วิทยาศาสตร์กับพระเจ้า

"ความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องงมงาย ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์เจริญรุดหน้าไปไกล ใครก็ตามยอมเปิดตากว้างสักนิด หรือพอมีความรู้วิชาวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง เขาคงไม่ยอมเชื่อเรื่องพระเจ้าที่เหลวไหลไร้เหตุผลอีกต่อไป"

โลกปัจจุบันกำลังพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นทุกที และเป็นเพราะคนเรามีส่วนสัมผัสถึงอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ จึงทำให้หลายคนสรุปเอาอย่างง่าย ๆ และผิด ๆ ว่าอะไรก็ตามที่พิสูจน์ไม่ได้โดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็เป็นอันว่ารับไม่ได้ งมงาย และไร้เหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อของคริสตชนที่เชื่อว่ามีพระเจ้า เป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพราะพระเจ้าไม่มีตัวตน และพิสูจน์ไม่ได้ ฉะนั้นปัญหาจึงมีอยู่ว่า "หลักการทางวิทยาศาสตร์" เป็นคำตอบเดียวและคำอธิบายเดียวสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างไหม ? หรือว่าเรามีหนทางอื่นที่นอกเหนือจากวิธีของวิทยาศาสตร์ในการอธิบายถึงความจริงของสรรพสิ่ง

ความจำกัดของวิทยาศาสตร์

ทุกคนที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้าง ย่อมตระหนักดีว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นมีขีดจำกัด เช่น

1. วิทยาศาสตร์ต้องอาศัยวิชาคำนวณเป็นพื้นฐาน ดังนั้นสิ่งที่เราจะเอามาพิสูจน์จึงต้องมีตัวตน คือ วัดได้ ชั่งได้ และตวงได้ ฯลฯ แต่ทุกคนทราบดีว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่วัดไม่ได้ ชั่งไม่ได้ ตวงไม่ได้ แต่ก็เป็นความจริง เป็นต้นว่า ความรัก และความยุติธรรม คงแปลกพิลึกถ้าใครก็ตามบอกกับคนรักของเขาว่า "ที่รัก ขอความรักให้ฉันสัก 2 กิโลกรัม" หรือบอกว่า "ให้ความยุติธรรมฉันสัก 3 ฟุต"

แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธมิใช่หรือว่า ความรัก และความยุติธรรมมีจริง ถึงแม้จะพิสูจน์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ตาม โดยเหตุผลเดียวกัน การที่เราพิสูจน์พระเจ้าไม่ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มิได้หมายความว่าไม่มีพระเจ้า เพราะยังมีความจริงอีกมากมาย นอกเหนือความจำกัดของวิธีทางวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่านั้น เราทุกคนยอมรับว่า วิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์ว่าไม่มีพระเจ้า

2. การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการทดลองหลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่นอนจากผลการทดลองเหล่านั้น ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดประกาศการค้นคิดใหม่ของตนโดยผ่านการทดลองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทุกคนทราบดีว่า เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เชื่อถือได้ ย่อมไม่สามารถผ่านกระบวนการได้ เพราะว่าทุกเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว และไม่มีทางที่จะให้เหตุการณ์เดียวกันนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อการทดลองได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธมิใช่หรือว่า เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ อย่างเช่น การเลิกทาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดขึ้นจริง โดยหลักการเดียวกันนี้

เราขอเสริมอีกสักนิดว่า การที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายการกำเนิดของจักรวาล จึงไม่ใช่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเชื่อดี ๆ นี่เอง เพราะย่อมไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดมีโอกาสยืนเฝ้าสังเกตการกำเนิดของจักรวาลว่าเกิดขึ้นอย่างไร หรือว่าจะทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำการทดลองก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การอธิบายของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลจึงเป็นการสันนิษฐาน พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่มีน้ำหนักมากกว่าที่พระเจ้าเปิดเผยความจริงผ่านพระคัมภีร์ที่ว่า

"ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน" (ปฐมกาล 1:1)

3. การอธิบายหรือพิสูจน์ทฤษฎีใด ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ จำต้องอาศัยหลักมูลฐาน หรือจุดเริ่มต้นที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐาน หรือเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ข้อสรุปของการศึกษาค้นคว้ามีทางผิดได้ ไม่ใช่ความจริงถูกต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป และจะขอเน้นอีกว่า หลักมูลฐานที่ว่านี้ พิสูจน์ไม่ได้ มันเป็นเพียงหลักสมมุติฐานที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นจริง ดังนั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่พ้นที่จะวางรากฐานบนความเชื่อ ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกได้เท่า ๆ กัน

โดยเหตุนี้ เราจึงสังเกตว่า ตำราเรียนทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง และทันสมัยอยู่เสมอ เพราะทฤษฎีใหม่ ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันตั้งขึ้น อาจจะไปขัดแย้งหรือหักล้างทฤษฎีเก่า ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์เคยพิสูจน์ว่าเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น

ก. นักวิทยาศาสตร์ในอดีตเคยคิดว่า สสารประกอบด้วยอนุภาคเล็กที่สุด คือ อะตอม ซึ่งแบ่งแยกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ต่อ ๆ มากลับพบว่า อะตอมสามารถแบ่งแยกออกเป็นอิเล็กตรอน โปรตรอน และนิวตรอนได้

ข. นักวิทยาศาสตร์ในอดีตเคยกล่าวว่า มวลสารเป็นพื้นฐานสำคัญของจักรวาล แต่อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก กลับยืนยันว่า แสงเป็นพื้นฐานของจักรวาล และท่านยังได้ให้สูตรเกี่ยวกับสัมพันธภาพ ซึ่งเขาค้นพบระหว่างแสง (พลังงาน) และสสาร (มวล) โดยมีสูตรว่า E=mc2 ซึ่ง c คือ ความเร็วของแสง ทฤษฎีสัมพันธภาพนี้ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขวิชานิวเคลียร์ฟิสิกส์

ข. นักวิทยาศาสตร์ที่สอนทางด้านวิวัฒนาการ เคยบอกว่า อวัยวะบางส่วนของพ่อแม่ที่ถูกเปลี่ยนโดยสิ่งแวดล้อม สามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์ไปสู่ลูกหลานได้ และเป็นเหตุทำให้เกิดวิวัฒนาการขึ้น ซึ่งเราเรียกทฤษฎีนี้ว่า "ทฤษฎีของการใช้และไม่ใช้" แต่ปัจจุบันนี้เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจนว่า พืช หรือสัตว์ทั้งหลายสืบทอดทางกรรมพันธุ์จากเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่ที่ผสมกัน แต่อวัยวะของพ่อแม่ที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยสิ่งแวดล้อมจะไม่สืบทอดทางกรรมพันธุ์ ไม่ว่ากรณีใด ๆ

เรายกตัวอย่างดังกล่าว เพียงต้องการยืนยันให้เห็นว่า ความจริงทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งผิดกับความจริงในพระคัมภีร์ซึ่งพระเจ้าเปิดเผยให้กับมนุษย์นั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางล้าสมัย และจะไม่มีทางผิดเพราะมันเป็นความจริงของพระเจ้า จึงขอถือโอกาสนี้ติงผู้เชื่อถือวิทยาศาสตร์อย่างฝังหัวและหลับหูหลับตาว่า คำสอนทางวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป และข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์ มีทางผิดพลาดได้ และสิ่งที่เราต้องระลึกไว้เสมอ คือ ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนหลักมูลฐาน ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือความเชื่อนั่นเอง

นักวิทยาศาสตร์กับพระเจ้า

แต่เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด เราขอเน้นว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง จะไม่ขัดแย้งกับความจริงของพระเจ้า เพราะทั้งสองอย่างนี้มาจากต้นตอเดียวกัน คือ พระเจ้า อย่างแรก เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ และอย่างที่สอง เป็นความจริงที่พระองค์ทรงเปิดเผยผ่านมนุษย์ทางพระคัมภีร์ ความจริงทั้งสองอย่างนี้จึงไม่ขัดแย้งกัน และขัดแย้งกันไม่ได้ เพียงแต่ว่าการเข้าไปสู่ความจริงของแต่ละอย่างนั้นไม่เหมือนกัน เพราะใช้คนละวิธีเพื่อเข้าไปสู่ความจริงและคนละด้าน

นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าความจริงด้านธรรมชาติ อันเป็นหัตถกิจของพระเจ้า โดยวิธีเฉพาะของตนเอง และฝ่ายคริสเตียนพบความจริงด้านจิตวิญญาณ ตามหลักการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ผ่านพระวจนะของพระเจ้า ทั้งสองฝ่ายไม่ขัดแย้งกัน (เว้นแต่ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น ๆ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ยังไม่ใช่ความจริงสมบูรณ์ และยังเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อย ๆ)

เพื่อยืนยันถึงความจริงข้อนี้ เราขอยกตัวอย่างเพื่อแสดงให้ท่านเห็นว่าบุคคลระดับโลกที่มนุษย์ยอมรับว่าเป็นคนมีเหตุผล และอาศัยเหตุผลพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ นั้น เขามีทรรศนะในเรื่องพระเจ้าอย่างไร ซึ่งหลายครั้งตำราเรียนทางวิทยาศาสตร์แทบจะไม่เอ่ยถึงชีวิตอีกด้านหนึ่งของเขาเหล่านั้น

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein, 1879-1955)

นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้คิดทฤษฎีสัมพันธภาพ กล่าวว่า

"ศาสนาของข้าพเจ้าประกอบด้วยการยกย่องถ่อมใจต่อองค์พระวิญญาณซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งไม่อาจจำกัดได้ และพระองค์ได้ทรงสำแดงพระองค์เองในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเราสามารถรู้ได้ด้วยจิตใจซึ่งอ่อนแอและบกพร่องของเรา ความคิดเรื่องพระเจ้าของข้าพเจ้าเกิดจากความแน่ใจอันลึกซึ้งฝ่ายอารมณ์ ถึงการทรงพระชนม์อยู่ของพลังฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งยิ่งใหญ่สูงสุดและหยั่งรู้เหตุและผลได้ ซึ่งพลังฤทธิ์เดจอำนาจนั้นได้สำแดงพระองค์เองในจักรวาลอันสลับซับซ้อนของพระองค์"

โรเบิร์ต บอยล์ (Robert Boyle, 1627-1691)

นักวิทยาศาสตร์ชาวไอริช ผู้ได้รับสมญานามว่า เป็นบิดาแห่งเคมีในสมัยปัจจุบัน และเป็นผู้ตั้งกฎของบอยล์ซึ่งกล่าวว่า "ความดันและปริมาตรของก๊าซ เมื่อคูณกัน ย่อมได้ผลคงที่ ถ้าอุณหภูมิคงที่"

แต่ท่านทราบไหมว่า แม้บอยล์จะมีความเปรื่องปราดทางวิทยาศาสตร์เพียงไรก็ตาม ท่านกลับเขียนความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์มากกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เสียอีก ท่านเคยกล่าวเน้นในผลงานของท่านครั้งแล้วครั้งเล่าว่า แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ท่านค้นคว้าและทดลองด้านวิทยาศาสตร์ก็คือ ท่านเพียงต้องการแสดงให้โลกเห็นถึงความสอดคล้องของพระคริสตธรรมคัมภีร์กับกฎต่าง ๆ ทางธรรมชาติ

ยิ่งกว่านั้น บอยล์ยังเป็นบุคคลที่สนใจศึกษาพระคัมภีร์อย่างแท้จริง จนถึงกับลงทุนเรียนภาษาฮีบรู อรามาอิก และซีเรีย เพื่อจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง

ไอแซค นิวตัน (Issac Newton, 1642-1727)

ท่านเป็นผู้ที่โลกยอมรับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกอย่างแท้จริง เพราะท่านเป็นผู้พัฒนาวิชาด้านแคลคูลัส เป็นผู้รวบรวมทฤษฎีเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ (Motion) เข้าเป็นระบบเดียวกัน และเป็นผู้ตั้งกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ฯลฯ ผลงานของท่านมากมาย จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นสูง เป็นท่านเซอร์ ของจักรภพอังกฤษ

แต่ท่านเชื่อไหมว่า นิวตันอธิบายเรื่องเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าคำนวณเป็นจำนวนคำแล้วเท่ากับ 1 ล้านคำ แต่ขณะเดียวกัน ท่านเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าถึง 1.4 ล้านคำ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีความรักและศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวาง

กาลิเลโอ (Gaileo, 1564-1641)

นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เป็นผู้คิดกล้องโทรทรรศน์ขึ้นเป็นคนแรก แต่สิ่งซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึงท่านผู้นี้ คือ ท่านเป็นนักศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ตัวยง ท่านเขียนหนังสืออธิบายความรู้เรื่องจักรวาลหลายร้อยหน้า โดยอ้างอิงจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ท่านกล่าวข้อความตอนหนึ่งไว้ว่า "พระคัมภีร์และธรรมชาติ ต่างเป็นผลโดยตรงจากพระดำรัสของพระเจ้า" "พระคัมภีร์เกิดขึ้นเพราะการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และธรรมชาติเกิดขึ้นจากการเชื่อฟังคำตรัสสั่งของพระองค์" เช่นในหนังสือปฐมกาลตอนหนึ่ง บันทึกว่า

"14 พระเจ้าตรัสว่า 'จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี

15 และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน' ก็เป็นดังนั้น" (ปฐมกาล 1:14-15)

จอห์น เคพเลอร์ (John Kepler, 1571-1630)

นักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทุกยุคทุกสมัย เป็นผู้ตั้งกฎสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการโคจรของดวงดาวต่าง ๆ อยู่ในรูปของวงรี ในขอบเขตคงที่ โดยที่ดวงดาวนั้น ๆ จะไม่ล้ำเขตวงรีนั้นเข้าไปภายในเลย ท่านจึงคิดว่าน่าจะมีหลักการบางอย่างที่สามารถอธิบายถึงปรากฎการณ์ของดวงดาวต่าง ๆ ในรูปวงรีในขอบเขตในสภาพที่ว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าหลักการนั้นคืออะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งอ่านพระคัมภีร์ประจำวันอยู่ ท่านพบข้อความตอนหนึ่งที่พระเยซูคริสต์กล่าวว่า

เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา" (ยอห์น 12:32)

ในทันใดนั้น ท่านเกิดความคิดแวบหนึ่งขึ้นมาว่า เป็นไปได้ที่ดวงดาวต่าง ๆ ดึงดูดกันและกันในห้วงอวกาศเหมือน ๆ กับคำสอนทางด้านจิตวิญญาณเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ที่สามารถดึงดูดคนจำนวนมากมาหาพระองค์ จึงทำให้ท่านตั้งกฎต่าง ๆ ว่าด้วยการโคจรของดวงดาว

ก่อนตาย เคพเลอร์ได้เขียนตำราว่าด้วยเหตุผลสนับสนุนความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ว่าเป็นพระคำของพระเจ้า

ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday, 1791-1867)

นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบหลักของกระแสไฟฟ้า ซึ่งกล่าวว่า "เมื่อเอาไฟฟ้าใส่ในน้ำยา เช่น ในการชุบทอง โลหะที่จับขั้วบวกจะมากน้อยตามกระแสไฟฟ้า" และท่านเป็นคนแรกที่อธิบายถึงอำนาจของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งน้อยคนจะรู้จักเกี่ยวกับท่านผู้นี้คือ ท่านเป็นนักเทศน์ฆราวาส ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ทุกอาทิตย์ในโบสถ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ณ กรุงลอนดอน แม้ปัจจุบันนี้คำเทศนาของท่านฟาราเดย์ประมาณ 150 เรื่อง ซึ่งไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ ก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในประเทศอังกฤษ ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่มีความศรัทธาในพระเจ้าอย่างแท้จริง

ที่กล่าวมาแล้ว เป็นเพียงตัวอย่างบางตัวอย่าง เพื่อชี้ให้เห็นว่า ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ขัดแย้งกับความเชื่อในพระเจ้าเลย เพราะผู้ที่ยิ่งศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เขาเห็นถึงความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์แห่งการเนรมิตสร้างขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเท่านั้น แม้ในปัจจุบันนี้ บุคคลระดับโลกเกือบทุกสาขาวิชา ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นคริสชนซึ่งมีความรักและความศรัทธาต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ

และเราขอเน้นข้อเท็จจริงสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งตำราทางวิทยาศาสตร์จะไม่กล่าวถึงเลย นั่นคือ แรงผลักดันสู่ความเจริญของการศึกษาวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน เริ่มต้นจากความนึกคิด (concept) เรื่องพระเจ้ามาก่อนสิ่งอื่นใด เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเกิดศักราชให้แก่การศึกษาวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน เริ่มต้นจากการศึกษาของเขาบนหลักสมมติฐานที่ว่า "จักรวาลนี้มีเหตุผล เพราะเบื้องหลังคือพระเจ้าผู้มีเหตุผล เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถใช้เหตุผลเข้าไปสู่การศึกษาข้อเท็จจริงนั้น ๆ" หลักสมมติฐานนี้สำคัญมาก มิฉะนั้นแล้วก็สุดวิสัยที่มนุษย์จะคิดค้นอะไรให้เป็นกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้ แต่เหตุผลนั้นคืออะไร เรามีหลักฐานใดบ้างไหมที่จะยืนยันว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ขอเชิญท่านศึกษาในบทต่อไปที่ว่าด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริง

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
จากหนังสือ เรื่อง พระเจ้ายุคอวกาศ
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com