คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเพราะเป็นเทศกาลของโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรายการวิทยุ โทรทัศน์ หรือ เสียงเพลงจากห้างสรรพสินค้า สถานเริงรมย์ ร้านเหล้าเพื่อชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ อาบ-อบ-นวด ก็ประดับประดาตกแต่งต้นคริสต์มาส และฉลองเทศกาลคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีไฟประดับที่สวยงามตระการก็ยังเป็นของห้างสรรพสินค้าใหญ่และมีชื่อ โบสถ์ของคริสเตียนยังสู้ไม่ได้กับการตกแต่งที่อลังการของสถานที่เหล่านั้น
เด็ก ๆ พากันตื่นเต้นเพราะเป็นช่วงที่จะได้ของขวัญ ถ้าเป็นประเพณีของชาวตะวันตกก็เห็นภาพของเด็ก ๆ ที่เอาถุงเท้าสีสันสวยงามมาแขวนตามเตาผิง หรือ ตามฝาบ้าน ข้าพเจ้าเคยเห็นที่บ้านมิชชันนารี เมื่อไปเยี่ยมท่านในช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี้
ที่บ้านของข้าพเจ้าเคยแขวนถุงเท้าเหมือนกัน แต่ไม่มีของขวัญในถุงเท้าเลย เพียงตกแต่งให้สวยงามเท่านั้น (ขอเท่ห์บ้าง)
ครั้งแรกที่มีการฉลองเทศกาลคริสต์มาส เกิดขึ้นในกรุงโรม ราว ค.ศ. 330 และได้มีการแผ่ขยายไปตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
แต่ที่อัศจรรย์ใจอย่างหนึ่ง กรุงโรมเป็นประเทศที่ต่อต้านการประสูติของพระเยซูคริสต์ ถึงขั้นที่มีคำสั่งฆ่าเด็กอายุตั้งแต่สองขวบลงมา ซึ่งก็รวมถึงพระกุมารเยซูด้วยในเวลานั้น หัวข้อนี้ข้าพเจ้าจะอธิบายในหน้าต่อ ๆ ไป
ถ้าจะให้ตอบแบบฟันธงว่า พระเยซูคริสต์ประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม ก็คงตอบว่า "ไม่ทราบ" เหตุผลก็เพราะว่า คนในสมัยนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจดบันทึกวันเกิดของบุคคลไว้
แล้วอะไรที่ทำให้ต้องเลือกวันที่ 25 ธันวาคม ก็เพราะว่า ผู้ปกครอง จักรพรรดิ์โรมัน และผู้ปกครองขั้นสูง ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจึงเลิกบูชาดวงอาทิตย์ หันมาเฉลิมฉลองวันประสูติของพระคริสต์แทน ทุกปีในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 336 ซึ่งบันทึกไว้ในเอกสารราชการของโรม
"การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" (กิจการ 20:35)
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ในจิตใจของผู้ให้ทุกคนมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ ความสุขที่ได้รับอาจเป็นแค่นามธรรม ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน
การให้ของขวัญในเทศกาลคริสต์มาส เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมานานไม่น้อยกว่าสองพันปี เมื่อโหราจารย์ได้พบพระเยซู ก็ได้นำของมาถวาย ในสมัยกษัตริย์เฮนรี่ส์ที่ 7 ของประเทศอังกฤษ ที่ประชาชนและข้าราชการต่าง ๆ ต้องการแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายของให้พระองค์ จึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อ ๆ กันมา
ข้าพเจ้าได้ตอบจดหมายคุณผู้ฟังที่เขียนเข้ามาพูดคุย บอกจากใจจริงเลยว่า ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายของคุณผู้ฟังมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
บัตรอวยพรก็ทำนองเดียวกัน ราคาค่างวดอาจไม่แพง แต่สำหรับผู้ที่ได้รับเทียบไม่ได้กับมูลค่าทางจิตใจ
ทุก ๆ ปี เมื่อเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ผู้สื่อข่าวจะไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ว่าพร้อมมั้ยที่จะรับมือกับบัตรอวยพรต่าง ๆ จำนวนมากมาย ที่ประชาชนจะมาใช้บริการ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะดูเหมือนยังไม่ค่อยปกติ แต่หามีผลกระทบกับยอดของการส่งบัตรอวยพรไม่
ที่สำนักงานของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ทุก ๆ ปี ผู้ฟังจะส่งจดหมายพร้อมบัตรอวยพรมามากมาย จนได้ทำราวไว้สำหรับแขวนบัตรอวยพร โดยใช้เชือกขึงกับเสา ไม่น้อยกว่าสามราว นี่แสดงว่ามีคนรักและห่วงใยทีมงานของเราอยู่จริงไหมครับ
บัตรอวยพรคริสต์มาสใบแรกที่เกิดขึ้นอยู่ในปี ค.ศ. 1843 โดย เซอร์เฮ็นรี่ โคล เขาได้ถวายพระพรให้กับพระราชินีแห่งอังกฤษและพระสวามี
ในปีเดียวกัน บริษัท London Co.Ltd ได้ผลิตบัตรอวยพรออกมาจำหน่ายเป็นครั้งแรก และพัฒนาเรื่อยมาในเรื่องของสีสันและความสวยงาม ปัจจุบันบัตรอวยพรได้พัฒนามากขึ้น จนถึงขั้นมีเสียงเพลงออกมา แน่นอนราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
จนปัจจุบันเมื่อซื้อบัตรอวยพร บางใบมีราคาเป็นร้อยกว่าบาท ข้าพเจ้าคิดในใจว่าผู้ขายคงมุ่งหวังที่จะได้ผลกำไรมากกว่าที่จะสื่อความหมายที่แท้จริงในเทศกาลคริสต์มาส ส่วนผู้ซื้อเราควรจะมองที่คุณค่าและความต้องการสื่อความหมายที่แท้จริงมากกว่าราคาที่แพง ซึ่งเป็นเพียงคุณค่าทางวัตถุนิยมและเป็นค่านิยมที่ไม่ควรเลียนแบบ เห็นด้วยไหมครับ
พิทยา ธานี
จากหนังสือ ใช่เลย คริสต์มาส
สื่อมวลชนผู้ประกาศข่าวประเสริฐ
ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน
ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com