คนที่คิดว่าใช่

ฉันมาจากครอบครัวคนจีนที่มีอากง-อาม่าอพยพมาจากประเทศจีน มาตั้งหลักปักฐานและทำการค้าในประเทศไทย บ้านของเรามีกิจการขายวัสดุก่อสร้างอยู่แถวหัวลำโพง เราอยู่กัน 4 ครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ รวมอากง อาม่า ลูกๆ หลานๆ ก็ 20 คนพอดี

ตอนฉันเรียนจบ ป.6 พ่อไปติดนักเรียนหญิงอาชีวะ เป็นเหตุให้แม่พาฉันและน้องๆ อีก 2 คนเดินทางไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านญาติห่างๆ ที่ขอนแก่น ทีแรกฉันนึกว่าเราจะไปเที่ยวกันแค่ไม่กี่วัน แต่แม่ไม่อยากกลับมาสู่สภาพเดิมๆ อีกแล้ว แม่เจ็บปวดทุกข์ใจ หมดสติในห้องน้ำหลายหน และต้องไปพบจิตแพทย์ทุกๆ เดือน แม่เคยไปกระโดดน้ำที่ริมคลองผดุงกรุงเกษมตอนกลางคืน เพื่อเป็นทางออกจากปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แต่โชคคงยังเข้าข้างพวกเรา เพราะมีคนช่วยแม่ไว้ทัน ญาติๆ จึงแนะนำให้แม่พาลูกๆ ไปพักผ่อนสักระยะ

ฉันและน้องชายเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนคาทอลิคแห่งหนึ่งในจังหวัด หลายสิ่งหลายอย่างเป็นสิ่งใหม่ทำให้พวกเรารู้สึกตื่นเต้นกับทุกๆ วัน จนไม่รู้สึกคิดถึงพ่อ แต่ความสุขตรงนั้นก็อยู่กับพวกเราไม่นาน เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนก็มีเหตุให้แม่ต้องพาน้องสาวคนเล็กวัย 3 ขวบกลับกรุงเทพฯ เพื่อมาหย่าร้างกับพ่อตามกฎหมาย เด็กอายุ 13 และ 9 ปี จึงถูกทิ้งให้อยู่กันตามลำพังกับญาติที่นั่น

ทุกๆ วัน เรา 2 คนพี่น้องจะโหนรถสองแถวไปโรงเรียน มีเงินติดตัวคนละ 10 บาท เพียงพอสำหรับค่ารถไป-กลับ และค่าข้าวกลางวัน อย่าหวังเลยว่าจะได้ดื่มน้ำอัดลม หรือกินขนมอย่างที่เพื่อนๆ ซื้อกินกัน พวกเราดื่มน้ำจากก๊อกซึ่งโรงเรียนยืนยันว่าปลอดภัย ถ้าวันไหนโชคดี ลุงมาดักรอก่อนขึ้นรถ เราก็จะได้เงินเพิ่มอีกคนละ 2 บาทเพื่อไปซื้อขนมกินอย่างคนอื่นเขาบ้าง

ตกตอนเย็นพวกเรามักเดินไปดูลิเกที่ตลาด ในเวลานั้นความเข้าใจของเราไม่กว้างนัก เมื่อพระเอกลิเกลงจากเวทีถือขันมาเรี่ยรายเงินเมื่อไร คือ เวลาที่เราต้องวิ่งหนีกลับบ้าน เพราะไม่มีเงินติดตัวมาสักนิด แต่ก็ยังอยากมาดูทุกวัน เพื่อให้เวลาผ่านไปเร็วๆ พลบค่ำอีกครั้ง เราจะได้เข้านอน อย่างน้อยก็ทำให้น้องชายของฉันลืมความทุกข์โศกไปได้บ้าง เพราะตั้งแต่วันที่แม่และน้องสาวกลับไป เขาก็มักจะเกาะลูกกรงที่หน้าต่างร้องไห้เงียบๆ คนเดียว สายตาเลื่อนลอยไปสู่ท้องฟ้าเบื้องหน้า ด้วยความสับสนกับชะตาชีวิตที่ใครบางคนกำหนดมาให้

เมื่อสอบปลายภาคเสร็จเรียบร้อย วันที่พวกเรารอคอยก็มาถึง พ่อไปรับเราขึ้นรถไฟกลับมายังบ้านเกิดที่หัวลำโพง แต่พ่อก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ตามประสาผู้ชายที่ไปติดสาววัยรุ่น ชีวิตของฉันจึงเติบโตมากับย่า ลุง ป้า อาผู้ชาย อาสะใภ้ และลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคน คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านก็เห็นจะเป็นน้องชายของพ่อ หรือที่ฉันเรียกว่า อาเจ็ก อาเป็นคนปากร้ายใจดี อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ใครๆ ในบ้านก็เกรงกลัวอาเป็นที่สุด และก็รักอามากที่สุดเช่นกัน เพราะอาเจ็กเป็นคนทำมาหากินเก่ง เรียนมาสูงกว่าบรรดาพี่น้องในบ้าน ตอนฉันเรียนอยู่ชั้นประถม อาเจ็กมีหน้าที่ขับรถกระบะรับส่งหลานๆ 10 คนไปโรงเรียนทุกวัน พวกเราจึงรักและเคารพอา เพราะอารักพวกเราเหมือนลูกในไส้ก็ว่าได้


"เจ็ก เค็งจะขอไปเที่ยวออสเตรเลีย 1 เดือนได้ไหม ลางานไป" ฉันแอบดูท่าทีของอามาหลายวัน และคิดว่าวันนี้อาคงอารมณ์ดีพอที่จะตอบคำถามของฉัน

"แล้วที่ธนาคารฯ เขายอมให้ลางานเหรอ ตั้ง 1 เดือน ไปทำอะไร ไปหาใคร" อานั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ โดยไม่มองหน้าฉันเลย

"ก็จะไปเที่ยวบ้านแฟน" ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนนัก

อาเจ็กเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ "ไปพาแฟนมาพบญาติๆ ก่อน หมั้นหมายกันให้เรียบร้อย แล้วค่อยไป" แล้วอาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง เหมือนจะบอกว่าไม่อยากรับฟัง

"เขามาทำธุระเพิ่งกลับไป ตอนนี้ต้องทำงานมาไม่ได้หรอก ปีนี้เค็งอายุ 28 แล้วนะ ดูแลตัวเองได้" ฉันพยายามจะโน้มน้าวใจให้อาเจ็กอนุญาต แต่ก็ต้องหยุดพูดกระทันหัน เมื่ออาเจ็กลุกขึ้นยืนตะเบ็งเสียงแข็ง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว

"โง่หรือเปล่า เดี๋ยวก็โดนหลอกไปขายหรอก มันจะรักเราจริงหรือเปล่า เคยเจอกันกี่ครั้ง"

ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้อาฟัง ฉันกับนีลรู้จักกันโดยบังเอิญตอนที่เขามาดูลู่ทางการผลิตหนังสือ "The Chef’s good food guide" ของเขาในประเทศไทย เขาเป็นนักเขียนแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ทำเลและบรรยากาศดีๆ ให้กับผู้คนที่จะไปเที่ยวในแต่ละเมืองได้เลือกสรรว่า คืนนี้จะไปดินเนอร์ที่ไหน ฉันพบนีลเพียงแค่ไม่กี่วัน เขาก็ต้องกลับซิดนีย์เพื่อไปทำงานต่อ หลังจากนั้น เราโทรศัพท์คุยกันทุกวัน อีกทั้งเขายังส่งอีเมลมาวันละหลายๆ ฉบับ

นีลเป็นชายวัยกลางคนที่มีผมสีดำปนเทา ไม่ใช่ฝรั่งผมทองที่พบเห็นกันบ่อยๆ เพื่อนของฉันเคยหยอกล้อว่า เขาหน้าตาเหมือนริชาร์ด เกียร์ เพียงแต่ดูแก่กว่านิดหน่อย เขาหย่าร้างกับภรรยาเก่าได้ 2 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน เมลานีอายุ 12 ปี แซม 9 ปี ล็อกกี้ 7 ปี ฉันก็รู้เรื่องราวของเขาเท่านี้ แล้วฉันจะบรรยายอะไรให้อาเจ็กฟังได้

วันหนึ่งนีลบอกฉันทางโทรศัพท์ว่า "สรินยา ผมอยากให้คุณมาฉลองคริสต์มาสกับผมและเด็กๆ ที่นี่ ผมจะออกค่าใช้จ่ายให้คุณในการเดินทาง มาหาผมนะ ผมเชื่อว่า ลูกๆ ของผมจะต้องชอบคุณ" ฉันตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้รับคำเชิญ และก็ดีใจที่จะได้พบกับเขาอีกครั้ง ฉันอยากเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในที่ที่ไม่มีฉันอยู่ด้วย

แม้จะรู้จักกันไม่นาน ฉันก็เชื่อว่า ลูกๆ เป็นดวงใจของเขา เขารักลูกๆ ทุกคนมาก แต่ด้วยความล้มเหลวทางการเงินในอดีตทำให้แม่ของเด็กๆ พาลูกทั้ง 3 คน เก็บข้าวของออกจากบ้านไป เพราะเธอเชื่อว่า การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือ single mum นั้น เธอจะได้รับค่าเช่าบ้านและเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมากพอ และมีความสุขมากกว่าการต้องอดทนใช้ชีวิตกับคนที่ล้มละลาย

ฉันเองมาจากครอบครัวที่แตกแยก ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เสาะแสวงหาความรักจากผู้ชายสักคนที่จะมาเป็นผู้นำให้กับครอบครัว รักและดูแลฉัน ชดเชยสิ่งที่ฉันไม่เคยได้รับในวัยเด็ก เมื่อได้พบนีล ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเวลาที่เขาพูดถึงลูกๆ ความรักที่เขามีให้กับฉันนั้นมากพอที่จะบดบังอดีตที่ไม่สำคัญในสายตาของฉันอีกต่อไป และหวังว่าเราจะสร้างครอบครัวใหม่อันอบอุ่นด้วยกันในอนาคต

"นีล ฉันขออนุญาตอาแล้ว อาบอกว่า ถ้าไปแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมา" ฉันเล่าให้นีลฟังถึงคำลั่นวาจา ของอาเจ็ก

"ถ้างั้นคุณก็ไม่ต้องกลับไป ผมจะเลี้ยงดูและรับผิดชอบชีวิตของคุณเอง ผมจะรอคุณนะ ที่รัก"

นี่คือ คำมั่นสัญญาที่เขามอบให้ ฉันจึงเก็บข้าวของ ลาออกจากงาน และเดินทางไปออสเตรเลีย วันที่ฉันจะออกเดินทาง ไม่มีใครอยู่บ้านเพื่อเอ่ยคำร่ำลากับฉัน ดูเหมือนพวกเขาจะพร้อมใจกันออกไปธุระ อาจเป็นเพราะว่า "ไม่ต้องการเห็นฉันจากไป" หรือ "เสียใจที่ไม่สามารถฉุดรั้งหลานที่ดื้อรั้นอย่างฉันไว้ได้"


"นีล วันนี้ตำรวจมาทำไม" ฉันถามด้วยความสงสัยหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ เพราะเห็นตำรวจ 2 นายเข้ามาที่ออฟฟิศเมื่อตอนกลางวัน

"ไม่มีอะไร เขาแวะมาคุยเฉยๆ" เขาตอบโดยไม่สบตา และรีบเดินหนีกลับเข้าห้องทำงาน

นีลและเอเดรียนซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัท เช่าบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ ใจกลางดับเบิ้ลเบย์ แหล่งรวมร้านอาหารของคนมีระดับกลางกรุงซิดนีย์ ด้วยค่าเช่าที่สูงเทียบกับบ้านเดี่ยวบนถนนสาทรบ้านเราก็ว่าได้ แต่นีลว่ามันคุ้มค่ากับธุรกิจขายโฆษณาและหนังสือแนะนำร้านอาหารที่เขาทำอยู่

เมื่อเดินผ่านรั้วเข้าสู่บริเวณบ้าน ด้านขวาเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่ มองเห็นบันไดปูนคดเป็นรูปตัวแอลที่พาผู้มาเยือนขึ้นสู่ระเบียงกว้างหน้าบ้าน จุดชมวิวที่สวยที่สุดสำหรับผู้มาเยือน ผ่านประตูใหญ่เข้าไปคือ แผนกต้อนรับ และโต๊ะทำงานสำหรับพนักงาน 3-4 คน นีลและเอเดรียนมีห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งติดกับห้องรับแขกที่เป็นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวของเราเท่านั้น ใต้ถุนบ้านเป็นบ้านพักส่วนตัวของเอเดรียนที่ใหญ่พอดูสำหรับหนุ่มโสดอย่างเขา ด้านหลังบ้านยังประกอบไปด้วยห้องนอน 4 ห้อง สำหรับเราและเด็กๆ ทั้ง 3 ที่มาพักเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ รวมไปถึงห้องครัวที่ไม่มีพนักงานเข้ามาวุ่นวายกับการทำอาหารของฉันมากนัก แม้กระนั้น การมาเยือนของตำรวจก็ไม่ได้เล็ดลอดผ่านสายตาของฉัน พวกเขามาทำไม?

นีลติดไวน์แดงเป็นชีวิตจิตใจ ทุกวันหลังเที่ยงเขาและเอเดรียนจะเริ่มดื่มไวน์กันในขณะที่ประชุมธุรกิจ นีลจะดื่มเช่นนี้ทุกวันจนสุดท้ายจะมานั่งหลับอยู่ที่ห้องรับแขกจนถึงตี 1 ตี 2 ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่ฉันจะเข้าไปในห้องทำงานของเขา ฉันต้องรู้ให้ได้ว่า ตำรวจมาด้วยเรื่องอะไร อาชีพเลขานุการเก่าอย่างฉัน เก่งนักกับเรื่องเอกสาร หาสาเหตุแค่นี้คงไม่ยากจนเกินความสามารถ


ฉันไม่พบอะไรมาก นอกจากบิลค่าเช่าบ้านที่บริษัทยังไม่ได้จ่ายให้กับเจ้าของบ้านมาเกือบ 6 เดือน และคำร้องเรียนจากร้านอาหารหลายแห่งที่จ่ายเงินให้กับบริษัท เพื่อตีพิมพ์โฆษณาร้านของพวกเขาในหนังสือ พวกเขาจ่ายเงินล่วงหน้ามาเกือบปีแล้ว ไหนล่ะ หนังสือที่สัญญาไว้ว่าจะออกวางแผงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ฉันตอบได้โดยไม่ต้องคิดนาน เพราะว่าทั้งนีลและเอเดรียนมีสไตล์การใช้ชีวิตแบบหรูหราและฟุ่มเฟือยเกินกว่ากำลังของตน พวกเขาผลัดกันไปถอยรถเปิดประทุนมาขับด้วยเงินดาวน์เพียงเล็กน้อย พอหมดปัญญาผ่อน บริษัทขายรถก็มายึดรถกลับไป ทุกวันศุกร์พวกเขาจะสั่งซื้อไวน์ 2 ลัง รวม 24 ขวด ไว้ดื่มในเวลาประชุมและบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท นีลไม่เคยส่งเงินให้ภรรยาเก่าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันของลูกทั้ง 3 คน แต่เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์นีลจะซื้อของเล่นราคาแพงให้ลูกๆ เพื่อเป็นการประชดประชันที่ทิ้งเขาไป ด้วยสาเหตุหลายๆ ประการ ฉันจึงไม่แปลกใจที่บริษัทไม่มีเงินเหลือพอที่จะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้

หลายเดือนที่ผ่านมา ฉันเริ่มถามตัวเองเช่นกันว่า ลูกน้อยของฉันจะต้องเกิดมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้หรือ และเราจะมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ แต่ฉันก็ไม่อยากให้ลูกเกิดมาแบบไม่มีพ่อ ฉันคงแก้ไขอะไรไม่ได้มากนัก อย่างไรเขาก็เป็นพ่อของลูก

ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะทำงาน มือของฉันสะกิดไปโดนเม้าส์ แล้วภาพที่เปิดค้างไว้ก็ปรากฎขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ หัวใจของฉันหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้ากับภาพที่ได้เห็น "หล่อนคือใคร" แล้วเขามีภาพของเธอได้อย่างไร ทำไมมีแต่ภาพใส่ชุดวาบหวิวเช่นนี้

เธอชื่อ ‘เฮเลน’ เป็นสาวจากประเทศยูเครน ดูเหมือนว่าพวกเขาพบกันทางอินเตอร์เน็ต เฮเลนมีลูกสาววัย 5 ขวบที่ต้องเลี้ยงดูตามลำพัง ตัวเองทำงานเป็นคนปล่อยคิวรถแท็กซี่และมีรายได้ไม่มากนัก นีลส่งเงินไปให้เธอ 100 เหรียญเพื่อซื้อกล้องไว้ถ่ายภาพสวยๆ มาอวดเขา นีลมีแผนการจะเดินทางไปพบเฮเลนที่ยูเครนในอีกไม่กี่สัปดาห์ มิน่าล่ะ ถึงรีบขับไสไล่ส่งให้ฉันกลับไปคลอดลูกที่เมืองไทย ด้วยเหตุผลเพียงแค่ "เราไปกันไม่ได้ เรามีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนกัน"

ฉันพบรหัสเข้าอีเมลของนีลจากปกหลังของสมุดบันทึกที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน เป็นเวลากว่าชั่วโมงที่ฉันเปิดดูจดหมายทุกฉบับที่พวกเขาเขียนถึงกัน เรื่องราวดำเนินมาเกือบ 2 เดือนโดยที่ฉันไม่รู้สาเหตุความเปลี่ยนแปลงของเขา เช่นนี้นี่เอง ยัยเฮเลน ฉันจะต้องเขียนถึงเธอ

ฉันไม่รอช้าส่งอีเมลหาเฮเลนเพื่ออธิบายตัวตนที่แท้จริงของนีลและตักเตือนเฮเลนถึงพฤติกรรมของเขา "เขามีลูก 3 คนที่ไม่ค่อยได้ส่งเสียเลี้ยงดู และกำลังจะมีลูกกับฉัน เธอยังจะแย่งเขาไปจากฉันได้ลงคอหรือ"

เฮเลนโทรบอกนีลในวันรุ่งขึ้น ถึงอีเมลที่ได้รับจากฉัน เธอยังส่งอีเมลมาหาเขาอีกฉบับว่า เธอไม่แคร์กับสิ่งที่ได้ยินจากฉันหรอก เธอมั่นใจว่า นีลไม่ได้รักฉันแล้ว


หลายวันต่อมา หลังจากที่ฉันหมดน้ำตาไปมาก แต่ท่าทีของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ฉันยังแอบอ่านอีเมลที่พวกเขามีถึงกันทุกวัน ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่ยอมเปลี่ยนรหัสเข้าบัญชี อาจเป็นเพราะว่า ต้องการให้ฉันอ่านไปเรื่อยๆ ก็ได้ ฉันรวบรวมความเข้มแข็งทั้งหมดที่มี และบอกกับเขาว่า

"นีล ฉันจะกลับเมืองไทยวันเสาร์นี้นะ เตรียมเงินไว้ให้ฉันด้วย แล้วเราคงไม่ต้องพบกันอีก" ฉันบอกนีลตอนกลางวัน ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้นในคืนนั้น

"ผมเสียใจจริงๆ นะ สรินยา แต่ที่ผ่านมาผมรู้สึกว่า ผมหลอกใช้คุณ และผมไม่อยากให้คุณต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ คุณกลับบ้านไปอยู่ใกล้ๆ คนในครอบครัวของคุณดีกว่า พวกเขาจะได้ช่วยคุณเลี้ยงลูกด้วย วันหนึ่งเมื่อผมพร้อม ผมจะไปเยี่ยมคุณและลูก" นั่นคงเป็นคำพูดที่ดีที่สุด ที่เขาหามาให้ฉันได้ เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่กระจ่างแจ้งออกมาว่า เขาไม่ซื่อสัตย์ทั้งในเรื่องความรักและหน้าที่การงาน


ความจริงฉันเข้านอนแล้วตั้งแต่หัวค่ำ แต่ก็ยังนอนไม่หลับ ฉันจึงลุกออกไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง เสียงเดินของฉันหรือเสียงน้ำจากห้องน้ำคงปลุกนีลให้ตื่นขึ้นจากที่นั่งหลับอยู่ในห้องรับแขก ฉันเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็พบเข้ายืนอยู่

"สรินยา คุณทำอะไรกับโทรศัพท์ของผม อยู่ๆ เครื่องมันก็ล็อคไป" เขาถามด้วยเสียงที่แข็งกระด้างและใบหน้าอันแดงกร่ำ

"ฉันไม่ได้ทำอะไรกับมันสักหน่อย" ฉันโกหกโดยไม่สบตาเขา แล้วเดินหนีเข้าห้องนอน

"แน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้พยายามจะเปิดโทรศัพท์ของผม แล้วใส่รหัสผิดน่ะ" เขากระชากมือฉันไว้

"ก็แล้วทำไมล่ะ พรุ่งนี้เช้าก็ไปให้ร้านปลดล็อคให้สิ นี่ก็ตีหนึ่งแล้วนะ คุณจะโทรหาใครอีก" ฉันต่อว่าเขาด้วยความน้อยอกน้อยใจ

เขารีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหมายเลข "191 ครับ คือว่า แฟนของผมเขาขู่จะฆ่าผม กรุณามาที่บ้านของผมให้เร็วที่สุดเลยได้ไหมครับ"

สรินยา วูด
จากหนังสือ แสงแห่งความหวัง

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com