มัทธิว 15

(19/09/2008)

คำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ

"1 เวลานั้นพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม มาทูลถามพระเยซูว่า

2 'ทำไมสาวกของท่านจึงละเมิดคำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ? เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร'

3 พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า 'เพราะเหตุใดท่านทั้งหลายจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน?

4 เพราะว่าพระเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า 'จงให้เกียรติบิดามารดาของตน' และ 'ใครประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย'

5 แต่พวกท่านกลับสอนว่า 'ใครกล่าวกับบิดามารดาว่า 'สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน สิ่งนั้นเป็นของที่ถวายแด่พระเจ้าแล้ว'

6 คนนั้นก็ไม่ต้องให้เกียรติบิดาของตน'(สำเนาโบราณบางฉบับว่า บิดามารดาของตน) อย่างนั้นแหละ พวกท่านทำให้พระวจนะ(สำเนาโบราณบางฉบับว่า ทำให้ธรรมบัญญัติ) ของพระเจ้าเป็นโมฆะไป เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน

7 พวกหน้าซื่อใจคด อิสยาห์พยากรณ์ถึงท่านทั้งหลายถูกแล้วว่า

8 ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา

9 พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน" (มัทธิว 15:1-9 ThaiTSV2002)

คำสอนซึ่งมาจากบรรพบุรุษ เป็นสิ่งที่ดี อาทิเช่น การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร เพื่ออาหารจะได้ไม่เป็นมลทินต่อร่างกาย แต่สิ่งที่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ปฏิบัติกันนั้น เขายึดคำสอนที่มาจากบรรพบุรุษ แต่พระบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า พวกเขากลับละเลย

หลาย ๆ ครั้ง ในชีวิตของพวกเราจะได้รับรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นสิ่งที่ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่สิ่งที่เรายึดถือเหล่านั้น เราจะต้องไม่ละเลยสิ่งสำคัญกว่า คือพระบัญญัติของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ด้วย ถ้าหากเรายึดถือสิ่งที่มนุษย์กำหนด แต่ละเลยบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งกำหนดโดยพระเจ้า ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เราจะต้องเข้าใจว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน

พระเยซูคริสต์ไม่ได้ว่าที่พวกเขายึดถือตามบรรพบุรุษ แต่ทรงตำหนิที่เขายึดถือสิ่งเหล่านั้น แต่กลับละเลยละเมิดธรรมบัญญัติ สิ่งที่เป็นฝ่ายร่างกาย พวกเขาปฏิบัติ แต่กลับละเลยกับสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณ พระองค์จึงทรงตำหนิเขาอย่างแรง ว่าเป็นคน "หน้าซื่อใจคด"

เราจะต้องพิจารณาว่า สิ่งใดจะทำให้เราเข้าข่ายที่จะเป็นคนที่พระองค์ทรงตำหนิว่า "หน้าซื่อใจคด" ให้ดี ขอพระเจ้าที่จะทำให้เราตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ที่เราจะไม่นับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น และที่เราจะไม่กระทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้คนเห็นเท่านั้น แต่ให้เราถือพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยจิตใจ เพื่อเราจะได้ไม่เป็น "คนหน้าซื่อใจคด"

"1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือวาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว

2 เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว รักเงินทอง โอ้อวด หยิ่งยโส ชอบดูหมิ่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ชั่วร้าย

3 ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี

4 ทรยศ มุทะลุ โอหัง รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า 5ยึดถือทางพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น จงอย่าเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น" (2ทิโมธี 3:1-5 ThaiTSV2002)

ที่เราจะสามารถเห็นได้ในปัจจุบัน ก็คือ ค่านิยมของคริสเตียนบางคนในปัจจุบัน เช่น "มาโบสถ์ตอนเช้าก็พอแล้ว ตอนบ่ายกลับไปทำงาน ทำธุรกิจต่อก็ไม่เป็นไร" นี่เป็นการบิดเบือนคำสั่งของพระเจ้า ไปตามความพอใจของเราเอง เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มนุษย์อาจจะบอกว่าไม่เป็นไรที่จะทำเช่นนั้น แต่พระเจ้ามิได้ทรงตรัสเช่นนั้น พระองค์ทรงกำหนดวันอาทิตย์ให้แก่เรา เพื่อเราจะได้พัก อย่าให้เราบิดเบือนบัญญัติของพระองค์

ถ้ามีคนบอกว่า "ไม่ได้ วันอาทิตย์ต้องทำงาน" และเขามิได้พยายามหลีกเลี่ยง จึงมิได้มาโบสถ์วันอาทิตย์ แต่กลับทำกิจการงานของตัวเอง การกระทำเหล่านี้แหละจะเป็นตัวบอกว่า เขาเห็นพระบัญญัติของพระเจ้า สำคัญน้อยกว่าค่านิยมของโลกนี้ ซึ่งเขาก็จะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขากระทำ เขาจะรู้ตัวในวันพิพากษา

จากตัวอย่างของพวกฟาริสีก็เห็นชัด ก็คือ พวกเขาถวายสิ่งดีแด่พระเจ้า แต่กลับไม่ให้สิ่งเหล่านั้นกับบิดามารดา โดยอ้างสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติกันมาเป็นใหญ่ ไม่ยึดถือบัญญัติของพระเจ้าเป็นใหญ่

การที่เราจะเลือกทำอาชีพใดก็ตาม เราจะต้องพิจารณาให้ดีว่า สิ่งที่เราจะทำนั้น จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะทำผิดต่อพระเจ้าหรือไม่ ถ้าเราไม่พร้อมที่จะทำงานนั้นแล้วยืนหยัดที่จะทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า ก็ขอที่เราจะหลีกเลี่ยง เพราะจะมีงานบางประเภทที่มีการทำผิดพระบัญญัติกันเป็นปกติ มีการทุจริตกันเป็นประจำ มีการโกหกกันตลอด แล้วถ้าเราไม่ทำตามเขา เราก็จะอยู่ได้ยาก ขอพระเจ้าที่จะประทานสติปัญญาแก่เรา ถ้าเราเข้าไปทำงานเหล่านั้นแล้ว แล้วรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ก็ขอที่จะพิจารณาออกจากงานนั้น

อีกกรณีหนึ่ง ที่อยากให้เราพิจารณาให้ดี ก็คือ กรณีที่พระเยซูทรงชำระพระวิหาร

"13 เทศกาลปัสกา(เทศกาลของพวกยิวเพื่อระลึกถึง การที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาติของตน ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์) ของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

14 พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินนั่งอยู่ตามบริเวณพระวิหาร

15 พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้นพร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินและทรงคว่ำโต๊ะของบรรดาคนรับแลกเงิน

16 และพระองค์ตรัสกับพวกคนขายนกพิราบว่า 'เอาของพวกนี้ออกไป อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด' " (ยอห์น 2:13-16 ThaiTSV2002)

ขอให้เราพิจารณากรณีในพระคัมภีร์ คือ มีการค้าขายในพระวิหาร ในวันที่มีการนมัสการพระเจ้า โดยที่การค้าขายนั้นดูเหมือนจะเป็นการทำเพื่อพระเจ้า เป็นการขายสิ่งที่ใช้ในการนมัสการพระเจ้า แต่แท้จริงแล้ว พวกเขากลับจดจ่อกับธุรกิจ และคนที่มานมัสการก็มิได้เตรียมสิ่งที่ดีที่สุดมาถวายแด่พระเจ้า แต่มาซื้อที่พระวิหาร ซึ่งพระเยซูไม่พอพระทัยอย่างมาก

พระเจ้าทรงดูท่าทีในการถวายของเรา ดังเช่น คาอินกับอาเบล จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงพอพระทัยอาเบล เพราะเขาได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่พระเจ้า แต่ทรงมิได้พอพระทัยกับสิ่งที่คาอินมาถวาย ขอให้เราพิจารณาให้ดี

ดังนั้น ท่าทีของเราก็เช่นกัน ในการซื้อของในงาน mission ถ้าหากเราซื้อด้วยใจที่อยากได้ของเหล่านั้น แล้วก็คิดว่า "ก็ดีนะ ได้ทั้งของที่อยากได้ และก็ได้ถวายแด่พระเจ้าด้วย" นี่แหละ เป็นท่าทีที่ไม่ถูกต้อง ขอให้เราเปลี่ยนท่าที ขอที่เราจะซื้อสิ่งเหล่านั้นเพื่อต้องการที่จะถวายให้แก่พระเจ้าเป็นหลัก ซึ่งเป็นท่าทีที่ถูกต้อง อย่าให้เราคำนึงถึงสิ่งที่จะได้เป็นหลัก

และในอีกกรณีหนึ่ง ก็คือ การที่เราทำการค้าขายในโบสถ์ ในวันอาทิตย์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ? ถ้าเป็นสิ่งที่เราทำ โดยไม่มีความคิดในด้านธุรกิจมาเกี่ยวข้อง นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ! แต่ถ้าหากมีความคิดในด้านธุรกิจ โดยคำนึงถึงว่า มีกำไร หรือขาดทุนหรือไม่อย่างไร ? จะมีการแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร ? ทำอย่างไรจึงจะได้กำไรเยอะ ๆ ? การค้าขายเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะถ้ากระทำสิ่งนั้นในวันอาทิตย์ !!!!

เราจะต้องระวัง ที่เราจะไม่ให้เกียรติพระองค์แต่ปาก แต่เพียงการกระทำภายนอก แต่ขอให้เรายำเกรงพระองค์ด้วยสุดใจ แม้ว่าเรามีของประทานต่าง ๆ แม้ว่าเราจะพูดภาษาแปลก ๆ ได้ ทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ แต่ถ้ายังกระทำบาปอยู่ พระองค์ไม่พอพระทัยอย่างแน่นอน และเราจะต้องระมัดระวังท่าทีให้ดีในการถวาย ในการรับใช้ต่าง ๆ ที่เราจะระมัดระวังท่าทีของเราให้ดี และเพื่อที่เราจะไม่ถูกเรียกว่า "คนหน้าซื่อใจคด"

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com