มัทธิว 16

(26/09/2008)

ขอหมายสำคัญ

"1 พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีมาทดลองพระองค์ โดยขอให้พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้เห็น

2 พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า [“พอตกเย็นท่านทั้งหลายพูดว่า 'อากาศจะปลอดโปร่งเพราะท้องฟ้าสีแดง'

3 พอรุ่งเช้าพวกท่านก็พูดว่า 'วันนี้จะมีพายุฝนเพราะท้องฟ้าสีแดงและมืดครึ้ม' ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังรู้จักสังเกตและเข้าใจ แต่หมายสำคัญแห่งกาลเวลานี้พวกท่านกลับไม่เข้าใจ] (สำเนาโบราณบางฉบับ ไม่มีข้อความนี้)

4 คนในยุคชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าชอบแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขาทั้งหลาย เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น” แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจากพวกเขา" (มัทธิว 16:1-4 ThaiTSV2002)

มนุษย์ยังรู้จักสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ แต่เหล่าฟาริสีและสะดูสีกลับไม่ได้สังเกตสิ่งที่พระองค์สอนหรือกระทำ เพราะเขาไม่พอใจพระเยซู แต่ยังทดลองพระองค์อยู่เรื่อย ๆ เพื่อหาช่องทางที่จะฆ่าพระองค์เสีย

พระเยซูสั่งสอน ทำการอัศจรรย์ ประกาศเรื่องข่าวประเสริฐ ทรงสำแดงหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่ง หมายสำคัญ มีไว้เพื่อให้คนที่เห็นได้เชื่อ แต่สำหรับผู้ที่มาโดยผิดพระประสงค์ของพระเจ้า เขาจะไม่ได้อะไรเลย

เราจำเป็นต้องสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อเราจะมีมุมมองที่จะเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าได้ เพื่อเราจะมิเป็นดังเช่นฟาริสีและสะดูสีที่ได้พลาดไป เพราะเขาไม่พอใจ ปิดใจ และไม่ฟัง จนกระทั่งจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขน

หมายสำคัญ ก็เป็นดังเช่นกับเหตุการณ์ธรรมชาติ ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ ถ้าฟ้าแดง ฝนจะตกแน่นอน ซึ่งคงจะไม่คิดที่จะซักผ้าแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงสอน ให้สังเกตความเป็นไปในฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญในขณะที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ และเขาก็เห็นพระเยซูคริสต์ทำการอัศจรรย์ ทำการรักษาโรค ทำการสั่งสอนต่าง ๆ กล่าวถึงหมายสำคัญต่าง ๆ แต่พวกเขาไม่เข้าใจ

พระเยซูคริสต์ทรงบอกแก่เราล่วงหน้าในสิ่งที่จะเป็นไป ถ้าเราสังเกต เราจะรู้ว่ายุคนี้เป็นยุคสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่แค่ยุคสุดท้ายอย่างเดียว แต่เป็น "ปลายยุค" แปลว่า ใกล้จะถึงปลายสุดแล้ว

ในมัทธิว 24 ได้ทำนายชัดเจน ถ้าเราสังเกตความเป็นไป เราจะรู้ว่าเวลาใกล้หมดแล้ว โลกใกล้จะสิ้นสุดแล้ว แล้วเราก็จะรู้ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร เมื่อเราเห็นฟ้าแดง เราก็จะเริ่มรู้แล้วว่า ฝนตกแน่นอน ในปลายยุคก็เช่นกัน เราจะต้องเตรียมตัว เตรียมพร้อมต่อการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์

สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสนั้น สำเร็จทีละเหตุการณ์ ยิ่งทำให้เรามั่นใจ เราจึงรู้ได้ และสามารถเตรียมพร้อมได้ ผู้ที่เตรียมพร้อม ก็จะไม่พลาดสิ่งที่สำคัญในชีวิต ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่รู้ ไม่สังเกต ไม่สนใจ ก็จะทำให้เราไม่เตรียมพร้อม แล้วเราจะพลาด เราก็จะสะสมแสวงหาสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ แต่ไม่ฉวยโอกาสชีวิตนิรันดร์ และถ้าเราพลาดชีวิตนิรันดร์ เราก็จะพลาดตลอดไป ไม่สามารถแก้ตัวได้ ดังนั้น เราจะต้องแสวงหาพระเยซูคริสต์ แสวงหาสิ่งที่อยู่เบื้องบนมาก ๆ

พวกฟาริสี และสะดูสี ไม่ใส่ใจกับหมายสำคัญที่พระเยซูคริสต์ทรงสำแดง พระองค์จึงทรงตรัสว่าพวกเขาอย่างแรงว่า "คนชาติชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น"

เมืองนี่นะเวห์เป็นเมืองใหญ่ มีประชากรอยู่ 2 แสนคน พระเจ้าจะทำลายเมืองนี้ แต่พระองค์ทรงส่งโยนาห์ไป เพื่อประกาศให้พวกชาวเมืองกลับใจจากความชั่วร้าย แล้วในที่สุดชาวเมืองก็กลับใจ จึงรอดพ้นจากการถูกทำลายในที่สุด

หมายสำคัญของโยนาห์ ก็คือ การกลับใจของชาวเมืองนีนะเวห์ ซึ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญที่พระเจ้าทรงให้ หมายสำคัญนี้ ไม่ใช่ตัวของโยนาห์ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้โยนาห์ไป เพื่อให้ชาวนีนะเวห์กลับใจ ถ้าไม่มีการกลับใจ ไม่หันมาหาพระเจ้า ก็จะต้องประสบกับความพินาศ แต่ตรงกันข้าม ดังเช่นเดียวกับ ชาวเมืองนีนะเวห์ ถ้าหากว่าเรากลับใจมาเชื่อในพระเยซู ก็จะได้รับความรอด และไม่พลาดแผ่นดินสวรรค์

หมายสำคัญที่สำคัญที่พระเยซูทรงทำ ก็คือ การรักษาโรคให้หาย ให้พ้นจากอำนาจของบาป ให้พ้นจากการเจ็บป่วย พระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นจากการเจ็บป่วยทุกคน เราจะต้องสังเกต เพื่อเราจะดำเนินในวิถีทางที่เป็นแผนการของพระเจ้า

พวกฟาริสีพลาดสิ่งดีไป เพราะเขาแสวงหาหมายสำคัญ เพื่อจับผิด และทำร้ายพระองค์ ซึ่งหมายสำคัญที่เหมาะกับคนในสมัยนั้น ก็คือ หมายสำคัญของโยนาห์ ก็คือ ถ้าไม่กลับใจ ก็พินาศ แต่ถ้ากลับใจ ก็รอด

ในกาลนี้ ถ้าเราสังเกตแผนการของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเรา เราก็จะเต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ความสุข ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ เราควรจะยึดหมายสำคัญนี้เอาไว้

คำยอมรับของเปโตร

"13 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียา ฟีลิปปี จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า 'คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด'

14 เขาจึงทูลตอบว่า 'เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่นว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ'

15 พระองค์ตรัสถามเขาว่า 'แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร'

16 ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า 'พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่'

17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า 'ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ

18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้

19 เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย'

20 แล้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเหล่าสาวกของพระองค์มิให้บอกผู้ใดว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์" (มัทธิว 16:13-20 ThaiTSV2002)

คนทั้งหลาย กับสาวกของพระองค์นั้น ต่างกัน คนอื่น ๆ มิได้อยู่กับพระเยซูตลอดเวลา ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะว่าถึงพระองค์อย่างไร พระองค์ก็มิได้ทรงใส่พระทัยมากนัก แต่ที่พระองค์ทรงสนพระทัยอย่างมาก ก็คือ คนใกล้ชิดกับพระองค์ เหล่าสาวกของพระองค์ ว่าพวกเขาคิดว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด ซึ่งอาจารย์เปโตรบอกว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"

แล้วพระเยซูทรงตรัสตอบ อาจารย์เปโตรว่า "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ"

คนที่จะมาถึงความจริงของพระเจ้า จะมาด้วยลำพังของเขาเองไม่ได้เลย เพราะมนุษย์เป็นทาสของบาป บาปกั้นระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า จึงตัดขาดระหว่างกับมนุษย์กับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง

ตั้งแต่มนุษย์ทำบาปมา มีแต่พระเจ้าที่ทรงเปิดเผย ปรากฏให้แก่มนุษย์เสมอ มนุษย์ไม่สามารถที่จะหาพระเจ้าพบได้ นอกจากที่พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เรา ดังนั้นการที่เรารู้จักพระเจ้าได้นั้น เป็นพระคุณและพระเมตตาที่ทรงมีแก่มนุษย์อย่างยิ่ง

อาจารย์เปโตรบอกว่า "พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า" แน่นอน ที่อาจารย์เปโตรทราบดังนี้ มิใช่เกิดจากที่เขาเข้าใจเองอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงแจ้งให้ท่านทราบ

พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนที่จะทรงสร้างโลกแล้ว พระองค์ทรงมีแผนการที่จะเลือกใครไว้แล้ว และ พระเยซูทรงตรัสว่า

"แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา" (ยอห์น 10:27 ThaiTSV2002)

คนที่เป็นแกะของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า จะมีธรรมชาติดังนี้ คือ เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงแก่เขา เมื่อได้ยินเรื่องราวของพระเจ้าแล้ว ก็จะยอมรับความจริงว่ามีพระเจ้า และเมื่อยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ก็จะเชื่อถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และจะยิ่งเห็นถึงการอัศจรรย์ เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสำแดงให้แก่อาจารย์เปโตร และสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ก็เพราะอาจารย์เปโตรมีความเชื่อ ดังที่พระเจ้าทรงพอพระทัยในตัวอับราฮัม เพราะความเชื่อของเขา ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวของอับราฮัมก็ไม่เชื่อพระเจ้า แต่อับราฮัมมีความเชื่อนั้น ยอมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ทรงพอพระทัยอย่างมาก

คริสตจักรของพระเจ้า ก็ตั้งอยู่บนความเชื่อของเปโตรนี้ มิใช่อยู่ที่ตัวของท่านเปโตร มิใช่หมายถึงตัวบุคคล แต่พระเยซูคริสต์ทรงหมายถึง ความเชื่อแบบอาจารย์เปโตร เชื่อมั่นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งเป็นความเชื่อที่พระเจ้าจะทรงอวยพรอย่างแน่นอน เหมือนที่พระเจ่าทรงอวยพรลูกหลานของอับราฮัม บนความเชื่อของอับราฮัม

พลังแห่งความตาย จะไม่มีต่อคนทั้งหลายที่อยู่บนรากฐานของคริสตจักรนี้ คนที่มีความเชื่อแบบอาจารย์เปโตร จะได้รับมรดกแห่งความรอด บนความเชื่อนี้

พระองค์ก็ทรงมอบสิทธิอำนาจให้แก่อาจารย์เปโตรที่จะถือกุญแจแผ่นดินสวรรค์นั้น มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ไม่มีกฎเกณฑ์เฉพาะ แต่พระเจ้าทรงเปิดโอกาสที่คริสตจักรจะใช้ในการตัดสิน ว่าจะกล่าวอนุญาตสิ่งใด และจะกล่าวห้ามสิ่งใด และถ้าคริสตจักรเข้าใจ และมีความเชื่อ เข้าใจพระทัยของพระเจ้า คริสตจักรก็จะสามารถใช้สิทธิอำนาจนั้นในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นได้

ความเชื่อ เป็นรากฐานที่พระเจ้าทรงโปรดปราน ความเชื่อแบบโลก ต้องหาอะไรยืนยันพิสูจน์ แต่แบบอย่างความเชื่อแบบอับราฮัมไม่มีอะไรยืนยัน พระเจ้าทรงตรัสเพียงแค่ว่า พระองค์เป็นพระเจ้า อับราฮัมก็ดำเนินตามรอยพระองค์ทันที ท่านไม่ต้องพิสูจน์อย่างแจ่มแจ้งจึงจะเชื่อ

"ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น (แปลได้อีกว่า ความเชื่อคือแก่นแท้ของสิ่งที่หวังไว้ เป็นข้อพิสูจน์ของสิ่งที่มองไม่เห็น)" (ฮีบรู 11:1 ThaiTSV2002)

เราไม่เห็นพระเจ้า แต่มั่นใจ เพราะพระองค์ทรงฤทธานุภาพ พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศ และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ความจริงก็จะปรากฏในชีวิต การอัศจรรย์ก็จะเกิดในชีวิต

โดยความเชื่อนี้เอง เราจะพบพระสัญญา และฤทธานุภาพของพระองค์ และด้วยเหตุความจริงนี้ จึงขอที่เราจะยึดมั่นใจความเชื่อนี้

ในปัจจุบัน ก็ยังเป็นเช่นนั้น มีคนที่เมื่อพระเจ้าทรงเรียก เปิดใจ มีความเชื่อ แล้วฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ปรากฏชัดในตัวเขา เขาก็ได้รับการรักษาให้หายจากโรค เขาก็ได้พบกับความจริง สันติสุข เขาก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปรากฏชัดในชีวิตของเขาเอง

มีคนเชื่อทีไหน หมายสำคัญก็เกิดขึ้นที่นั่น

"17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ

18 พวกเขาจะจับงูได้ด้วยมือเปล่า ถ้าพวกเขากินยาพิษใดๆ มันจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเขา และพวกเขาจะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค" (มาระโก 16:17-18 ThaiTSV2002)

จึงอยากขอหนุนใจที่เราจะกล้าที่จะเชื่อ กล้าที่จะมาหาพระเจ้า แล้วเราก็จะเห็นถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าแน่นอน

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com