พระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือเล่มเดียวโดด ๆ แต่ประกอบด้วย 66 เล่ม แบ่งออกเป็น 2 ภาค
ภาคแรกเรียกว่า พันธสัญญาเดิม มีทั้งหมด 39 เล่ม เป็นเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำกับชนชาติฮีบรู ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา
ภาคที่สอง คือ พันธสัญญาใหม่ มีทั้งหมด 27 เล่ม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ นอกจากนั้นยังได้อธิบายถึงการขยายตัวของคริสตจักร และการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างเกิดผล
กว่าพระคัมภีร์จะเขียนเสร็จ ต้องใช้เวลาประมาณ 1,500 ปี และผู้เขียนประมาณ 40 คน ซึ่งมีทั้งกษัตริย์ นายกรัฐมนตรี แพทย์ คนเก็บภาษี ชาวประมง และชาวนา ผู้เขียนส่วนใหญ่มิได้เคยพบปะกัน แต่ตลอดทั้งเล่มกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าประหลาด
พระเจ้าตรัสกับผู้เขียนพระคัมภีร์เหล่านั้น และดลใจให้เขียนถ้อมคำและคำสั่งสอนของพระองค์ พวกเขามิใช่เพียงแต่นั่งลงแล้วเขียนในสิ่งซึ่งพวกเขาคิดว่าพระเจ้าคงจะตรัส หรือมีพระลักษณะอย่างนั้น อย่างนี้ บ่อยครั้งทีเดียวที่เราพบคำว่า "พระเจ้าตรัสว่า" หรือ "พระวจนะของพระเจ้ามายัง..."
พระเจ้ามิได้ตรัสกับมนุษย์เหมือนเขาเป็นคนพิมพ์ดีด แต่ในฐานะผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ พระองค์ทรงใช้บุคลิกภาพที่แตกต่างกันของพวกเขา และพวกเขาเขียนถ้อยคำของพระเจ้าลงไปโดยใช้วิธีการและภาษาของเขาเอง
ดังนั้น ยอห์นจึงเขียนไว้ว่า
"ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์" (1ยอห์น 1:3)
เปาโลสรุปด้วยการกล่าวว่า
"พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม" (2ทิโมธี 3:16)
พระเจ้าทรงสำแดงให้คนเหล่านั้นรู้ถึงพระบัญญัติและพระประสงค์ของพระองค์ แล้วพวกเขาจึงเขียนบันทึกไว้ มิใช่สำหรับคนในชั่วอายุของเขาเท่านั้น แต่ทุกยุคทุกสมัยตลอดไป นี่คือสาเหตุที่พระคัมภีร์แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่น ๆ พระเจ้าตรัสกับเราในทุกวันนี้ทางพระคัมภีร์ และทุกหน้าได้รับการประทับตราว่ามาจากพระองค์
พระคัมภีร์บอกเราถึงพระลักษณะของพระเจ้า และวิธีที่จะมารู้จักพระองค์ หากไม่มีพระคัมภีร์ เราจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระองค์อีกต่อไป จะนึกไม่ออกเลยว่าเราเกิดมาทำไม และจะไปไหน พระคัมภีร์เปิดทางสว่างให้กับปัญหาทุกอย่าง และให้ความมั่นใจในเรื่องชีวิต ความตาย และวาระชั่วนิรันดร์ พระคัมภีร์เป็นเหมือนคู่มือของนักเดินทางจากโลกนี้ไปสู่สวรรคสถาน
พระคัมภีร์มิได้เป็นแค่หนังสือประวัติศาสตร์ แต่มันเต็มไปด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้จากแหล่งประวัติศาสตร์อื่น ๆ
พระคัมภีร์มิใช่แค่วรรณคดีที่ยิ่งใหญ่ แต่มันบรรจุไว้ด้วยกวีนิพนธ์อันไพเราะยิ่ง และเรื่องจับใจทั้งหลาย
พระคัมภีร์มิใช่เป็นหนังสือจิตวิทยา แต่ได้ชี้ถึงคลังแห่งความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เราสามารถนำไปใช้ได้
พระคัมภีร์มิใช่เป็นตำราวิทยาศาสตร์ แต่ถึงกระนั้นยังบอกเราอย่างมากมายถึงพื้นพิภพนี้
พระคัมภีร์มิใช่หนังสือที่อ่านได้ง่าย ๆ คุณจำเป็นต้องมีใครช่วย และต้องรู้วิธีการ
ลองเริ่มที่พระกิตติคุณมาระโก แล้วตามด้วยจดหมายของอาจารย์เปาโลไปถึงคริสตจักรในเมืองฟิลิปปี กิจการของอัครทูต สดุดี 1-24 และพระกิตติคุณยอห์น
โดยลำพังตัวเอง คุณจะไม่มีวันเข้าใจหรือชื่นชมในพระคัมภีร์ได้เลย คุณควรที่จะวิงวอนขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ช่วยคุณ และจงเชื่อว่าพระเจ้าจะตรัสกับคุณ
หลังจากที่ได้อ่านพระคัมภีร์จบแต่ละตอน คริสเตียนจำนวนมากพบว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งถ้าหากจะตั้งคำถาม เช่นว่า "ฉันได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระเยซู เกี่ยวกับมนุษย์" "มีคำสัญญาที่ฉันจะนำไปอ้างสิทธิหรือไม่ มีตัวอย่างให้ดำเนินตามหรือเปล่า มีคำเตือนที่ต้องระวังหรือคำสั่งชัดเจนที่ต้องเชื่อฟังบ้างไหม"
จงเลือกสักข้อหนึ่ง หรือประโยคหนึ่งที่ประทับใจ แล้วท่องจำพร้อมกับนำติดตัวไปใช้ตลอดวันนั้น
จงพยายามตั้งเวลาไว้อย่างเจาะจงทุกวันที่คุณจะสามารถอยู่เงียบ ๆ ลำพังได้ ให้เป็นเวลาที่จะพบกับพระเยซู และอ่านพระคัมภีร์
เขียนโดย นอร์แมน วอร์เร็น
แปลโดย กนกบรรณสาร
จากหนังสือ ชีวิตฉงน
ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน
ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com