คำพยานชีวิตของ คุณ ศุจิมน ศุภโอภาส

เรียนอะไรมาคะ? ขณะนี้ทำงานอะไรอยู่คะ?

ตอนนี้ทำงานเป็นบรรณารักษ์ ที่โรงเรียนประชาคมนานาชาติ

จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้าน บรรณารักษศาสตร์ และจบปริญญาโทจาก ม.รามคำแหง

เดิม ทำงานอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์ ทำงานจนได้เป็นถึงระดับหัวหน้า ซึ่งต้องมีเวรทำงานเสาร์อาทิตย์ จนเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เริ่มรู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยนงานแล้ว เนื่องจากถ้าทำงานนี้ แม้จะได้เงินมาก แต่ไม่สามารถมาโบสถ์ได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่สามารถดูแลผู้ที่มาเชื่อใหม่ได้ ไม่สามารถพาใครไปโบสถ์ได้ จนเมื่อ 3 ปีก่อน พอเริ่มอธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิษฐาน และประทานงานใหม่ให้ ซึ่งตอนแรกเพียงแค่ขอว่า ถ้าได้รายได้เพียงครึ่งเดียวของเงินเดือนเดิม ก็จะไป เพื่อจะสามารถที่จะไปโบสถ์ได้สม่ำเสมอ แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะงานใหม่ ได้เงินเดือนมากกว่าเดิม และมีสันติสุขมากกว่าเดิมในการทำงาน

มารู้จักพระเจ้าได้อย่างไรคะ?

ตอนที่ยังทำงานอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์ มีเพื่อนชวนมางานคริสตมาส เมื่อได้มางานคริสตมาส ประทับใจถึงความรักของคริสเตียน ที่ต้อนรับ ไม่เหมือนกับคนแปลกหน้า แต่ต้อนรับด้วยความรัก สัมผัสได้ถึงความรัก ความอบอุ่น เมื่อประมาศปี 38 ซึ่งแตกต่างจากที่เคยพบเจอ ทำให้ไม่รังเกียจที่จะมาโบสถ์

หลังจากนั้น ก็ได้ไปกลุ่มเซลล์ของรอบบ่าย มาโบสถ์ และได้เรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ซึ่งแรก ๆ ก็เพียงแค่คิดว่าเพื่อนกลุ่มนี้น่าคบ แต่เมื่อได้มีความรู้ถึงพระเจ้าระดับหนึ่ง จึงได้ยอมรับเชื่อ และได้รับบัพติสมาปี 1999 ซึ่งการที่มาเชื่อในพระเจ้านั้น ไม่ได้เป็นทันทีทันใด แต่ศึกษามาเรื่อย ๆ

รับเชื่อได้อย่างไรคะ?

มีงานประกาศ ซึ่งมีพี่ปุ๊อัญชลีในงานประกาศด้วย และได้เปิดใจต้อนรับพระองค์ ซึ่งอายุได้ประมาณ 1989 ปี โดยพี่ปุ๊ ได้เป็นผู้ที่นำเราอธิษฐานรับเชื่อ และได้เชื่อว่าพระเยซูคริสเจ้า เป็นพระเจ้าจริง ๆ และพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อไถ่บาปแทนเรา ได้เข้าใจถึงความรัก เข้าใจว่าพระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าก็รักเรา จนได้ทรงยอมส่งพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

เมื่อมาเชื่อ ก็ได้สัมผัสถึงสันติสุขที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา

หลังจากเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ มีการปรับตัวอย่างไรบ้างคะ?

ก่อนหน้าที่เป็นคริสเตียน พี่เคยเป็นประธานในการจัดหา การทอดกระถิน การทอดผ้าป่า จนกระทั่งพอรู้จักพระเจ้า ก็ได้เลิกไป

สิ่งที่พี่ชอบมากก่อนมาเป็นคริสเตียน คือ การชอบดูหมอดู ชอบมาก เวลาเพื่อนชวนก็จะไปตลอด แต่ขอบคุณพระเจ้า เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า พี่ไปดูหมอ แล้วรู้สึกว่า ทำไปถึงพูดไม่เหมือนกัน เปลี่ยนหมอดูก็ดูไม่เหมือนกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

ก่อนมาเป็นคริสเตียน พี่มีข้อสงสัยอย่างหนึ่ง คือ ทำไมบางคนบอกว่าพระองค์นั้นดี องค์นี้ดี พระองค์ไหนจึงจะดีที่สุดกันแน่ แล้วเราจะยึดองค์ไหนดี จนกระทั้งได้มารู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ได้รู้ถึงพระลักษณะของพระองค์ จึงได้เลิกที่จะกราบไหว้พระอื่น ๆ

หลังจากมาเป็นคริสเตียนแรก ๆ ความรู้สึกของเราก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งเก่า ๆ และก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัว มีความขัดแย้งในใจอยู่บ้าน แต่ในที่สุด ก็สามารถปรับตัวได้ โดยเชื่อมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า

"เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

แรก ๆ ก็ไม่กล้าที่จะอธิษฐานออกเสียง อยากอธิษฐานเงียบ ๆ คนเดียว ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อได้เรียนรู้ว่า การอธิษฐาน

ขอบคุณพระเจ้า ที่พี่ไม่มีปัญหาในเรื่องการรบกวนของวิญญาณชั่ว และได้อธิษฐานตัดความสัมพันธ์กับวิญญาณชั่วเหล่านั้นแล้ว

ข้อพระคัมภีร์ที่ประทับใจคืออะไร?

"4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก

5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง" (1ยอห์น 5:4-5)

เวลาที่อ่อนล้า อ่อนกำลัง พี่ก็จะนึกถึงพระคัมภีร์ข้อนี้เสมอ

แล้วที่บ้านมีการต่อต้านหรือเปล่าคะ? และประกาศกับครอบครัวอย่างไรบ้าง?

พ่อแม่ไม่ได้ต่อต้าน ให้เรามาโบสถ์ได้ เพียงแต่ท่านทั้งสองไม่ยอมมาด้วย และท่านบอกว่าไม่ต้องมาชวน เพราะไม่ไปอยู่แล้ว

แรก ๆ ที่เป็นคริสเตียน สิ่งหนึ่งที่บ้านบ่น คือ เรื่องการออกจากบ้านบ่อย ซึ่งพี่ก็พยายามที่จะอธิบายว่าออกจากบ้านไปทำอะไร พยายามอธิบายให้ฟัง

เมื่อมาเป็นคริสเตียน ก็เริ่มรู้สึกว่า อยากให้พี่น้อง พ่อแม่รู้จักพระเจ้า จึงได้ร่วมกันอธิษฐานในกลุ่มเซลล์ และรอคอยคำตอบจากพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริง และได้มีการไปเยี่ยมเยีน นมัสการที่บ้าน ซึ่งพี่เชื่อว่าขณะเมื่อเราเป็นพยาน นมัสการ คนที่บ้านก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรักของคริสเตียน

เนื่องจากพี่ยังไม่ได้แต่งงาน จึงมีโอกาสอยู่บ้าน และมีโอกาสที่จะประกาศเป็นพยานกับที่บ้าน หลังจากที่เป็นคริสเตียนได้ 5 ปี พี่ชายคนแรก ก็ได้มาเชื่อในพระเจ้า ปีถัดไปก็น้องสาว และตามด้วย พ่อ แม่ และหลาน รวมทั้งสิ้น 5 คน

การประกาศกับคุณพ่อ และคุณแม่ พี่คิดว่าต้องเริ่มต้นที่คุณพ่อก่อน เนื่องจากคุณพ่อเป็นผู้นำ และถ้าคุณพ่อยอมมาโบสถ์ คุณแม่ก็จะมาด้วยแน่ โดยเริ่มต้นในการเป็นพยาน พากลุ่มเซลล์มาเยี่ยมเยียน จนมีโอกาสที่ได้พามาในงานประกาศ ซึ่งตอนแรก คุณพ่อไม่ยอมมา แต่พอถึงเวลา คุณแม่บอกคุณพ่อว่าอยากจะมา คุณพ่อเลยตามใจ และได้มาในงาน อาจารย์ ที แอล ออสบอร์น และคุณแม่ได้รับเชื่อในพระเจ้าในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์มาก ที่คุณแม่อยากจะมาก่อน

คุณแม่ท่านสัตย์ซื่อมาก มาคริสตจักรสม่ำเสมอ ได้ชวนคุณพ่ออย่างสม่ำเสมอ แต่ยังไม่ยอมเชื่อ จนวันหนึ่ง ในวันแห่งความรัก ที่คริสตจักรได้จัดซุ้มรูปหัวใจต่าง ๆ คุณแม่ชวนคุณพ่อ และคุณพ่อได้ยอมมาในที่สุด เมื่อได้มาคุณพ่อประทับใจ ที่โบสถ์มีการจัดซุ้ม ถ่ายรูป อัดให้ เริ่มแรก คุณพ่อรู้สึกซาบซึ้งในความรักกับคุณแม่ ในที่สุด คุณพ่อก็มีโอกาสรู้จักกับความรักของพระเจ้าในที่สุด และได้เปิดใจในภายหลัง

พี่เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจที่จะประกาศกับคนในครอบครัว ครอบครัวจะสามารถมาเชื่อพระเจ้าได้อย่างแน่นอน ตามพระสัญญาของพระเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลาใดเท่านั้นเอง แม้แต่กับคนรอบข้างก็เช่นกัน ถ้าเราตั้งใจจริง สม่ำเสมอ ก็จะสามารถนำเขามารู้จักกับพระเจ้าได้อย่างแน่นอน

แล้วไม่ทราบว่ามีอุปสรรคอะไรบ้างหรือเปล่าคะ?

เมื่อเราเชื่อพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงตรัสว่า ชีวิตเราจะราบรื่น แต่เมื่อเรามีปัญหา พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับเรา และให้สิ่งดีที่สุดสำหรับเราเสมอ

ตอนแรกๆ มีการต่อต้านในบ้านเหมือนกัน ซึ่งพี่ และน้อง ก็จะต่อต้านเมื่อมีโอกาสได้พูดถึงพระเจ้า ซึ่งแรก ๆ จะสวนกลับทันที จนบางครั้งรู้สึกท้อใจ แต่ก็พยายาม จนวันหนึ่งที่เขาอ่อนลง ยอมเปิดใจมากขึ้น ก็ได้มีโอกาสมาที่คริสตจักร

ถ้าเราเชื่อวางใจในพระองค์ วางภาระไว้กับพระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยเราเสมอ ถ้าเราตั้งใจจริง พระองค์ทรงมองดูที่จิตใจ พระองค์ก็จะทรงช่วยเราอย่างแน่นอน

อยากหนุนใจว่า เมื่อเจอปัญหา อย่าท้อถอย ให้เราสู้ต่อไป

มีคนที่รู้จักหลายคน ที่โดนต่อต้านจากพระเจ้ามาก และด้วยความอดทน ในที่สุด ก็สามารถนำครอบครัวมาถึงพระเจ้าได้ในที่สุด สิ่งที่พี่ทำได้เพื่อช่วยเขา คือ ช่วยเหลือเขาในทุกทางที่ทำได้ คอยหนุนใจ พาไปพบกับคนที่เคยโดนต่อต้าน และในที่สุดก็สามารถนำครอบครัวมาได้ ซึ่งจะสามารถหนุนใจเขาได้เป็นอย่างดี

ประกาศกับครอบครัว หรือกับคนรอบข้าง ต่างกันอย่างไร?

บางคนอาจจะบอกว่า การประกาศกับคนในครอบครัวนั้นยาก แต่พี่คิดว่าไม่แตกต่างกัน แต่เราจะมีโอกาสที่จะประกาศได้มากกว่าแน่นอน เพราะว่าอยู่บ้านเดียวกัน และได้พูดคุยกันได้มากกว่า

การประกาศกับเพื่อน ส่วนใหญ่จะไปเป็นทีม เป็นการประกาศผ่านทางการเยี่ยมเยียน และหลาย ๆ ครั้งที่คนที่เราตั้งใจจะไปประกาศไม่เชื่อ แต่กลับเป็นพี่น้องของคนนั้นมาเชื่อแทน ซึ่งขอบคุณพระเจ้า

ส่วนการแจกใบปลิว พี่จะใช้ในงานประกาศมากกว่า แต่การประกาศกับคนรอบข้าง จะใช้ชีวิตของเรามากกว่า ทำให้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเรา ถ้าเราทำสิ่งใดตามการทรงนำของพระเจ้า คนรอบข้างจะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง

ตอนที่เป็นพยาน พี่จะพยายามนึกถึงตัวเอง ว่าก่อนที่จะรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างไร พยายามนึกว่าสิ่งใดที่เรารู้สึกว่าคนที่เป็นคริสเตียนไม่เหมือนกับคนอื่น ซึ่งที่สำคัญคือ "ความรัก" เพราะเวลาที่เรามาโบสถ์ พี่สามารถสัมผัสถึงความรักของคริสเตียน มีการเยี่ยมเยียนคนที่เป็นทุกข์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้คนสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง พี่จึงใช้การสำแดงความรักของพระเจ้าในการประกาศ

มีสิ่งใดที่อยากจะฝากกับน้อง ๆ รึเปล่าคะ?

พี่อยากจะหนุนใจน้อง ๆ ว่า เมื่อเจออุปสรรคใด ๆ ก็อย่ท้อถอย เพียงแค่เราเดินต่อไป ตั้งใจอย่างเต็มที และเตรียมชีวิตให้พร้อม ก็จะสำเร็จ ตามพระสัญญา อย่างแน่นอน

คำพยานของ คุณ ศุจิมน ศุภโอภาส (พี่แอ้)
สัมภาษณ์ โดย คุณ สุทธิลักษณ์ วงศ์วรเศรษฐ์
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com