ให้คำขอบคุณ

ในสังคมปัจจุบัน คำว่า "ขอบคุณ" ดูเหมือนจะหาฟังได้ยากขึ้นทุกที

บ่อยครั้ง ที่พ่อแม่ ทำดีต่อลูก แต่น้อยครั้งที่พวกท่านจะได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของผู้เป็นลูก

ผู้เป็นภรรยาที่ตื่นแต่เช้ามาจัดเตรียมอาหารให้สามี ก็มักจะไม่ค่อยได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของเขา

ผู้เป็นครู ที่พร่ำสอนศิษย์มาตลอดทั้งชั่วโมง หรือทั้งเทอม ก็ไม่ค่อยได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของสานุศิษย์ทั้งหลาย

นายจ้าง หรือหัวหน้างานที่จ้ำจี้จ้ำไชลูกจ้าง เพื่อหวังให้เขาได้ดี ก็ไม่ค่อยได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากของลูกน้องของตนเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน หลายครั้ง ลูก ๆ ก็ไม่ได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากผู้เป็นพ่อแม่ ในยามที่พวกเขาพยายามทำดี เอาใจพ่อแม่

สามีที่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ก็มักจไม่ได้ยินคำ "ขอบคุณ" จากภรรยาของตน

ลูกศิษย์ที่พยายามทำดีต่อครูผู้สอน แต่ก็อาจไม่เคยได้ลิ้มรสคำว่า "ขอบคุณ" จากท่านอาจารย์

และลูกจ้างที่กระทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็มักไม่ได้ยินคำว่า "ขอบคุณ" จากปากนายจ้างเลยก็มี

คำว่า "ขอบคุณ" นี้ แท้จริงแล้ว เป็นคำเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ที่ไม่ธรรมดา

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกไว้ว่า การรับใช้ ปรนนิบัติต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่ด้อยโอกาสกว่า จะเป็นเหตุให้เกิดการขอบพระคุณต่อกันและกัน และต่อพระเจ้า

"11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งโดยเราจัดแจก จะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า
12 เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้น มิใช่จะช่วยธรรมิกชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย" (2โครินธ์ 9:11-12)

ถ้าคุณรู้จักใช้คำ ๆ นี้ให้ถูกเวลา ถูกสถานที่ และถูกคน ความสุขจะบังเกิดแก่ทั้งผู้ให้ และรับคำ ๆ นี้ในบัดดล

ไม่เชื่อลองดูสิครับ !

การกล่าวคำขอบคุณไม่ทำให้ใครเจ็บลิ้น

อ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
จากหนังสือ การให้ มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
ตอน "ให้อย่างมีคุณค่า"

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com