มัทธิว 7

(16/11/2007)

การเชื่อฟัง

"1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน

2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น

3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก

4 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ' แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง

5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

6 อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย" (มัทธิว 7:1-6)

เมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้ จะต้องคำนึงถึงบริบทให้ดี ในตอนนี้ พระเยซูทรงสอนผู้ที่กล่าวโทษผู้อื่น นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจ เพราะพระเยซูทรงต้องการเน้นย้ำ สอนผู้ที่กล่าวโทษผู้อื่น

มนุษย์เรา มักจะมีนิสัยกล่าวโทษผู้อื่นเสมอ เราพอใจที่จะว่าผู้อื่น มักจะเห็นความผิดของผู้อื่นเสมอ และความผิดของเรา มักจะมองไม่เห็น แต่คนอื่นจะเห็นความผิดของเรา

แต่เมื่อพระเยซูคริสต์จะพิพากษานั้น พระองค์จะทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะตักเตือนเรา ที่เราจะพิจารณาตัวเองเสมอ เพราะถ้าไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของเรา เราก็จะมิสามารถช่วยเขี่ยผงในตาของผู้อื่นได้ พระองค์ทรงต้องการให้เราสามารถช่วยผู้อื่นได้จริง ๆ ซึ่งจะทำได้ก็โดยการที่เราจะต้องเอาท่อนซุงออกจากตาของเราก่อน เพื่อที่เราจะไม่เป็นเหมือนกับผู้ที่เราต้องการจะช่วยเอาผงในตาของผู้อื่นออก ถ้าเรายังเป็นเหมือนเขา เราก็จะไม่สามารถช่วยผู้นั้นได้

ในวันพิพากษา ถ้าเราว่าผู้อื่น แล้วเราก็ยังเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็จะทรงพิพากษาโทษเราเช่นกัน เพราะว่าเราก็ยังคงทำผิดอยู่ตลอด และพระองค์ก็ทรงตำหนิเราว่าเป็นคน "หน้าซื่อใจคด" ซึ่งเป็นคำที่เจ็บปวดมาก

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะตำหนิผู้อื่นว่า อย่าโกหก แต่เราก็ยังโกหกอยู่ เขาก็อาจจะย้อนว่ากลับมาได้ ถ้าเกิดเขาไม่ถ่อมใจ และอาจจะนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งกันในที่สุด

ดังนั้น เราจะต้องมองตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่เราจะมองเห็นถึงสิ่งบกพร่องของเราได้ เพื่อเราจะมิได้เป็นคนหน้าซื่อใจคด และเราจะได้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน และจะสามารถช่วยนำผงจากในตาผู้อื่น

ส่วนข้อที่ 5-6 นั้น อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าพระองค์ทรงประสงค์ที่จะต้องการสอนผู้ใด จากที่เราได้เน้นย้ำไปแล้วว่า ผู้ที่พระองค์ทรงต้องการสอนคือ "ผู้ที่จะกล่าวโทษ" ดังนั้น บริบทตรงนี้ จึงต้องการสอนผู้ที่จะกล่าวโทษโดยตรง โดย

  • "ของประเสริฐ" และ "ไข่มุก" ก็คือ คำเตือนของพระเยซู และ

  • "สุนัข" หรือ "สุกร" ก็คือ คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ที่ยังคงกล่าวโทษผู้อื่น โดยที่ไม่พิจารณาตนเอง

ดังนั้น ถ้าเราไม่เชื่อฟังตามคำเตือนของพระเยซู ก็จะเป็นเหมือนสุนัข และสุกร ที่เยียบย้ำสิ่งมีค่าเสีย และไม่เห็นคุณค่าของคำเตือนของพระเยซู


"7 จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน

8 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา

9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง

10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา

11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์

12 จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน นั่นคือธรรมบัญญัติ และคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ " (มัทธิว 7:7-8)

พระองค์ทรงรักเรา และพระองค์ทรงประสงค์ที่จะประทานสิ่งดีให้แก่เรา การที่เราจะสามารถอยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ก็ผ่านการเชื่อฟัง เราจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เราปรารถนาที่จะให้เขาปฏิบัติต่อเรา ซึ่งคำสอนเหล่านี้อยู่ในเรื่องเดียวกัน อย่าให้การแบ่งหัวข้อมาจำกัดเรา

ดังนั้น วัตถุประสงค์ของพระองค์ทรงต้องการสอนสิ่งใดแก่เรา ก็คือ เราจะต้องเชื่อฟัง เราจะต้องไม่กล่าวโทษผู้อื่นโดยไม่พิจารณาตัวเอง และพระองค์ก็จะทรงประทานพรให้แก่เรา

นี่จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาตัวเองเสมอ ว่า ที่เราขอแล้วไม่ได้ เกิดจากอะไร เราหาแล้วไม่พบ หรือ เคาะแล้วมิได้ทรงเปิดให้แก่เรานั้น เกิดจากอะไร จะต้องพิจารณาตัวเองเช่นกัน ว่าเราเชื่อฟังหรือไม่ เพราะถ้าเราไม่เชื่อฟังคำเตือนของพระเยซู เราก็จะไม่สามารถอยู่ในเงื่อนไขนี้ได้ และนี่ก็จะเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ได้สิ่งที่ขอ

"13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก

14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย" (มัทธิว 7:13-14)

ทางแคบ ในที่นี้ เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อก่อนหน้านี้ ก็คือ "การเชื่อฟัง" ซึ่งเป็นทางที่ยากลำบาก คับแคบมาก และคนที่จะสามารถทำได้ก็มีน้อยนัก

ส่วนทางกว้าง ก็คือ "ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง" ซึ่งกระทำได้ง่ายกว่าการเชื่อฟังนัก และจะมีผู้ที่เดินตามทางกว้างเป็นอันมาก

ดังนั้น ทางแคบ มิได้หมายถึงเพียงการมาเชื่อพระเจ้า แต่จะต้องเชื่อฟังพระองค์ด้วย เราจะต้องพิจารณาตัวเราเองให้ดีว่า เราพร้อมที่จะเป็น "เกลือ" หรือ "แสงสว่าง" หรือไม่ เราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์หรือไม่ เราจะต้องแสวงหาจุดเริ่มให้ถูกต้อง เพื่อที่ก้าวเดินต่อไป จะนำไปสู่ "ขุมทรัพย์" และจุดเริ่มต้นนี้ก็คือ "การเชื่อฟัง" และเราจะเป็นคนเหล่านั้น ที่หาพบ ซึ่งเป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น

"16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม

17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว

18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้

19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ

20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา" (มัทธิว 7:16-20)

ผู้ที่สอนเท็จ ก็คือ การที่เราไม่เอาคำสอนของพระเยซูเป็นหลักในการสอน แต่เอาคำสอนของตัวเองเป็นหลัก

มีบางคน สอนว่า "เราเป็นมนุษย์ เราจะโกหกบ้างก็ไม่เป็นไร" ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดได้อย่างชัดเจน เพราะพระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าไม่ถูกต้อง และสิ่งที่เราจะพิสูจน์ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ โดยดูจาก "ผล" เพราะว่าต้นไม้ดี จะเกิดผลเลวไม่ได้ และต้นไม่เลว จะเกิดผลดีไม่ได้ เมื่อเราพิจารณาชีวิตตัวเราเอง เราจะพบว่า ผลของเรานั้นเป็นอย่างไร ถ้าผลออกมาไม่ดี เราจะต้องพิจารณาตัวเองให้ดี

ลูกของพระเจ้า จะทำบาปไม่ได้ และถ้าทำบาปอยู่ นั่นหมายถึงสิ่งใด เราจะต้องพิจารณาให้ดีในชีวิตของเรา

"บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ" (ยากอบ 3:11)

ดังนั้น ถ้าเราจะเป็นน้ำจืด เราจะต้องไม่พุ่งน้ำกร่อยออกมา เพราะถ้าเรายังมีความเป็นน้ำกร่อย เราก็จะไม่เป็นน้ำจืดอีกต่อไป

ต้นไม้ที่ไม่เกิดผลดี เราก็จะถูกตัดทิ้งลงไปในไฟ ถ้าผลออกมาจากชีวิตเรา มิใช่ผลดี และเป็นเหมือนผลเหล่านั้นที่ออกมาจากต้นไม้ไม่ดี เราก็จะถูกตัดทิ้งอย่างแน่นอน

เมื่อเราเรียนสิ่งเหล่านี้ เราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมถึงเข้มงวดนัก แต่ในอีกแง่หนึ่ง นี่คือคำสอนของพระเยซูคริสต์ และถ้าเราทำให้สิ่งเหล่านี้เบาขึ้น เราก็จะได้รับโทษเช่นกัน อย่าละเลยสิ่งที่พระคัมภีร์สอนแก่เรา เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่มีผลต่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเราอย่างมาก


"21 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้

22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ'

23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา' " (มัทธิว 21-23)

ขอเน้นย้ำอีกรอบ เงื่อนไข คือ "การเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม" ถ้าเราไม่เชื่อฟัง และไม่ปฏิบัติตาม แม้ว่าเราจะกระทำการอัศจรรย์อย่างมากมาย หรือรับใช้พระองค์อย่างมากมาย พระองค์ก็จะทรงกล่าวแก่เราว่า "เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย" ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมาก เพราะพระองค์จะทรงดูที่ผลของเรา ถ้าผลของเรามิใช่ผลดี เราก็จะได้รับการพิพากษาอย่างยุติธรรม

พระเจ้าของเรา ทรงเป็นพระเจ้าที่เข้มงวด แม้ว่าในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นความรัก แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงความยุติธรรมเช่นกัน และทรงเข้มงวด

ถ้าเราอ่านสิ่งเหล่านี้ แล้วกลัว ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าเราจะได้ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต แต่ถ้าเราอ่านแล้วไม่กลัว ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะว่าเราจะกระทำผิดต่อไปเรื่อย ๆ จะดำเนินอยู่ในทางกว้างเรื่อย ๆ และจะนำไปสู่ความพินาศในที่สุด

"13 แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้นถามข้าพเจ้าว่า 'คนที่สวมเสื้อสีขาวเหล่านี้คือใครและมาจากไหน'

14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า 'ท่านเจ้าข้าท่านก็ทราบอยู่แล้ว' ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า 'คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด' " (วิวรณ์ 7:13-14)

เราจะต้องตั้งใจที่จะชำระเสื้อผ้าของเรา เพื่อที่เราจะขาวสะอาด แม้ว่าจะต้องผ่านความทุกข์ยาก จะต้องเดินในทางแคบ ที่เดินไม่สะดวก แต่ถ้าเราตั้งใจจริง พระองค์ก็จะทรงพอพระทัย เพราะวันนั้น ผู้ที่มีเสื้อผ้าที่ขาวสะอาดเท่านั้น จึงจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้

การชำระของพระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้เราบริสุทธิ์ ณ จุดที่เราเริ่มมาเชื่อในพระเยซู แต่หลังจากนั้น ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่ให้เสื้อเราเปรอะเปื้อน เราจะต้องหมั่นซักเสื้อผ้าของเราอย่างสม่ำเสมอ จน เสื้อผ้าของเรานั้น "ขาวสะอาด" เพราะเราจะต้องใส่เสื้อผ้านี้ เข้าในแผ่นดินสวรรค์ เราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่ให้เสื้อเปรอะที่เดิม จนซักไม่ออก เราจะต้องพิจารณาชีวิตของเราเองให้ดี เพื่อเราจะได้มั่นใจในวันพิพากษา

"26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย

27 แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ และไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า" (ฮีบรู 10:26-27)

พระคัมภีร์ฮีบรู ตอนนี้ ได้เน้นย้ำชัดเจน และเตือนเราให้เราดำเนินชีวิตอย่างเข้มงวด เพราะเราจะไม่ทำให้เครื่องบูชาลบบาปเหล่านั้นหมดไป และเพื่อเราจะมิได้ต้องหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ

"24 เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา

25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา

26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย

27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง

28 ครั้นพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์

29 เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่" (มัทธิว 7:24-29)

พระคัมภีร์ตอนนี้ เข้าใจได้ไม่ยาก ก็คือ รากฐานของเรา มีเพียง 2 อย่างเท่านั้น ก็คือ "การที่เราปฏิบัติตาม" หรือ "การที่เราไม่ปฏิบัติตาม" ถ้าเราปฏิบัติตาม และเชื่อฟัง เราก็จะมีรากฐานที่มั่นคง และไม่ต้องกลัวพายุ หรือน้ำไหวเชี่ยวใด ๆ

ขอที่เราอย่ากลัวความยากลำบาก เพราะพระเยซูคริสต์ทรงยากลำบากยิ่งกว่าเรา เพื่อเรา ดังนั้น เราควรที่จะเชื่อฟังพระองค์ แม้เรายากลำบาก พระองค์ก็ทรงช่วยเราอย่างแน่นอน

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com