ลักษณะของความกดดันนี้

มาถึงจุดนี้ ผมขอนำท่านผู้อ่านมาถึงระดับลึกของความคิดในเรื่องนี้ นั่นก็คือลักษณะของความกดดันนี้ ที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์นั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง ?

  1. ความกดดันนี้ จะสอดคล้องกับศักยภาพแห่งการเข้าใจในความจริงของมนุษย์ ลึก ๆ ในใจเขาจะยอมรับความกดดันนี้ เขาจะเข้าใจความกดดันนี้ว่าเป็นสิ่งที่ดี มีเหตุผล ถึงแม้ภายนอกของเขาจะปฏิเสธ แต่ภายในจิตวิญญาณของเขาไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลย (เขาทราบดีอยู่แก่ใจ)

  2. ความกดดันนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ทำให้มนุษย์เกิดการขัดแย้งในใจ ถ้ามนุษย์นั้นยอมทำตาม ยอมรับ แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับ หรือไม่ทำตาม และเมื่อต่อสู้กับความกดดันนี้เมื่อไหร่ เขาจะรู้สึกถึงความขัดแย้ง รู้สึกผิด อึดอัด ทำตัวไม่ถูก ไม่สบายใจ กลัว และถ้าเขายังขืนต่อสู้กับความกดดันนี้ต่อไป เขาจะกลายเป็นคนใจแข็งกระด้างแน่นอน แต่ถ้าเขายอมรับและยอมอยู่ภายใต้ความกดดันนี้ มันจะทำให้ชีวิตของเขาราบรื่น ไม่มีการขัดแย้งภายในจิตใจ และรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่ถูก

  3. เมื่อมนุษย์ทำตามหรือไม่ทำตามความกดดันนี้ ล้วนมีผลกระทบ ไม่ว่าต่อตนเอง ต่อครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ต่อโลกนี้อย่างแน่นอน

  4. การทำตามหรือไม่ทำตามความกดดันนี้ของมนุษย์ เขาจะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเขา ขอให้เราอย่าลืมว่า มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวในโลกที่มีอิสระในการเลือก ซึ่งต้องควบคู่กับ "ความรับผิดชอบ" และพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่า "หลังจากมนุษย์ตายไป (ซึ่งจะมีการตายเพียงครั้งเดียว) จากนั้น วิญญาณของเขาจะออกจากร่าง และจะต้องพบกับการพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้า และไม่มีคนหนึ่งคนใดเลยที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าได้" (ฮีบรู 9:27, ปัญญาจารย์ 12:7,14)

4 ประการข้างต้นนี้ เป็นลักษณะของความกดดันที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ทุกคน ขอเพียงแต่เขาเป็นมนุษย์ รับรองได้ว่าภายในจิตใจของเขาจะเห็นด้วยกับความกดดันที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ภายในเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้ภายนอกเขาพยายามที่จะปฏิเสธมัน แต่เขาก็ไม่สามารถโกหกภายในจิตใจถึงความเข้าใจ และความรู้สึกส่วนลึกของเขาได้

และเมื่อเราพูดถึง "ความกดดัน" เราจะต้องแบ่งมันออกเป็น 2 ประเภท คือ ความกดดันในแง่บวก และความกดดันในแง่ลบ ข้างล่างนี้ให้เรามาดูรายละเอียดกัน

1. ความกดดันในแง่ลบ

ความกดดันในแง่ลบ ก็คือ ความรู้สึกในจิตใจภายในต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกในเวลานั้น ๆ ที่บีบหรือกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เราทราบดีว่า เราไม่สมควรทำ เพราะมันขัดแย้งกับกฎหรือความกดดันที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเรา ซึ่งความกดดันในแง่ลบบางอย่างที่มันกดดันเราให้เรากระทำในสิ่งที่เวลาเราอยู่คนเดียวเราไม่กล้าทำ เมื่อเราทำไปแล้ว เราจะรู้สึกผิดทันที

ตัวอย่าง เช่น เด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ และเพื่อน ๆ ก็พาไปเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า เด็กผู้ชายวัยรุ่นคนนี้เกิดมายังไม่เคยดื่มเหล้า แต่เพราะสถานการณ์บวกกับความต้องการการยอมรับจากเพื่อน ๆ ทำให้เขาเกิดความกดดันในแง่ลบ และเขายอมทำตามความกดดันนั้น คือ ดื่มเหล้า เมื่อดื่ม เขาจะรู้สึกผิดและกลัวทันที

หรืออีกกรณีหนึ่ง เช่น เด็กวัยรุ่นผู้หญิงบางคนไปเที่ยวสองต่อสองกับเพื่อนผู้ชาย และต่อมาก็ตามเข้าไปในห้องลับตาคน และเมื่อได้ฟังคำพูดที่เล้าโลมของเพื่อนผู้ชาย บรรยากาศในเวลานั้นมันจะเกิดความกดดันในแง่ลบ ที่ทำให้เด็กวัยรุ่นผู้หญิงง่ายต่อการเสียตัวให้เด็กวัยรุ่นผู้ชาย ในเวลานั้นในจิตใจของเด็กวัยรุ่นผู้หญิงคนนั้นจะมีการต่อสู้ ซึ่งเธอต้องตัดสินใจ แต่น่าเศร้าที่มนุษย์เราอ่อนแอมากในเรื่องนี้ จึงพลาดไป และเมื่อเสียตัวไปแล้ว ก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรง และเกิดความกลัว

สำหรับพวกเราที่เป็นเด็กวัยรุ่นคริสเตียน โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นผู้หญิง จะต้องกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะถ้ามันแย่แล้ว มันจะแก้ไม่ทัน และถ้าจะถามว่าจะป้องกันได้อย่างไร ? นักจิตวิทยาคริสเตียนท่านหนึ่งได้เสนอแนวความคิดที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย ก็คือ ผู้ชายจะมีอารมณ์ทางเพศเมื่อได้มอง แต่ผู้หญิงจะมีความรู้สึกทางเพศเมื่อได้ยินเสียง และได้รับการสัมผัส เขายังได้วิเคราะห์อีกว่า ถ้าผู้หญิงคนใดยอมให้ผู้ชายจับมือ โอกาสจะเสียตัวมีถึง 30 % และต่อมาถ้ายอมให้ผู้ชายโอบกอด มีโอกาสจะเสียตัวถึง 50 % และถ้าต่อมายอมให้ผู้ชายเล้าโลมภายนอก โอกาสที่จะเสียตัวมีถึง 80 % และถ้าเวลานั้นผู้หญิงคนใดคิดว่า "ไม่เป็นไร" เป็นแค่ภายนอก ก็จะนำไปสู่การเข้าไปในที่ลับตาคน และถ้าถอดเสื้อผ้าหมด โอกาสจะเสียตัวมีถึง 100 % เต็ม ตอนนั้นบอกว่า "เป็นไร ๆ" ก็สายไปเสียแล้ว

เพราะฉะนั้น พวกเราที่เป็นคริสเตียน โดยเฉพาะผู้หญิง ก็ไม่ควรให้ผู้ชายจับมือ ถ้าไม่อยากเสียตัว ถ้าผู้ชายคนนั้นรักเราจริง ก็ควรจะให้เกียรติเรา ไม่ใช่แตะอั๋งเรา และพวกเราที่เป็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายคริสเตียน ก็ไม่ควรทำเช่นนั้น เพราะพระเจ้าของเราบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงปรารถนาให้พวกเรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ด้วย (1เธสะโลนิกา 4:3-8, ฮีบรู 13:4)

ข้างต้นนี้ เป็นตัวอย่างของความกดดันในแง่ลบ และทั้งสองตัวอย่างนี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนเข้าใจกันได้ เพราะเราต่างก็เคยมีประสบการณ์ในความกดดันในแง่ลบเช่นนี้มาก่อน แต่นั่นผมไม่ได้หมายความว่า เกี่ยวกับเรื่องเพศ หรือเรื่องดื่มเหล้าเท่านั้น แต่ผมกำลังหมายถึงความกดดันในแง่ลบทุกด้านที่พวกเราแต่ละคนได้ประสบมา ซึ่งอาจจะต่างกันในเหตุการณ์ แต่ลักษณะของความกดดันในแง่ลบนั้น ไม่ได้ต่างกันเลย บางทีเราอาจจะพบความกดดันในแง่ลบที่ทำให้เราโกหก ขโมย หน้าซื่อใจคด หน้าไหว้หลังหลอก ฯลฯ ซึ่งเมื่อเราทำลงไปแล้ว เราจะรู้สึกผิดและกลัว เพราะเรารู้ดีว่า เราได้ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำแล้ว และหลังจากนั้นก็ต้องดูว่าท่าทีของเราต่อสิ่งที่เราทำในสิ่งที่เรารู้ว่าไม่สมควรทำนั้น ว่าเป็นอย่างไร

ถ้าเรายอมรับผิด เห็นด้วยกับจิตใจภายในที่ฟ้องเรา และตั้งใจที่จะไม่ทำเช่นนั้นอีก และพร้อมที่จะยอมรับผิดต่อคนรอบข้างของเราโดยมีใจที่สำนึกผิด เช่นนี้ เราจะได้รับการยกโทษ และมีกำลังในการตั้งต้นชีวิตใหม่ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับการฟ้องของภายในจิตใจ และพยายามต่อสู้กับมัน และไม่แคร์ต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง โดยคิดว่าฉันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือทำท่าเก๊กว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันเป็นคนดี นั่นจะทำให้เราทำมันเรื่อย ๆ และจมดิ่งลงในความมืดยิ่งขึ้น

ความกดดันในแง่ลบนี้ เป็นผลมาจากการที่มนุษย์เรามีอิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่พระเจ้าอยากให้มนุษย์ทำ เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์เราทำตามความกดดันในแง่ลบนี้ และรู้สึกผิด อย่าบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้ทำเด็ดขาด เพราะว่าตัวเราเองที่เป็นคนทำ เราได้ใช้ศักยภาพแห่งอิสระการเลือกที่พระเจ้าให้ไว้ในทางที่ผิด ...

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนพวกเราอย่างชัดเจนว่า สำหรับเราที่เป็นมนุษย์ เมื่อเรากำลังเผชิญกับความกดดันในแง่ลบ ขอให้เราอย่าทำตามมัน อย่าฟังมัน จงต่อสู้มัน แล้วเราจะภูมิใจ ซึ่งผิดกับความกดดันในแง่บวกที่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนให้มนุษย์เราอย่าขัดขืน จงเชื่อฟัง อย่าต่อสู้มัน เพราะมันจะทำให้มนุษย์เรามีชีวิตถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้าง และจะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงของชีวิตของมนุษย์เรา

2. ความกดดันในแง่บวก

ก็คือ "ความรู้สึกและความเข้าใจภายในจิตใจส่วนลึกของเรา ที่กำลังเรียกร้องให้เรายืนหยัด ทำตามความกดดันที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเรา โดยไม่ทำตามหรือตอบสนองต่อความรู้สึกที่เราอยากจะทำในเหตุการณ์หรือในเวลานั้น ๆ"

หรือจะอธิบายอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ "ลักษณะที่เรารู้สึกว่ามีกฎที่ควบคุม ที่เรียกร้อง ที่ผลักดัน ที่กระตุ้นให้เราทำตาม ซึ่งมันขัดแย้งในความต้องการของเรา เพราะเรากำลังอยากจะทำในสิ่งที่เราคิดจะทำ แต่ความกดดันนี้มันจะบอกใต้จิตสำนึกของเราว่า สิ่งที่เรากำลังอยากจะทำนั้น หรือจะลงมือกระทำนั้น มันไม่สมควรทำ และเราก็ยอมที่จะเชื่อฟังกฎหรือความกดดันนี้ เพราะเรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันทำให้ชีวิตของเราไปได้อย่างถูกต้อง"

นี่แหละ คือลักษณะความกดดันในแง่บวก ที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ทุกคน ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์สอนให้พวกเราที่เป็นมนุษย์ทราบว่า ถ้าเราอยากมีชีวิตที่มีความสุข อยากให้ชีวิตของเราเหมาะที่จะถูกเรียกว่า เป็นมนุษย์ อยากให้ชีวิตของเราถูกต้องตามวัถุประสงค์ของผู้สร้างแล้ว เราทุกคนจำต้องยอมรับความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในพวกเราทุกคน

พระคริสตธรรมคัมภีร์ยังได้สอนให้มนุษย์เราให้เข้าใจอีกว่า ถ้ามนุษย์คนใดไม่เชื่อฟังความกดดันในแง่บวกนี้ และทำลายความกดดันในแง่บวกนี้ มนุษย์คนนั้นก็จะมาถึงจุดตกต่ำที่สุดของความเป็นมนุษย์ และเริ่มใกล้เคียงกับสัตว์ (คืออยากทำอะไรก็ทำ) และถ้าสังคมไหนทำลายความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ สังคมนั้น ๆ ก็จะทำให้ระบอบสังคมของตนเอง ครอบครัว ศีลธรรมของสังคมตนเองตกต่ำสุด ๆ ซึ่งเราเรียกว่า "กลียุค" และเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เขาต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราที่เป็นมนุษย์ ควรจะศึกษา และให้ความสนใจ และให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์เราทุกคน เพื่อเราจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้างพวกเรา

เมื่อผมได้ทำการศึกษา คิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์ ผมก็พอจะทำให้ท่านผู้อ่านมองเห็นความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์นั้น เกี่ยวข้องกับ 7 ด้านด้วยกัน ซึ่งทั้ง 7 ด้านนี้ เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกด้านของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ให้เป็นสังคมในโลกใบนี้

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ ความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com