฉันจะขึ้นแท็กซี่ เขามีท่าทีอาลัยอาวรณ์เหมือนไม่อยากให้ฉันจากไป

"วันเสาร์นี้คุณต้องทำงานถึงกี่ทุ่ม" มาร์ตินรู้ว่า เราจะมีงานแฟชั่นโชว์การกุศลของคณะภริยาฑูต ไม่ไกลจากที่พักของเขามากนัก

"คิดว่าเกือบๆ 5 ทุ่ม ทำไมเหรอ" ฉันถามด้วยความตื่นเต้น

"เลิกงานแล้วโทรมาได้ไหม ผมจะไปรับ แล้วเราไปหาอะไรทานแถวๆ บ้านผมนะ" เราตกลงนัดเวลาและสถานที่กันเรียบร้อยและรอคอยอย่างตื่นเต้นให้ถึงวันเสาร์ไวๆ

อีกใจฉันก็รู้สึกกลัว การที่มาร์ตินเอ่ยปากแบบนั้น เหมือนเป็นนัยว่า "ทานอาหารเสร็จแล้ว ก็แวะไปนั่งคุยที่บ้านประเดี๋ยวนะ" ฉันพอจะคาดเดาได้จากที่เคยเห็นบ่อยๆ ในภาพยนตร์ฝรั่ง พี่ภาเคยสอนว่า เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงชำระร่างกายของเราให้บริสุทธิ์อีกครั้ง เราไม่ควรมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับใครก่อนแต่งงาน

ใจหนึ่งฉันก็อยากอยู่ใกล้เขา แต่ฉันไม่ต้องการทำให้พระเจ้าเสียใจ ฉันจึงอธิษฐานแสวงหาการปกป้องจากพระองค์ "โอ้พระองค์เจ้าข้า นี่คือน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ หากเป็นมารจะมาหลอกล่อข้าพระองค์แล้ว ขอพระองค์ทรงนำมันออกไปห่างๆ ขอพระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์ด้วย หากว่าเขาไม่ใช่คนนั้น ขอพระองค์ทรงตอบให้ข้าพระองค์เห็นชัดๆ และข้าพระองค์จะเชื่อฟัง"


เย็นวันศุกร์พี่ลิลลี่วานให้ฉันนำเอกสารไปส่งให้เพื่อน เป็นเหตุให้ฉันต้องออกจากที่ทำงานก่อนเวลา 1 ชั่วโมง "เค็งเอาของไปส่งให้พี่ทีนะ แล้วก็กลับบ้านไปเลย ไม่ต้องกลับเข้ามาออฟฟิศอีก"

"ค่ะ" ฉันรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เดินไปสถานีรถไฟฟ้า มุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะให้เวลาผ่านไปเร็วๆ พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้ว ฉันนึกยิ้มอยู่ในใจ

ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ฉันเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่ฉันรู้จักเดินออกมาพร้อมกับหญิงสาวอีกคน เราสวนกันในระยะใกล้เพียงไม่ถึงวา ฉันจึงทัก "สวัสดี มาร์ติน"

"อ้าว เลิกงานแล้วเหรอ ทำไมเลิกงานเร็วจังวันนี้" เขาถามฉันด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก

"ฉันต้องเอาของไปส่งให้เจ้านาย ไปก่อนนะ รถไฟจะออกแล้ว" ฉันทำหน้าไม่ถูก จึงรีบเดินจากมา

คืนนั้นฉันส่งข้อความทางโทรศัพท์ไปยกเลิกนัดที่เราตกลงกันไว้ ไม่มีคำตอบจากเขาแต่อย่างใด ฉันนอนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด และยอมรับว่า นี่คือ คำตอบที่ชัดเจนจากคำอธิษฐานของฉัน


ฉันไปทำงานด้วยจิตใจที่สับสนในเช้าวันจันทร์ น้องกิ๊บ นักศึกษาฝึกงานที่สนิทกันเห็นหน้าฉันคนแรกก็ถามว่า "เดท เมื่อวันเสาร์เป็นไงบ้างพี่" กิ๊บถาม

"พี่ไม่ได้ไปหรอกกิ๊บ พี่ยกเลิกไปเมื่อวันศุกร์ เพราะพระเจ้าให้พี่เดินสวนกับเขาพร้อมผู้หญิงอีกคนตอนกำลังจะขึ้นรถไฟฟ้าที่สีลม"

"อ้าวเป็นงั้นไป แต่ก็ขอบคุณพระเจ้านะพี่ พระเจ้าคงจะบอกพี่ว่า นี่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์"

"พี่ก็คิดว่าอย่างนั้น เพราะพระองค์ตอบพี่อย่างชัดเจนเลย" แต่กระนั้น ฉันก็อดเสียใจไม่ได้ กิ๊บคงรู้ดีจากสีหน้าที่ฉันแสดงออก

ตอนเที่ยงมาร์ตินมาดักรอฉันที่หน้าลิฟต์ "เค็ง ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม"

"ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ" ฉันพยายามเดินหนี แต่เขาก็ลากมือฉันไปที่ร้านอาหารที่เราเคยไปกันเป็นประจำ ใจของฉันนั้นไม่มีอะไรจะสะสาง แค่อยากจะหลบไปให้ไกล แต่ใจของเขากลับเต็มไปด้วยคำแก้ตัว เราต่างก็เสียใจจนไม่มีใครแตะอาหารตรงหน้าสักช้อน

"จริงๆ แล้ว เธอ... คือ พนักงานขายเสื้อที่ผมไปซื้อเสื้อเชิ้ตเป็นประจำ เท่านั้นเอง"

"ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมคุณมีเสื้อเชิ้ตหลากสีหลายตัว"

"ทำไมล่ะ แค่เดินเจอผมกับผู้หญิงอีกคน คุณก็ไม่คุยกับผมแล้วหรือ เขาก็เป็นเพื่อน คุณก็เป็นเพื่อน ผมยังไม่ได้เลือกใครเป็นแฟนสักหน่อย ผมก็ลองคบดูหลายๆ คน ก่อนที่จะเลือก"

"ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณนี่ คุณจะเป็นเพื่อนกับใครก็ได้ จะมีกี่ตัวเลือกก็ได้ แต่ฉันจะไม่อยู่เป็นตัวเลือกให้คุณหรอก"

"อ้าว ทำไมใจแคบจัง" มาร์ตินบ่น

"พูดตรงๆ เลยนะมาร์ติน พระเจ้าปิดประตูแล้ว และฉันก็เชื่อฟังพระองค์"

"คุณพูดอะไรของคุณ ผมไม่เข้าใจ ปิดประตูยังไง แล้วพระเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย"

อันที่จริง ฉันเคยพูดเรื่องพระเจ้ากับมาร์ตินหลายหน และแอบมีความหวังอยู่ว่า พระองค์อาจจะเลือกเขา เปลี่ยนใจเขาจากความรู้สึกอยากบวชเป็นพระ และประทานความรอดให้กับเขาในที่สุด แต่พระองค์ตอบฉันอย่างชัดเจนแล้วว่า พระองค์ไม่ได้เลือกเขา หากแต่ทรงปกป้องฉันจากเขาด้วยซ้ำ

"คุณไม่ต้องเข้าใจก็ได้ แต่ฉันเข้าใจ" ฉันพูดตัดบทและเดินกลับไปทำงาน จากวันนั้นฉันเดินผ่านเขาที่หน้าโรงอาหารอีก 2-3 ครั้ง ฉันเดินไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ปล่อยให้เขายืนมองฉันอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่ตัดพ้อต่อว่า ในใจฉันก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเขา แต่ทำได้แค่เพียงเก็บมันไว้อย่างนั้น มาร์ตินเลิกมาเรียนภาษาไทยในสัปดาห์ต่อมา และเราก็ไม่เคยได้พบกันอีก

คนภายนอกอาจจะคิดว่า ฉันบ้า ที่ไม่ยกโทษให้เขาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ใจตัวเองนั้นก็ปรารถนาจะได้อยู่ใกล้เขา แต่พระเจ้าทรงเมตตาชีวิตของฉันและลูกมากเพียงไร ฉันทำให้พระองค์ผิดหวังไม่ได้หรอก พ่อเตือนแล้ว ลูกก็ต้องเชื่อฟัง แม้มันจะไม่ง่ายนักที่จะเดินตามพระองค์ แต่ฉันเชื่อว่า พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีกว่านี้สำหรับชีวิตของฉัน

แม้ในเวลานั้นฉันจะทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฉันยังได้น้องกิ๊บคอยปลอบใจ กิ๊บแอบเขียนข้อพระธรรมนี้ ใส่การ์ดเล็กๆ มาให้หลายวันต่อมา

"พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำ" (สดุดี 34:18)

เรื่องราวของมาร์ตินผ่านมาก็เนิ่นนานหลายปี แต่ฉันไม่เคยลืมการปกป้องที่มาจากพระเจ้าในวันนั้น และเพราะฉันเชื่อฟังพระองค์ พระองค์จึงให้พรที่ยิ่งใหญ่กว่าในเวลาต่อมา...


หลังจากที่ผิดหวังจากมาร์ตินไม่นาน ฉันได้รับจดหมายจากนีล เขาเพิ่งหย่าขาดจากเฮเลน เขาเล่าว่า เฮเลนชอบเสพเฮโรอีน และพยายามจะขนญาติพี่น้องของเธอจากยูเครนมาสร้างรากฐานที่ออสเตรเลีย นีลรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาและอยากให้ฉันยกโทษให้เขา

หากเป็นเมื่อก่อน ฉันคงตอบได้ทันทีว่า ฉันคงยกโทษให้คนเลวๆ แบบนี้ไม่ได้ แต่พระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของฉันให้เป็นคนใหม่ ฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตเหมือนก่อน กลับมองเป็นเรื่องดีที่พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพื่อนำพาฉันมาใกล้พระองค์ ฉันบอกเขาไปว่า "ฉันยกโทษให้คุณนานแล้ว และจะไม่นำเรื่องราวในอดีตกลับมาคิดให้ขมขื่นใจอีก"

ฉันพูดคุยกับนีลทางอีเมลเป็นเวลา 2-3 เดือนในฐานะคนเคยรู้จัก แม้จะยกโทษให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะรักคนๆ นี้ได้อีกครั้ง ฉันไม่เคยคิดอยากจะเห็นหน้าเขาอีก แต่ยังจำได้ดีถึงวันที่นิคกี้ได้รับการถวายให้เป็นบุตรของพระเจ้า สมาชิกทั้งโบสถ์พากันอธิษฐานให้พ่อของนิคกี้กลับมา หรือว่า วันนี้เขาได้กลับใจแล้ว หรือว่า พระองค์มีน้ำพระทัยให้นิคกี้ได้อยู่ใกล้กับพ่อ นี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ ไม่ว่าแผนการของพระเจ้าจะเป็นเช่นไร ฉันไม่ลืมที่จะสอดแทรกเรื่องของพระเจ้าให้เขาฟังทุกครั้งที่เขียนถึงเขา

นีลส่งของเล่นชิ้นแรกมาให้นิคกี้ในวันครบรอบวันเกิด 2 ปี และส่งน้ำหอมมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ฉัน เพราะวันเกิดของเรา 2 คนแม่ลูกนั้นใกล้ๆ กัน ความจริงฉันน่าจะดีใจ แต่กลับรู้สึกน้อยใจที่เขาไม่เคยจดจำเลยว่า ฉันแพ้กลิ่นน้ำหอม บางทีเขาอาจจะหวนนึกถึงฉัน เพียงเพราะว่า ไม่มีทีไปก็เป็นได้

เมื่อพูดคุยกันเรื่องลูกมาได้สักระยะ นีลเริ่มแนะนำให้ฉันพานิคกี้ไปหาเขาที่ออสเตรเลีย เพราะเขายังอยู่ในภาวะล้มละลาย ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ฉันเคยพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว หากพลาดครั้งนี้ นั่นก็หมายถึง ชีวิตของลูกด้วย ฉันจึงชี้แจงกับเขาว่า "ส่งเงินมาให้ฉันกับลูกทุกๆ เดือนก่อน เมื่อฉันใช้หนี้เก่าหมด พอมีเงินเหลือแล้วฉันจะพาลูกไปหาแน่นอน"

"คุณออกเงินไปก่อนได้ไหม มาถึงที่นี่แล้วผมจะคืนเงินให้" นิสัยของเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาไม่มีเงินแต่ต้องการหลอกใช้ฉัน หรือว่า เขามีเงินแต่ไม่ไว้ใจว่าฉันจะพาลูกไปหาจริง ฉันจะต้องทนอยู่กับคนแบบนี้อีกหรือ และสิ่งนี้หรือ ที่พระเจ้ากำลังจะประทานให้กับลูกของฉัน

ฉันสกัดกั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ยื่นคำขาดออกไปว่า "คุณไปให้ไกลๆ เลยนะนีล ไม่ต้องติดต่อมาหาพวกเราอีก ชีวิตของพวกเราอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องมีคุณ" ฉันคิดว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ชีวิตของนิคกี้ไม่ควรต้องเติบโตมาท่ามกลางปัญหาของพ่อที่ยังสะสางไม่เสร็จสิ้น และหากนิคกี้ได้พบกับนีลแล้วต้องพลัดพรากจากกัน สู้ไม่ต้องพบกันเสียดีกว่า และจากวันนั้นฉันก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาอีก

โอ้ พระเจ้า เมื่อไรหนาที่ลูกจะได้พบกับความสมหวังที่แท้จริงเสียที

สรินยา วูด
จากหนังสือ แสงแห่งความหวัง

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com