7 ด้านของความกดดันในแง่บวก

เมื่อพูดถึงความกดดันในแง่บวกนี้ พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ให้ข้อมูลอย่างน้อย 7 ประการ ดังนี้ ...


1. ระบอบการปกครองหรือกฎหมายในโลก

มีนักปรัชญาท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "เราทุกคนอยากมีรัฐบาลที่ดี แต่ถ้ามีไม่ได้ มีรัฐบาลเลวก็ยังดีกว่าไม่มีรัฐบาลเลย"

นี่เป็นคำพูดจริง 100 % เมื่อเรามองดูประเทศติมอร์ เขมร ก่อนหน้านี้ด่าทอว่ารัฐบาลเลว พอไม่มีรัฐบาล ไม่มีกฎหมาย อะไรเกิดขึ้น ? กลียุค ... ประชาชนอยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีรัฐบาล ไม่มีกองทัพ ไม่มีกฎเกณฑ์เข้ามาควบคุม เมื่อเราดูประเทศอินโดนีเซีย ตอนที่รัฐบาลของนายซูฮาโต้กำลังจะหมดอำนาจในการปกครองประเทศ โดยการลุกฮือของกลุ่มนักศึกษาอินโดนีเซีย เป็นอย่างไรบ้าง ? เวลานั้นมีแต่คนสาปแช่ง ด่าทอรัฐบาลว่า ไม่ยอมเข้ามาช่วยเหลือ แต่ตอนที่รัฐบาลนายซูฮาโต้ปกครอง เขากลับไม่ชอบ

ถ้าจะถามพวกเราคนไทยส่วนมากว่า "ชอบตำรวจไหม?" ... เราคงจะตอบยาก เพราะต้องดูว่าเรามีความสัมพันธ์อย่างไรกับตำรวจ ตรงนี้ผมอยากจะทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า ส่วนตัวผมชอบตำรวจ นับถือ ให้ความเคารพอาชีพตำรวจ ท่านเหล่านั้นเป็นบุคคลที่ยอมเสียสละ มีอุดมการณ์ แต่ความเป็นจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ทุกวงการก็มีทั้งดีและเลวปะปนกัน และภาพพจน์ของตำรวจที่ประชาชนสัมผัสมากที่สุด ก็คือ บนทางหลวงที่ชอบกินสินบน และใช้อำนาจในทางที่ผิด ดังนั้น จะว่าไป ในความคิดของคนไทยหลาย ๆ คน ภาพพจน์ของตำรวจไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นผมของวิงวอนทุกท่านที่มีอาชีพตำรวจควรจะสัตย์ซื่อในหน้าที่ ขอให้พอใจในเงินเดือนของท่าน และให้ท่านทราบเถิดว่า เมื่อท่านยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ท่านได้มีอิทธิพลต่อสังคมไทยเราอย่างมาก และท่านเป็นบุคคลที่ควรยกย่องและได้เกียรติ แน่นอน เราทุกคนอยากมีหรืออยากได้ตำรวจที่ดี แต่ถ้ามีไม่ได้ มีตำรวจเลว ก็ยังดีกว่าไม่มีตำรวจ ท่านผู้อ่านลองนั่งคิดดูให้ดี ๆ ก็จะทราบได้ว่า ประโยคความคิดนี้เป็นความจริง

เมื่อเราขับรถเจอไฟแดง ความต้องการที่เราอยากจะทำก็คือ ไม่อยากรอ แต่อยากจะขับต่อไป แต่เพราะความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเรา มันทำให้เราเหยียบเบรค แล้วก็บ่นต่อว่าไฟแดง ว่าทำไมมันแดงนานจัง ... เมื่อเราขับรถคันใหม่ เราอยากจะขับสัก 120 แต่กฎหมายบังคับให้ 80 เราจึงต้องค่อย ๆ ตรึงความเร็วไว้ที่ 80 บางครั้งเราอาจจะคิดว่า ไม่อยากให้มีไฟแดง ไม่อยากให้มีการจำกัดความเร็วเลย แต่ให้เราลองคิดดู ถ้าวันไหนรัฐบาลประกาศว่ายกเลิกระบบไฟจราจร สี่แยกไฟแดงไม่มีอีกต่อไป ต่อไปนี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว คุณว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? ... แน่นอน บรรดานักซิ่งทั้งหลายจะไฟโยฉลอง แต่หลังจากนั้นผ่านไป 3 วัน คุณก็จะเห็นเถ้าแก่โลงศพไขโยฉลองบ้าง เพราะโลงศพขายดีเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น ความกดดันในแง่บวกในด้านกฎจราจรนี้ มันเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันช่วยรักษาชีวิตของเราได้

ถ้ามีคนหนึ่งคนใดทำลาย หรือไม่ยอมรับความกดดันนี้ อะไรจะเกิดขึ้น ? ชุมชนนั้น ๆ จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ... และคนหมู่มากจะต้องจัดการกับเขา แต่ถ้าคนหมู่มากไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย ทำลายความกดดันนี้ และไม่ยอมรับความกดดันนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? ... บ้านเมืองวุ่นวาย สังคมปั่นป่วน ประเทศจะต้องพบกับกลียุคแน่ ๆ ...

นั่นแสดงว่า พวกเราไม่ควรที่จะทำลาย หรือต่อสู้กับกฎ หรือความกดดันในแง่บวกในด้านนี้ใช่หรือไม่ ? ... คำตอบก็คือ ... ใช่ ... ตราบใดที่อำนาจการปกครองนั้นยังอยู่ตามกฎที่วางไว้ และสอดคล้องกับศักยภาพแห่งการเข้าใจในความจริงของกฎ หรือความกดดันในแง่บวกนี้ ที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเราแล้ว เราควรทำตาม อย่าต่อสู้กับมัน เช่น การเสียภาษี การรักษากฎจราจร การศึกษา การจดทะเบียนสมรส การจับใบแดง-ใบดำ เพื่อเป็นทหาร เป็นต้น ...

แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่รัฐบาลออกกฎหมายที่ขัดกับ หรือไม่สอดคล้องกับศักยภาพแห่งการเข้าใจในความจริงของกฎ หรือความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์เรา หรือผู้ที่มีอำนาจนั้นเขาได้ทำลาย หรือแหกกฎ หรือความกดดันนี้ซะเอง พวกเราที่เป็นประชาชนก็สามารถที่จะเรียกร้อง ผลักดัน หรือต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งความถูกต้องได้

แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ปัจจุบันนี้ สังคมไทยเรา เดินขบวนเรียกร้องแต่เรื่องปากท้อง แต่ไม่เดินขบวนเรียกร้องกฎหมายที่ขัดกับศีลธรรม นั่นแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันนี้ คนไทยเราไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับศีลธรรมเท่าที่ควร

ถ้าเราลองสังเกตดู เราจะเห็นว่ามีกฎหมายหลายอย่างที่ขัดกับศีลธรรมอันดีงาม เช่น ฉลากกินแบ่งรัฐบาล สนามม้า เหล้า ยาสูบ อาบอบนวด สถานบันเทิงที่เป็นแหล่งมั่วสุม ฯลฯ นี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้าจริง ๆ ที่มนุษย์เราเปลี่ยนกฎหมายให้สอดคล้องกับการกระทำที่ผิดบาป ให้มันถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ยอมเปลี่ยนการกระทำของตนเอง

ถ้าท่านผู้อ่านลองคิดดู และถามตัวเองว่า "รัฐบาลมีเหตุผลอะไรในการออกกฎหมายรับรองกิจการที่ขัดกับศีลธรรมเหล่านั้น ? ... ถ้ามีเหตุผล ... ต้องถามอีกว่า สมเหตุสมผล สอดคล้องกับศักยภาพในการเข้าใจความจริงเกี่ยวกับศีลธรรมที่มีอยู่ในมนุษย์หรือไม่ ?"

สำหรับพวกเรา ที่เป็นบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนนั้น เราควรจะต้องเรียนรู้ตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์ เพราะหลักการของพระเจ้าสูงกว่าหลักการและกฎหมายของโลกนี้หลายเท่า ถ้าเรารักษากฎเกณฑ์ รักษาหลักการของพระเจ้าแล้ว กฎเกณฑ์ของโลกนี้ ไม่ยากสำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียนเลย

นี่คือด้านแรกของความคิดเกี่ยวกับความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ คือ ด้านระบอบการปกครอง หรือกฎหมายในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์เราทุกคนต่างก็ทราบดี และยอมรับภายในจิตใจว่า กฎหมายนั้นดี และอยากให้มีกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่พวกเราทราบดีว่า กฎหมายนั้นจะมาควบคุมบังคับเรา แต่เราก็ยอม เพราะกฎหรือความกดดันในแง่บวกในด้านนี้ นั้น มันสามารถสร้างและผลักดันให้สังคมที่พวกเราอยู่นั้นดำเนินไปได้ด้วยดี




2. ค่านิยม-วัฒนะธรรมแห่งยุค

ทุกยุค ทุกสมัย ทุกสังคม จะมีขอบเขตของค่านิยม และวัฒนธรรมของยุคสมัยนั้น ๆ และความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ ก็ควบคู่กับค่านิยม และวัฒนธรรมของแต่ละสังคมด้วย ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย แต่ในหนังสือเล่มนี้ ผมอยากจะเสนอสองด้านใหญ่ของความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับเรื่องนี้

1. ด้านการแต่งกายและการประดับกาย

ทุกยุคทุกสมัย ทุกสังคมต่างก็มีความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในสมัยอาดัม-เอวา ยุคนั้นคนไม่ใส่เสื้อผ้าไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตอนนี้คุณลองไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วเดินกลางถนนซิ คุณได้เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ในโรงพยาบาลโรคจิตแน่ ๆ

ปัจจุบันนี้ สังคมไทยเราก็มีขอบเขตของค่านิยมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับการแต่งกาย ซึ่งถ้าคนใดยอมรับความกดดันในเรื่องค่านิยม วัฒนธรรมการแต่งกายที่มีอยู่ในสังคมไทยเวลานี้แล้ว ก็จะไม่เกิดปัญหาในชีวิต แต่ถ้าเขาไม่ทำตามความกดดันของสังคมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปใส่เสื้อโชว์สะดือ ใส่เสื้อสายเดี่ยว ใส่เสื้อรัดรูป ใส่กระโปรงฟิต ๆ สั้น ๆ ทำสีผมให้มันแปลก ๆ เจาะห่วงที่จมูก ผู้ชายเจาะหู ใส่มุกที่ลิ้น ไปสักลายต่าง ๆ ตามร่างกาย ฯลฯ ซึ่งเป็นการสวมใส่และทำร้ายร่างกายของตนเองเกินความกดดันในแง่บวก เกินขอบเขตค่านิยมของยุค รับรองมีปัญหาแน่ ๆ เพราะคุณจะเป็นจุดสนใจของคน และสิ่งที่คุณทำจะมีผลกระทบต่อระบบสังคมของคุณอยู่ โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลังที่กำลังเกิดเติบโตขึ้นมา เขาจะเห็นอะไร ? ...

จากจุดนี้ เราก็จะพอมองเห็นอนาคตของประเทศชาติของเราว่าจะเป็นอย่างไรได้ไม่ยาก และที่สำคัญ ... ขอโทษที่ผมต้องใช้ตัวอย่างที่แรงเช่นนี้เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพ ... หลายคนที่เป็นผู้ใหญ่ เมื่อเห็นเด็กวัยรุ่นที่ทำอย่างนี้ จะคิดทันทีว่า "ไอ้เด็กนี้ มันลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมพ่อแม่มันไม่สั่งสอนมันบ้าง" ...

ความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในจิตใจของมนุษย์ มันกำลังบอกว่าการแต่งกายหรือการทำร่างกายของตนเองให้แปลก ๆ นั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ โดยเฉพาะพวกเราที่เป็นคริสเตียนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

เมื่อเด็กวัยรุ่นคนใดก็ตามทำอย่างนั้นเป็นครั้งแรก เขาจะรู้สึกผิด และตะขิดตะขวงใจ นั่นเป็นเครื่องหมายที่กำลังบ่งชี้ว่า เขากำลังแหกความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นั่นไม่ใช่ว่ากำลังแนะนำให้คุณใส่แบบไทยสมัยโบราณ นุ่งโจงกระเบน เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าเราเป็นดารามาแสดงละครย้อนยุค

ดังนั้น พวกเราคริสเตียน ควรจะแต่งกายให้เหมาะสมกับค่านิยม วัฒนะธรรมของยุคถูกหาว่าล้าสมัยตามยุคไม่ทัน แต่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าก็ดีกว่าทันยุคทันสมัยแบบผิด ๆ ซึ่งทำให้พระนามของพระเจ้าถูกลบหลู่มากจริง ๆ

2. ด้านมารยาทในสังคม

ทุกสังคม ทุกวัฒนธรรม ต่างก็มีความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้เกี่ยวกับมารยาทในสังคม

ในพระคัมภีร์มีการจูบบริสุทธิ์ การล้างเท้าให้แขกที่มาเยือนบ้าน การที่ผู้หญิงต้องคลุมศีรษะขณะที่ออกจากบ้าน ในเมืองไทย เรามีการยกมือไหว้สวัสดี ทีเป็นวัฒนธรรมที่สวยงาม และควรอนุรักษ์ไว้ตลอดไป

มีพิธีกรรายการสารคดีรายการหนึ่ง เมื่อเริ่มรายการไม่ยกมือไหว้สวัสดีผู้ชม แต่พยักหน้าเอามือของตัวเองประสานกัน ทักทายผู้ชมแบบฝรั่ง อีกสองวันต่อมา มีผู้ชมเขียนจดหมายต่อว่าลงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง สองอาทิตย์ต่อมา พิธีกรคนนี้หายไป เปลี่ยนเป็นคนใหม่มาทำแทน ดังนั้น คุณจะเห็นว่า ความกดดันในแง่บวกของมารยาทของสังคมและวัฒนธรรมนั้น เป็นสิ่งที่เราควรรักษาไว้และทำตาม

ในเมืองไทย มีการให้เกียรติ และเคารพผู้อาวุโส พวกเราที่เป็นคริสเตียน ก็ต้องยอมรับความกดดันในแง่บวกนี้เช่นกัน ซึ่งการให้เกียรติผู้อาวุโสเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านทางโมเสส ให้แก่พวกเรารักษาไว้เช่นกัน

"เจ้าจงลุกขึ้นคำนับคนผมหงอกและเคารพคนชรา และจงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เราคือพระเจ้า" (เลวีนิติ 19:32)

ส่วนมาก กลุ่มวัยที่มักจะฝืนความกดดันในแง่บวกด้านนี้ มักจะเป็นเด็กวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว เพราะฉะนั้นเด็กวัยรุ่น และหนุ่มสาวคริสเตียนจะต้องระวังดี ๆ ในการแต่งกาย และมารยาทที่เรากระทำต่อพ่อแม่ หรือคนทั่วไป พระคัมภีร์สอนพวกเราว่า อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความหนุ่มสาวของเรา อย่าให้คนอื่นด่าว่าพระนามพระเจ้า เพราะการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเรา อย่าลืมว่าเมื่อเราฝ่าฝืนความกดดันในแง่บวกในเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่พ่อแม่เราต้องเสียใจเท่านั้น แต่พระเจ้าผู้ทรงรักเรา ก็ทรงเสียพระทัยอย่างมากด้วย นั่นเพราะความรักของพ่อแม่และพระเจ้าที่มีต่อเรา ...

เมื่อผมมองเห็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิง ใส่เสื้อสายเดี่ยว โชว์สะดือ เดินควงกับเด็กวัยรุ่นผู้ชาย ผมรู้สึกเสียใจมาก แต่ถ้าเด็กวัยรุ่นผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวผมล่ะ ผมจะเจ็บปวดขนาดไหน ?

เช่นเดียวกัน เราที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อเราทำสิ่งที่ไม่สมควร ไม่เหมาะ คุณพ่อคุณแม่ของเราจะต้องเสียใจอย่างมากแน่นอน เพราะฉะนั้น ความกดดันในแง่บวกด้านนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราจะต้องยอมรับและทำตาม อย่าได้ฝ่าฝืน เพราะมันจะทำให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้อย่างดีในสังคม


3. เรื่องครอบครัว

ความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับครอบครัวที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์เรา เป็นสิ่งที่ดีล้ำเลิศ เพราะความกดดันในด้านนี้เป็นสิ่งที่ทำให้พื้นฐานของสังคมที่สำคัญที่สุด คือ ครอบครัว นั้นมั่นคง และมีผลให้เกิดกำลังผลักดันให้สังคมที่เราอยู่นั้นมีความสุข สอดคล้องกับศีลธรรมอันดี และถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ เกี่ยวกับความกดดันในด้านนี้ ผมจะพูดถึงสองประการใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ในแง่ลูก

ถ้าเราลองสังเกตดู เราจะเห็นว่า ตอนที่เด็กอายุประมาณ 1-2 ขวบ จะมีความรู้สึกต่อพ่อแม่ ว่าพ่อแม่ของเขานั้นพูดอะไรไม่รู้เรื่อง พออายุ 3-11 ขวบ จะมองว่าพ่อแม่ของเขาพูดไม่มีเหตุผล 12-19 ปี เขาจะมีความคิดที่ว่าพ่อแม่พูดก็มีเหตุผลอยู่ แต่เหตุผลของพ่อแม่นั้นล้าสมัยแล้ว พอตอนอายุ 20-30 ปี เริ่มมองว่าสิ่งที่พ่อแม่พูดกับเขาในอดีตนั้นมีเหตุผลบ้าง พอตอนเขามีลูกหรือเป็นพ่อแม่แล้ว เขารู้สึกว่า สิ่งที่พ่อแม่พูดกับเขาในอดีตนั้นถูกหมดทุกอย่าง ...

ตอนที่ผมอายุประมาณ 16 ปี ตอนนั้นบ้านผมขายเหล้า เวลานั้นมีพวกนักเลงเอาลูกระเบิดมือถือมาเขย่าประตูหน้าบ้านผม และขอเหล้าพ่อผมสองขวด ตอนนั้นผมโกรธมาก จะเอาโซ่เส้นหนึ่งออกไปสู้กับพวกนั้น เมื่อมันได้เหล้าแล้ว มันก็ไป พ่อผมก็พูดกับผมว่า "เสียเงินดีกว่าเสียชีวิต" ... แต่เวลานั้นผมไม่เข้าใจ ผมคิดว่าพ่อของผมนั้นขี้ขลาด แต่เวลานี้ผมมาเป็นพ่อคนแล้ว ครั้งใดที่ผมระลึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ผมต้องพูดกับตัวเองว่า "พ่อพูดถูกแล้ว"

เราที่เป็นลูก โดยเฉพาะลูก ๆ ที่เป็นคริสเตียนนั้น ควรจะรับความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับครอบครัวที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเรา เพราะมันจะสามารถรักษาชีวิตของเรา และทำให้เราพบกับความสุขในชีวิตได้ ความกดดันด้านนี้เป็นสิ่งที่ผู้เป็นลูกทุกคนรู้สึกไม่ชอบ แต่ถึงแม้ไม่ชอบก็อยากให้มี

ถ้าเราไปถามลูกว่า ชอบความกดดันที่พ่อแม่ทำในตัวของเขาภายในบ้านไหม ? ... เช่น "ได้เวลาตื่นแล้ว ... อาบน้ำต้องฟอกสบู่ด้วยนะ ... อย่ากินอันนั้น ต้องกินอันนี้ กินผักเยอะ ๆ ... อย่าเสียดัง อย่าหนวกหู ... อย่านินทา ... อย่าโกหก ... อย่าอ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านเล่มนั้น อย่าดูทีวีนานเกินไป ... ทำการบ้านหรือยัง ? ... เลี้ยงนอนให้แม่หน่อย ... เล่นเกมส์อีกแล้ว ... ล้างจานให้แม่หน่อย ... ช่วยกวาดบ้าน ... อย่าดื้อ เดี๋ยวโดนตี ... " ... เด็กจะตอบทันทีว่า ไม่ชอบในความกดดันที่พ่อแม่ทำกับเขา จ้ำจี้จ้ำไชกับเขา ...

และถ้าเราถามเด็กคนนั้นต่อไปว่า "ถ้าเช่นนั้น พ่อแม่ไม่ยุ่ง อยากทำอะไรก็ทำเลยตามใจชอบเลยดีไหม ?" ... "ไม่ดี" ... เด็กตอบ ...

ถ้าเราให้เด็กเลือก เขาก็คงเลือกไม่อยากมีกฎหรือสภาพกดดันที่พ่อแม่ทำต่อเขา เพราะเขาอยากทำอะไรตามใจชอบที่เขาอยากทำ แต่ลึก ๆ เขาก็ทราบดีว่า "มีกฎหรือความกดดันที่พ่อแม่ให้กับเขา ก็ดีกว่าไม่มี" เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่ให้ความกดดันด้านนี้ ชีวิตของเขาแย่แน่ ๆ

สำหรับพวกเราคริสเตียน พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนให้เรายอมรับความกดดันในด้านนี้เพราะเป็นสิ่งที่ดี และเป็นเครื่องหมายว่า เรามีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนเรา ...

"และท่านได้ลืมคำเตือนที่พระองค์ได้ทรงเตือนในฐานะที่เป็นบุตรว่า บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าท้อถอยในเมื่อพระองค์ทรงตีสอนนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะอยู่ใต้บังคับของพระบิดาแห่งวิญญาณจิต และมีชีวิตจำเริญมิใช่หรือ เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์ เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง" (ฮีบรู 12:5-11)

2. ในแง่ของสามี ภรรยา หรือคุณพ่อคุณแม่

ในเรื่องความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในครอบครัวของเรา จะเห็นได้จากความสัมพันธ์ของสามีภรรยา หรือคุณพ่อ คุณแม่ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าในเรื่องสิ่งที่เราอยากทำ กับสิ่งที่เราควรทำ สิ่งที่เราอยากพูด กับสิ่งที่เราควรพูด สิ่งที่เราอยากมี อยากได้ กับสิ่งที่เราจำเป็น นี่เป็นความกดดันในแง่บวกที่สามีภรรยาควรจะรักษาไว้ และทำตาม ...

ใช่ ... มีหลายสิ่งที่เราอยากทำ แต่ความกดดันในแง่บวกกดดันและเรียกร้องเราไม่ให้ทำ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากพูด แต่ความกดดันในแง่บวกมันกดดันและเรียกร้องเราไม่ให้พูด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากได้ แต่ความกดดันในแง่บวกมันกดดันและเรียกร้องเราให้อดกลั้นใจไว้

ถ้าจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะยกให้เห็นชัดโดยใช้ตัวอย่างของผู้ชายผู้เป็นสามี (เมื่อพูดถึงตัวอย่างนี้ ผมขอกล่าวก่อนว่าผมไม่ได้กล่าวถึงผู้ชายทุกคน แต่ผู้ชายที่เป็นสามีส่วนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ผมไม่ได้ปฏิเสธว่า ผู้ชายที่เป็นคริสเตียนจะไม่มีความคิดนี้ นั่นต้องดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับพระเจ้าเป็นอย่างไร ?) ... คุณลองคิดดู ถ้าพระเจ้าไม่ใส่ความกดดันในแง่บวกให้กับสามี รับรองเขามีเมียน้อยแน่ ๆ แต่การที่สามีที่คิดแม้คิดอยากจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่น แต่ความกดดันในแง่บวกมันกดดันและเรียกร้องเขาให้อย่าทำเช่นนั้น ถ้าเขายอมเชื่อฟัง ครอบครัวของเขาก็ไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟังความกดดันนี้ล่ะ ! ... อะไรจะเกิดขึ้น ? ... บ้านแตกแน่ ๆ ... จะว่าไปแล้วไม่เพียงแต่สามีเท่านั้น แม้แต่ภรรยา ถ้าหากไม่เชื่อฟังความกดดันนี้เมื่อไหร่ ? ... หนีไม่พ้นต้องมีปัญหาครอบครัวแน่นอน

อีกจุดหนึ่งที่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนเกี่ยวกับความกดดันในตัวสามี ภรรยา ก็คือเรื่องสถานะในครอบครัว พระคริสตธรรมคัมภีร์ให้หลักชัดเจนว่า สามีจะต้องเป็นช้างเท้าหน้า ส่วนภรรยาจะต้องเป็นช้างเท้าหลัง ไม่ใช่ควาญช้าง ผู้ชายหลายคน พอพูดถึงเรื่องการกลัวเมีย รีบคุยอวดทันทีว่า ผมไม่กลัวเมีย เวลาเมียคุยกับเขาต้องคุกเข่าก้มศีรษะคุยกับเขา ถามไปถามมาจึงรู้ว่า การที่ภรรยาทำเช่นนั้น เพราะเขาดันไปหลบภรรยาของเขาอยู่ใต้เตียง ...

พระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าสร้างผู้ชายและผู้หญิงให้ทัดเทียมกัน เพราะต่างก็สร้างเหมือนกับพระฉายาของพระองค์ แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เท่านั้น และพระเจ้าทรงใส่ความกดดันนี้ไว้ เพื่อให้ผู้หญิง ผู้ชายทำตามหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหายไว้ ซึ่งจะทำให้ครอบครัวของมนุษย์มีความสุข คุณลองคิดดูก็จะเห็นว่า พระเจ้าทรงสร้างได้อย่างเหมาะสม และลงตัว ลองผู้หญิงพูดคำว่า "จงเข้มแข็งสิ !" กับผู้ชายพูดต่างกัน ถ้าผู้ชายไปพูดว่า "โอ๋...ลูก ! ... อย่าร้องไห้นะลูก" คุณก็พอจะรู้ได้ว่า ... ดูไม่จืดเลยล่ะ !

นอกจากความกดดันในแง่บวกเรื่องของสถานะแล้ว พระเจ้ายังทรงใส่ความกดดันให้กับสามี ภรรยา ในเรื่องต่าง ๆ อีกหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำพูดที่ต้องระมัดระวัง อย่าพูดในสิ่งที่ใจเราอยากพูด เพราะบางที คำพูดเพียงคำเดียวอาจทำลายทั้งครอบครัวได้เลย หรือว่าจะเป็นเรื่องการรับผิดชอบต่อครอบครัวที่สามีภรรยาต้องช่วยซึ่งกันและกัน หรือว่าจะเป็นความกดดันในแง่บวกที่ผลักดันให้มีความสามัญสำนึกในการซื่อสัตย์ต่อคู่ครองของตน

ขอให้คุณลองคิดดูว่า ถ้าพระเจ้าไม่ทรงใส่ความกดดันในแง่บวกให้กับครอบครัว ผู้ชายก็คงจะไม่มีภรรยาเพียงคนเดียว หรืออาจจะมีหลายคู่ที่หย่าร้างโดยไม่มีความรู้สึกผิด ก็เพราะความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในจิตใจของมนุษย์นี่เอง ทำให้ผู้ชายที่เป็นสามี และผู้หญิงที่เป็นภรรยา ควบคุมตนเองไม่ให้มีเมียน้อยหรือนอกใจสามี และทำให้ผู้ชายผู้หญิงหลายคนที่เป็นสามีภรรยาอดทนที่จะไม่หย่า เพราะเมื่อพวกเขาคิดถึงการหย่าเมื่อไหร่ ความกดดันในแง่บวกมันจะทำให้พวกเขาเห็นถึงปัญหาและความสัมพันธ์มากมายเมื่อพวกเขาคิดอยากจะหย่ากัน พวกเขาจะคิดถึงลูกที่ทำให้พวกเขายอมอดทนในการใช้ชีวิตคู่ต่อไป ซึ่งมันก็ทำให้ชีวิตของครอบครัวดำเนินต่อไปได้ ถึงแม้จะอึดอัดใจอย่างมากก็ตาม

แต่ถ้าผู้ชายและผู้หญิงคนไหนคิดว่า "ฉันไม่แคร์ใครทั้งสิ้น ฉันจะหย่าซะอย่าง ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมชีวิตของฉันต้องเป็นอย่างนี้" ... ก็ขอให้คุณคิดดูว่า วันที่คุณแต่งงานกับผู้ชายหรือผู้หญิงคนนั้น มีใครบังคับคุณหรือเปล่า ??? ... ไม่มี ... คุณเป็นคนเลือกเอง เพราะฉะนั้นอย่าโทษพระเจ้า คุณควรจะขอโทษพระเจ้า และใช้พระวจนะของพระองค์ ขอกำลังจากพระองค์ในการปรับปรุงตัวเอง และเปลี่ยนท่าทีใหม่ในการมองชีวิตคู่ ร่วมกันปรึกษาหารือกัน ...

สำหรับหนุ่มสาวที่เป็นคริสเตียน เมื่อรักกัน อยากจะแต่งงานกัน โดยทั่วไปคริสตจักรจะมีอาจารย์เป็นที่ปรึกษาให้ เพื่ออธิบายความหมายของการแต่งงาน เพราะการแต่งงานไม่ใช่เพียงแค่คนสองคนมาใช้เตียงร่วมกันเท่านั้น แต่เป็นการที่คนสองคนตกลงที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันจนกว่าจะตายจากกันไป ฉะนั้น การพูดคุย การมีที่ปรึกษาก่อนจะแต่งงานนั้น เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก เพราะจะสามารถช่วยเราให้มองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อมีวัคซีนในการป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น และตกลงกันในด้านต่าง ๆ ของชีวิตคู่ แน่นอนเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถที่จะลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้มากทีเดียว

แท้จริงแล้ว ไม่มีครอบครัวไหนที่ไม่มีปัญหา ปัญหาไม่ใช่มีไว้เพื่อให้มันทำลายครอบครัวของเรา แต่มีไว้ให้เรารวมพลังในการต่อสู้และเอาชนะมัน โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่เป็นคริสเตียน ก็ยิ่งควรจะเป็นแบบอย่างให้กับครอบครัวอื่น ๆ ให้พวกเขารู้ว่า พวกเราที่เป็นคริสเตียนไม่ใช่ไม่มีปัญหา แต่เมื่อมีปัญหา เราเผชิญปัญหาอย่างไร ? เราต้องเป็นพยานให้กับครอบครัวอื่น ๆ รู้ว่า สามีภรรยาที่ดี จะต้องยอมรับความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้

เมื่อผมไปแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งถามผมว่า ถ้าเอาหลักการที่ผมสอนมาใช้ นั้นแสดงว่า "มีสามีเลว ดีกว่าไม่มีสามี" ใช่ไหม ? ... ผมต้องรีบตอบทันทีว่า "ไม่ใช่ครับ ... ถ้าผู้ชายที่มาจีบเรา เขาเลวมาก ก็อย่าแต่งงานกับเขานะครับ เพราะไม่มีสามีก็ดีกว่ามีสามีเลว คุณอย่าเอาความกดดันเกี่ยวกับระบอบการปกครองและกฎหมายมาใช้กับครอบครัวสิครับ ! มันคนละความกดดันกันครับ"

3. สำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่ ในการรับผิดชอบต่อลูก

และสำหรับความกดดันในแง่บวกในครอบครัวสิ่งสุดท้าย ที่ผมอยากจะฝากไว้ให้คิด ก็คือ เกี่ยวกับความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้สำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่ในการรับผิดชอบต่อลูก ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

มีคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นคริสเตียนหลายคน มอบการสอนพระคัมภีร์ให้กับครูรวีวารศึกษา แต่ความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่นั่นเองแหละที่สำคัญที่สุด เพราะเด็กจะเรียนรู้จากการได้มองเห็นมากกว่าการได้ฟัง ครูรวีวารศึกษาเจอลูกเราก็เพียงอาทิตย์ละชั่วโมงกว่า ๆ แต่เราที่เป็นพ่อแม่เป็นตัวหนังสือที่เด็กกำลังมองอยู่ และเด็กก็ตาดีกว่าหู

เราที่เป็นพ่อแม่ หลายครั้งเราก็ยุ่งเสียจนไม่มีเวลาดูแลความต้องการของลูกเรา และบางครั้งเราก็ประพฤติตัวแตกต่างกับตอนที่อยู่ในคริสตจักรอย่างสิ้นเชิง ซึ่งลูกของเราก็มองเราอยู่ ขอให้เราอย่าลืมว่าลูกเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องจักร และวันหนึ่งเขาต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และมีอิทธิพลต่อสังคม ถ้าเราไม่ยอมรับความกดดันในแง่บวกในเรื่องนี้ คือ เรื่องเกี่ยวกับการอบรม สั่งสอน และ ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแก่ลูก ก็ขอให้เราเตรียมตัวปวดหัวได้เลยเมื่อลูกเราโตเป็นผู้ใหญ่

ประโยคหนึ่งที่พวกเรามักจะได้ยินบ่อย ๆ จากปากคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน คือ ประโยคที่ว่า "ทำไมลูกฉันเป็นอย่างนี้ แต่ก่อนน่ารัก ทำไมเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ?" ...

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ให้หลักการซึ่งเป็นคำตอบ และสามารถป้องกันปัญหานี้ได้ ...

ก่อนอื่น ขอให้คุณท่องคำเหล่านี้ก่อน "อุ้ม...อุ้ม...จับ...จูง...นำ...ชี้...ปล่อย" 7 คำนี้เป็นสิ่งทีเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์เราทุกคน มันเป็นขั้นตอนที่เด็กทุกคนจะต้องผ่าน

อุ้มตัวแรก คือ การอุ้มท้อง ในช่วงนี้ สิทธิอำนาจของแม่ในตัวลูกจะเต็ม 100 % เพราะว่าไม่ว่าแม่จะไปที่ใด ลูกต้องไปด้วย ไปห้องน้ำก็ต้องตามไปด้วย

อุ้มตัวที่สอง คือ อุ้มไว้ในอ้อมแขนภายหลังลูกคลอดออกมาแล้ว เวลานี้สิทธิอำนาจของพ่อแม่ในตัวลูกเริ่มหายไปแล้วแต่ยังน้อยอยู่ เพราะลูกยังต้องให้คุณอุ้มตลอด

ต่อมาเมื่อเด็กโตขึ้น เขาเริ่มดิ้นแล้วไม่ให้คุณอุ้ม เพราะเขาจะคลานหรือเดินเอง คุณทำได้อย่างมากก็คือจับ ซึ่งเขาจะยอมให้จับไหล่เดิน

ต่อมาคุณจะสังเกตเห็นว่า เขาไม่ยอมให้จับแล้ว เขาจะเดินเอง ในช่วงนี้เขายังยอมให้คุณจูง

และเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ตอนนี้เขาไม่อยากให้คุณจูงมือเดินแล้ว เพราะเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว แต่เขายังยอมเดินตามคุณ ยังยอมให้คุณนำหน้า

ต่อมาคุณจะเห็นว่า เขาไม่อยากเดินตามคุณแล้ว เพราะเขาจะรู้สึกอาย นั่นเป็นเครื่องหมายว่า เขาเริ่มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ช่วงนี้เขายังยอมให้คุณชี้ทางให้แก่เขา

และในที่สุดก็มาถึงคำสุดท้าย คือคำว่า "ปล่อย" นั่นคือ ลูกของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ถ้าคุณสังเกตดี ๆ คุณจะเห็นว่าตั้งแต่ อุ้ม คำแรก จนถึงปล่อยนั้น สิทธิอำนาจในตัวของพ่อแม่ต่อลูก เริ่มหลุดหายไปทีละนิด ๆ และในที่สุดก็หมดสิทธิอำนาจในตัวลูก เพราะเขาเป็นตัวของตัวเองแล้ว ดังนั้น พ่อแม่คริสเตียนที่ฉลาด เขาจะระมัดระวังในจุดนี้ และพยายามจะสั่งสอนอบรมลูก ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่าง เพื่อย้ายสิทธิอำนาจในตัวของเขาต่อลูก ให้ไปอยู่ในผู้ที่มีสิทธิอำนาจในตัวมนุษย์ที่แท้จริง นั่นคือ พระเจ้า เพื่อลูกเมื่อมาถึงจุดปล่อย เขาก็ยังยอมอยุ่ใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณเอาไปปล่อยที่ไหนก็สบายใจได้

แต่ถ้าเราเป็นพ่อแม่ไม่ใส่ใจ เมื่อถึงเวลานั้น คุณเอาลูกไปปล่อยที่ไหนก็มีปัญหาทั้งสิ้น ดังนั้น การยอมรับและทำตามความกดดันในแง่บวกในเรื่งอนี้ สำหรับเราที่เป็นพ่อแม่จะต้องรักษาให้ดี และสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่พลาดพลั้งมาแล้ว คือ ตอนนี้กำลังปวดหัวกับเรื่องลูก ก็ขอให้ยึดสุภาษิตไทยที่ว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม่แก่ดัดยาก" ไว้ และถึงไม่แก้มันจะดัดยาก แต่ยากก็ยังดีกว่าดัดไม่ได้ และอีกอย่าง โดยการขอกำลังจากพระเจ้า และสติปัญญาจากพระองค์ เราสามารถช่วยลูกเราได้อย่างแน่นอน แต่นั่นต้องดูท่าทีของเราว่ายอมจำนนต่อวิธีการของพระเจ้าไหม ? และบางครั้งเราที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ อาจจะต้องทบทวนวิธีการเลี้ยงลูก และการเป็นแบบอย่างแก่ลูกที่ผ่านมา ว่าถูกต้องหรือไม่ และควรแก้ไขอย่างไร ?

จากข้างต้นนี้ ทำให้เราเห็นว่า ความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในสครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้ครอบครัวเราพบกับความสุข โดยเฉพาะสำหรับเราที่เป็นคริสเตียน ถ้าเรายอมรับความกดดันในแง่บวกนี้ เราก็จะเป็นแสงสว่างให้กับอีกหลายครอบครัวในสังคมที่อยากจะมีครอบครัวเหมือนเรา และอยากจะรู้จักความจริงของพระเจ้า

วิธีหาคู่ของคริสเตียน

มาถึงจุดนี้ อาจจะมีคริสเตียนหนุ่ม - สาวบางท่านมีคำถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คู่ชีวิตควรจะเป็นอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระประสงค์ของพระเจ้า

แท้จริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงบังคับพวกเราที่เป็นมนุษย์ พระองค์ให้เกียรติ ให้อิสระในการเลือกแก่พวกเรา แต่ถ้าเราเลือกโดยไม่สนใจความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์แล้ว เราต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นทุกอย่างของการไม่ฟังความกดดันนั้น

ถ้าจะถามว่า เกี่ยวกับการหาคู่ครอง พระเจ้าทรงใส่ความกดดันในแง่บวกไว้ในพวกเราที่เป็นคริสเตียนไหม ? ... มีครับ ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าคนไหนเป็นไปตามความกดดันในแง่บวกหรือเปล่า ก็ตรวจสอบจาก 5 ประการนี้

  • คุณรักเขา เขารักคุณ

  • ผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิงกับผู้หญิง ผู้ชายกับผู้ชาย และมีคนเดียวตลอดชีวิต ถ้าไม่ตายจากกันไปซะก่อน

  • ต้องเป็นคริสเตียน ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่เป็นคริสเตียน ควรรอ ถ้าเขาหรือเธอยังไม่เป็นอีก คุณต้องเลือกล่ะว่า จะเอา พระเจ้า หรือมนุษย์ ในจุดนี้ผมก็ยังยืนยันว่า "ถ้าจะตามพระคริสต์ ก็ให้ตามจนถึงที่สุด"

  • คุณพ่อคุณแม่เห็นด้วย นี่เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เลย เราต้องให้เกียรติบิดามารดาของเรา นี่เป็นคำสอนที่สำคัญของพระเจ้าต่อพวกเราที่เป็นลูก

  • ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเห็นด้วย เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเหมาะสม และการรับรองว่าการสมรสที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า อีกด้านหนึ่ง ยังเป็นความรับผิดชอบต่อลูกแกะที่ท่านดูแลอยู่ และเป็นการช่วยให้หนุ่มสาวคู่นั้นได้เรียนรู้ในการเตรียมตัวเขาสู่ชีวิตครอบครัว

ถ้าหนุ่ม-สาว คริสเตียนคนใดยอมรับและเชื่อฟังความกดดันในเรื่องนี้ เชื่อได้เลยว่า ปัญหาเรื่องการหย่าร้างไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาแน่นอน แต่ที่มีปัญหาเรื่องการหย่าร้างอย่างมากมายในสังคมโลกทุกวันนี้ เพราะมนุษย์เราเริ่มทำลายความกดดันในแง่บวกที่พระจ้าทรงใส่ไว้ และพยายามำให้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า "ใช้ความชั่วบีบคั้นความจริง"

"เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง" (โรม 1:18)

สำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียน จะต้องยอมรับความกดดันในแง่บวก และต้องยึดมั่นในความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระเจ้าของเราทรงเกลียดชังการหย่าร้าง (มาลาคี 2:16)

"พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เพราะว่าเราเกลียดชังการหย่าร้าง และการที่ใครกระทำทารุณต่อภรรยาของตน” พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ เพราะฉะนั้น จงระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนทรยศ" (มาลาคี 2:16)


4. เรื่องศีลธรรม

นี่เป็นกฎหรือความกดดันเกี่ยวกับมาตรฐานความดีงามที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในจิตใจของมนุษย์ เป็นกฎหรือความกดดันที่มนุษย์ปฏิเสธหรือโต้แย้งไม่ได้เลย ถ้าเขาจะปฏิเสธหรือโต้แย้ง เขาก็จะรู้สึกขัดแย้งภายในจิตใจตนเอง นั่นเป็นเพราะเขากำลังต่อสู้กับกฎหรือความกดดันที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวของเขา

กฎและความกดดันในแง่บวกในเรื่องของศีลธรรมคืออะไร ? ก็คือ ความปกติของธรรมชาติของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวของมนุษย์ทุกคน เป็นสิ่งหรือมาตรฐานที่มนุษย์ทุกคนทั่วโลกต่างก็รู้ดีอยู่ในจิตใจ และยอมรับว่าดี และสมควรจะทำเช่นนั้น และถ้าจะพูดถึงสิ่งที่มนุษย์เราอยากจะกระทำแล้ว ส่วนมากมักจะขัดแย้งกับกฎและความกดดันนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเลือกของมนุษย์ก็มีเพียงสองทาง คือ ยอมรับ ยอมดำเนินตามกฎและความกดดันนี้ หรือฝ่าฝืน ทำลายมันเสีย ...

แน่นอน ถ้าเขายอมรับและยอมดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎและความกดดันนี้ ชีวิตของเขาและสังคมรอบข้างของเขาก็ไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเขาปฏิเสธ และทำลายมัน ผลที่ตามมานั่นน่ากลัวจริง ๆ เพราะมันกำลังนำให้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมที่แย่กว่าสังคมของสัตว์เดียรัจฉานเสียอีก ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เรามีตัวอย่างมากมาย แต่ข้างล่างนี้ ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านเห็นชัด ๆ สัก 2-3 ตัวอย่าง

เรื่องเพศ

ขอเพียงแต่เราเป็นมนุษย์ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรื่องเพศเป็นสิ่งที่ดี และมนุษย์เรามีอิสระในการใช้ แต่ก็มีกฎหรือความกดดันที่แจ้งในจิตใจของมนุษย์เราให้สำนึกว่า มนุษย์เราไม่สามารถใช้เรื่องเพศแบบตามใจ แต่ต้องสอดคล้องกับศักยภาพแห่งศีลธรรมที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์เราด้วย เราทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า มีกฎและความกดดันที่เป็นมาตรฐานให้เราทราบว่า เราสมควรใช้เรื่องเพศให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่ปรากฎในจิตใจส่วนลึกของเรา

ถ้ามนุษย์เราใช้เรื่องเพศอย่างถูกต้องแล้ว ภายในจิตใจของเขาจะไม่รู้สึกขัดแย้ง ไม่รู้สึกผิด และรู้สึกภูมิใจ แต่ถ้าเขาใช้ผิด เขาจะรู้สึกขัดแย้ง รู้สึกผิดทันที (ซึ่งความรู้สึกผิดภายในจิตใจนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย) และดังที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่า เมื่อมนุษย์เราได้ฝ่าฝืนความกดดันในแง่บวกไปแล้ว เราจะรู้สึกผิดและกลัว เพราะเรารู้ดีว่า เราได้ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำแล้ว และหลังจากนั้นก็ต้องดูว่าท่าทีของเราต่อสิ่งที่เราทำในสิ่งที่เรารู้ว่าไม่สมควรทำนั้น เป็นอย่างไร ?

ถ้าเรายอมรับผิด เห็นด้วยกับจิตใจภายในที่ฟ้องเรา และตั้งใจที่จะไม่ทำเช่นนั้นอีก และพร้อมที่จะยอมรับผิดต่อคนรอบข้างของเราด้วยใจที่สำนึกว่าผิดไปแล้ว เช่นนี้ เราจะได้รับการยกโทษ และมีกำลังในการตั้งต้นชีวิตใหม่

แต่ถ้าเราไม่ยอมรับการฟ้องของภายในจิตใจ และพยายามต่อสู้กับมัน และไม่แคร์ต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง โดยคิดว่า ฉันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือทำท่าเก๊กว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันเป็นคนดี นั่นจะทำให้เราทำมันเรื่อย ๆ และจมดิ่งลงไปในความมืดยิ่งขึ้น

และเรื่องที่น่าเศร้าก็ปรากฎขึ้นในสังคมของมนุษย์เรา เพราะว่าปัจจุบันนี้ มนุษย์เราทำลายความกดดันในเรื่องนี้ และพยายามสร้างค่านิยม มาตรฐานตามกิเลสตัณหาของตนเอง มนุษย์เราได้ทำให้การมีเพศสัมพันธ์นอกเหนือพิธีสมรสเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดบาป

ภาพยนตร์ต่าง ๆ ของฮอลี่วู๊ด มักจะเห็นฉากการมีเพศสัมพันธ์นอกเหนือจากการสมรสเต็มไปหมด หนังสือ วารสาร วีดีโอ อินเตอร์เนต เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ลามก ก็ดาษดื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต และสิ่งที่ก็แผ่ขยายครอบครองความคิดของคนหนุ่มสาวทั่วโลก

สถิติก็ได้บอกเราอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้ นิสิต นักเรียน นักศึกษา มีเพศสัมพันธ์กันนอกเหนือพิธีสมรสมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอัตราที่สูง และเมื่อทำผิดลงไปแล้ว เขาก็พยายามผลักดันให้การทำผิดเรื่องเพศของพวกเขานั้น ให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ โดยการชักชวน ให้คนอื่น ๆ ทำตามเขา

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ปฏิเสธจิตสำนึกผิดชอบที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเขาไม่ได้เลย และพระวจนะของพระเจ้าก็บอกชัดเจนว่า "มนุษย์เราจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองในวันพิพากษา"

"ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว" (ปัญญาจารย์ 12:14)

รักร่วมเพศ

รักร่วมเพศ หรือชอบเพศเดียวกัน ไม่ใช่โรคทางร่างกาย เพราะถ้าเป็นโรคทางกาย เราก็หายารักษาได้ แต่เรื่องนี้เป็นโรคทางจิตใจ ...

ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บุคลิกลักษณะของมนุษย์เราแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน มีหลากหลาย สภาพแวดล้อมของแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกัน จึงทำให้ลักษณะจิตใจและบุคลิกของเราแตกต่างกัน บางคนก็มีบุคลิกแข็ง บางคนก็อ่อนสุภาพ

ในสมัยก่อน ก็มีผู้ชายที่มีบุคลิกภาพที่สุภาพ อ่อนไหว หรือผู้หญิงที่มีลักษณะห้าว ๆ แต่พวกเขายอมรับกฎและความกดดันเกี่ยวกับศีลธรรมที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ มันก็ทำให้เขายอมรับความเป็นชายและหญิงของตนเอง ถึงแม้ลึก ๆ มันจะขัดกับความต้องการ ความรู้สึกของตนเอง ซึ่งเมื่อพวกเขายอมรับความกดดันนี้ จึงทำให้ชีวิต และสังคมรอบข้างของเขาดำเนินไปได้ด้วยดี

แต่น่าเศร้าที่ปัจจุบันนี้ มีผู้หญิงและผู้ชายบางท่านไม่ยอมรับความกดดันนี้ และพยายามทำลายความกดดันนี้ สุดท้าย ผลเป็นอย่างไร ? ... พวกเขาได้ทำและแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาต้องการทำออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ที่มีบุคลิกอย่างพวกเขาในอดีตไม่กล้าทำ และพวกเขายังพยายามผลักดันให้สังคมยอมรับการประพฤติเช่นนี้ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประจวบกับยุคนี้มีการสื่อสารข่าวสารอย่างกว้างขวาง โลกแคบลง จึงทำให้การประพฤติเช่นนี้แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว

หลายคนที่มีบุคลิกเช่นนี้ และเปิดเผยตัว โดยคิดว่า "เรื่องของฉัน ฉันไม่เห็นทำให้ใครเดือดร้อน" ... แท้จริงแล้ว ไม่มีใครเดือดร้อนจริงหรือ ? ... ไม่จริงเลย ... คุณพ่อ คุณแม่ของเขาเดือดร้อนเป็นคนแรกแน่ ๆ และอีกอย่าง เมื่อมีคนหนึ่งเปิดเผยแสดงตัวออกมาอย่างนี้ คนอื่น ๆ ที่มีบุคลิกเช่นนี้ก็เริ่มมองเห็นว่า ถ้าจะแก้ปัญหาด้วยการประชดวิธีนี้น่าจะเป็นทางออกวิธีหนึ่ง และเมื่อเขาเจอกับสภาพปัญหาในครอบครัวหรือพบกับปัญหาที่กดดันเขา จึงทำให้เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ โดยไม่ยอมฟังความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเขาว่า "นั่นไม่สมควรทำ" ... และจากคนหนึ่งก็เป็นสองเป็นสาม ... ทวีขี้นเรื่อย ๆ และไม่แน่ เราอาจจะเห็นว่า กฎหมายของประเทศต่าง ๆ ในโลกอาจจะอนุญาตให้การสมรสระหว่างเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ได้ ซึ่งนี่คือปรากฎการณ์การทำลายความกดดันในแง่บวก และจะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของศีลธรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ...

เรื่อง การกิน การดื่ม การเล่น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่ต้องอธิบายมากเลย เพราะท่านผู้อ่านก็เห็นประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่า ปัจจุบันนี้มนุษย์เราได้ฝ่าฝืนความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับศีลธรรมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การดื่มเหล้า การสูบบุหรี่ การเล่นการพนัน เป็นเรื่องธรรมดาในสังคม และที่น่าเศร้าใจและเป็นห่วงที่สุด ก็คือ ลูกหลานของพวกเราคนไทยที่เป็นอนาคตของประเทศชาติของเรา เพราะสิ่งที่สังคมไทยให้กับเด็กวันนี้ ก็คือ ค่านิยมของสังคมที่ทำลายความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับด้านศีลธรรมจนเกือบจะไม่เหลือร่องรอยอยู่แล้ว ท่านผู้อ่านดูโฆษณาในทีวีสิครับ มีแต่เหล้า มีแต่เบียร์ เช่นนี้ก็พอจะเห็นอนาคตของบ้านเราอย่างชัดเจน ถ้าเราไม่แก้ไขวันนี้ เราต้องเก็บเกี่ยวในวันหน้าอย่างแน่นอน ...

ผมพูดตรงนี้ ไม่ได้มาตอกย้ำความผิดของผู้ที่ทำผิด ซึ่งผมไม่มีสิทธิ์และไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะในการสอนสั่งตำหนิใคร เพราะผมก็เป็นคนบาปเหมือนกับทุกคนในโลกนี้ ผมได้ทำผิดมามากมาย และยังบกพร่องอยู่เสมอ ผมเองก็ได้รับพระคุณของพระเจ้าเช่นกัน แต่ที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น

ผมเพียงแต่อยากจะวิงวอนขอร้องท่านผู้อ่านที่ทำผิดเรื่องนี้ไปแล้ว ให้ท่านไตร่ตรองดูให้ดี ๆ และหันกลับมาขอโทษกับพระผู้สร้างของท่าน ที่ได้รักท่านจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปแทนท่าน และประทานชีวิตใหม่ให้ท่าน เพื่อท่านจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และยังได้ให้ท่านมีส่วนร่วมในสังคมใหม่ คือ คริสตจักรของพระองค์อีกด้วย พระเยซูคริสต์ไม่เคยตอกย้ำความผิดบาปของมนุษย์ แต่พระองค์เข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอด

มีบทความหนึ่งที่บรรยายถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อมนุษย์เราที่เป็นคนบาป ดังนี้

"ประวัติศาสตร์ได้บันทึกถึงชายคนหนึ่งที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเมื่อ 2000 ปีที่แล้วไว้ว่า ท่านผู้นี้ไม่เคยทำผิดใด ๆ ในปากของท่าน ไม่มีคำหลอกลวง และมุสา ท่านถูกด่าก็ไม่ด่าตอบ ท่านถูกทำร้าย แต่ท่านไม่ได้พูดข่มขู่ แต่ท่านกลับถูกตรึงที่ไม้กางเขน เพื่อให้มนาย์ได้รับการชำระจากความบาป และกลับกลายเป็นคนใหม่ พระนามของท่านคือ "เยซู" พระองค์รักท่าน เสียสละเพื่อท่าน

เสียงเอะอะวุ่นวายของประชาชน ความดุดันของฝูงชน ทหารได้เอาตะปูแหลมยาวสามดอก ตอกแรง ๆ ไปที่ฝ่ามือและเท้าของพระองค์ เลือดแดง ๆ ได้ไหลออกมา ... เพื่อชำระความผิดบาปของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง ...

มีคนถามว่า "พระเยซูเจ้าข้า เพราะเหตุใดพระองค์จึงมาตายเพื่อข้าพระองค์"

พระเยซูตอบว่า "เลือดเราไหลออกก็เพื่อท่าน ชีวิตของเราเทออกเพื่อท่าน ทั้งหมดก็เพราะ "เรารักท่าน" " "

บทความข้างต้นนี้ เป็นความจริงในชีวิตของคริสเตียนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก เขาเหล่านั้นต่างก็เคยผิดพลาด แต่เมื่อรู้จักพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงใหม่ และทัศนคติของพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตก็เปลี่ยนไป พวกเขากลับมายอมรับความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์อีกครั้ง และเมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของพวกเขาก็จะมีความสุขและมีอิทธิพลในแง่บวกต่อสังคมที่เขาอยู่อย่างแน่นอน


5. เรื่องความจริงที่สมเหตุสมผล

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกอย่างเด่นชัดว่า เมื่อมนุษย์เราล้มลงในบาป เขาพยายามที่จะใช้ความคิดของตนเองสร้างหลักการหรือหลักเกณฑ์ขึ้นมาต่อสู้กับกฎหรือความกดดันที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเขาในเรื่อง "ความจริง" ...

ความจริงคืออะไร ? ... ก็คือเหตุผลี่สมเหตุสมผล สอดคล้องกับศักยภาพแห่งการเข้าใจ ในความจริงที่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่อยู่ในหัวของมนุษย์ทุกคน ขอเพียงแต่เขาเป็นมนุษย์ ไม่เอ๋อ ไม่ปัญญาอ่อน ไม่ใจแข็งกระด้าง เขาจะมีศักยภาพในการเข้าใจในความกดดันเรื่องความจริงที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ได้อย่างแน่นอน (รายละเอียด ดูได้จากหนังสือ "โลกีโกส")

แต่ก่อนผมมีความคิดที่ว่า คนที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกนั้นเป็นพวกงมงาย และถ้ามีคนถามผมว่า ถ้าเช่นนั้น คุณคิดว่าโลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ... ผมก็จะตอบว่า "มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ"

แต่ต่อมา เมื่อผมนั่งลงคิด ผมจึงรู้ว่าแท้จริงแล้ว คนที่เชื่อ หรือบอกว่าโลกนี้เกิดขึ้นเอง เป็นคนงมงายต่างหาก

ข้างล่างนี้ ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านได้เห็น

สมมติว่า มีภาพวาดภาพหนึ่งตกอยู่ที่พื้น ขณะนั้น นายสมชาย กับนายขจรเดินมาพบ

นายสมชาย เชื่อว่า รูปนี้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีคนวาด

นายขจร เชื่อว่า รูปนี้เกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่ต้องมีคนวาด

ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตดู ก็จะเห็นว่านายสมชายกับนายขจร ต่างก็ใช้ความเชื่อทั้งสองคน แต่ความเชื่อของใครสมเหตุสมผล สอดคล้องกับศักยภาพในการเข้าใจเรื่องเหตุผลที่สมเหตุสมผล กับความจริงที่อยู่ในหัวของมนุษย์ ? ... แน่นอน คำตอบก็คือ นายขจร นั่นเอง

เมื่อใครก็ตามศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อของคริสเตียน เขาก็จะพบว่า นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าใครปฏิเสธก็มีใจแข็งกระด้าง และต้องสร้างเหตุผลจอมปลอมที่ขัดแย้งกับความเข้าใจในเรื่องเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาต่อต้าน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถโต้แย้งกับความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเขาได้เลย

ข้างล่างนี้ ผมขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ค้นหาคำตอบ ว่าหลักข้อเชื่อเหล่านี้ของความเชื่อคริสเตียนเป็นความจริง ที่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลหรือไม่

  1. พระเยซูคริสต์ทรงอ้างตัวว่า พระองค์เป็นพระเจ้า ทรงสร้างโลกนี้ และสร้างมนุษย์ ถ้าคนหนึ่งไม่เชื่อ เขามีเหตุผลอะไร ?

  2. พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า "เราเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดจากบาปได้ ผู้ที่เชื่อในเรา เขาจะไม่ต้องพบกับการพิพากษา เพราะเรารับแทนเขาแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ เขาต้องรับการพิพากษาตามการกระทำของเขา" ถ้าคนหนึ่งไม่เชื่อ เขาจะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธ

ท่านผู้อ่านที่รัก ขอให้คุณลองสังเกตคำอ้างของพระเยซูคริสต์ คุณจะเข้าใจได้ว่า มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้น ที่กล้าพูดสองประโยคนี้ ก็คือ คนบ้า กับคนที่เขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และความเข้าใจในความจริงที่อยู่ในหัวของท่าน ก็กำลังบอกท่านว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่คนบ้าเลย ในเมื่อพระองค์ไม่ใช่คนบ้า แล้วพระองค์เป็นใครล่ะ ? ...

แน่นอน พระองค์ทรงเป็นดังที่พระองค์ตรัสอ้างจริง ๆ คือ เป็นพระเจ้าผุ้ทรงลงมาเพื่อรับสภาพเป็นมนุษย์ เพื่อใช้ร่างกายนั้นไถ่บาปให้แก่พวกเราที่เป็นคนบากนั่นเอง

ข้างต้นนี้ ผมอาจไม่ได้อธิบายมากมายอะไรนัก แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า ความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในท่าน กำลังบอกท่านว่า นี่คือความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ท่านอย่าได้ฝืนความกดดันในแง่บวกนี้เลย เพราะมีผลต่อชีวิตหลังความตายของท่านเป็นนิจนิรันดร์ ...


6. เรื่องความรับผิดชอบหรือหน้าที่

นี่เป็นความกดดันที่สามารถทำให้ชีวิตของเราจะได้รับการเสริมสร้าง และได้รับการพัฒนาอย่างมาก การที่พระเจ้าทรงใส่ความกดดันนี้ไว้ในมนุษย์เรา ก็เพื่อจะย้ำเตือนให้มนุษย์เราทราบว่า ชีวิตของเรามีคุณค่า มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เราที่เป็นมนุษย์จะต้องทำงาน

ผมเป็นอาจารย์ซึ่งสอนอยู่ในสถาบันพระคริสตธรรม แน่นอน ถ้าจะถามว่าอยากจะเตรียมตัวสอนไหม ? ... ไม่อยาก ... รู้สึกขี้เกียจ แต่ความกดดันในแง่บวกกำลังบอกผมว่า ความรู้สึกขี้เกียจนี้ไม่ดี ทำให้ผมลุกขึ้นทำตามความกดดันในแง่บวก และต้องนั่งเตรียมตัวสอน

ถ้าเราไปถามนักเรียนว่า ชอบที่จะมีการบ้าน รายงานต่าง ๆ ไหม ? ... ไม่ชอบ ... ถ้าเช่นนั้น ครูไม่ต้องให้การบ้านหรือรายงานเลยดีไหม ? ... ไม่ดี

และถ้าเราไปถามพ่อค้า แม่ค้า ว่าอยากอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรดีไหม ? ... ดี ... แต่ทำไม่ได้หรอก ... เพราะอะไร ? ... ก็เพราะความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเขา มันเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ ... ถ้าเขาฝ่าฝืน มีปัญหาแน่ ๆ ...

ตัวอย่างข้างต้นเหล่านี้ ชี้ให้พวกเราเห็นถึงความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับความรับผิดชอบหรือหน้าที่ในชีวิต

สำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียน มีความกดดันในแง่บวกเกี่ยวกับการรับผิดชอบอีกประการหนึ่ง ที่แตกต่างกับผู้ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน นั่นคือ เราต้องประกาศ และเป็นพยานเพื่อพระเจ้าของเรา นี่เป็นความกดดันที่พวกเราที่เป็นคริสเตียนไม่ควรฝ่าฝืน แต่ต้องทำตาม

อาจารย์เปาโลบอกอย่างชัดเจนว่า ถ้าโดยตัวท่านแล้ว ไม่อยากจะทำการประกาศเลย แต่เพราะความรักที่เป็นความกดดันในแง่บวกของพระเยซูคริสต์นี่เอง ที่ทำให้ท่านทราบดีว่า ท่านไม่สามารถที่จะตอบแทนพระคุณของพระเยซูคริสต์ได้เลย แต่สิ่งที่ทำได้ ก็คือ ท่านต้องทำในสิ่งที่สมควรทำเพื่อตอบสนองต่อความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อชีวิตของท่าน นั่นคือ การประกาศ และเป็นพยานเพื่อพระเยซูคริสต์

"เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า เพราะถ้าข้าพเจ้าประกาศตามเจตนาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะได้สินจ้าง หากกระทำการประกาศนั้นโดยพระเจตนา ก็ยังเป็นการที่ทรงมอบไว้ให้ข้าพเจ้ากระทำ แล้วข้าพเจ้าจะได้อะไรเล่า คือเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าได้ประกาศโดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐนั้นอย่างเต็มที่" (1โครินธ์ 9:16-18)

ซึ่งท่านก็ทราบดีว่า ถ้าท่านฝ่าฝืน ไม่ฟัง จะมีผลต่อชีวิตของท่านเป็นนิจนิรันดร์แน่นอน ...

ความกดดันนี้ ไม่ใช่เฉพาะอาจารย์เปาโลเพียงคนเดียว แต่มีต่อพวกเราที่เป็นคริสเตียนทุกคนด้วย

เมื่อคนหนึ่งมาเป็นคริสเตียน เขาจะมีงานรับใช้ในด้านต่าง ๆ และท่ามกลางงานรับใช้ต่าง ๆ นั้น การประกาศข่าวประเสริฐเป็นงานที่ทุกคนต้องทำ และเป็นงานที่ยากกว่างานรับใช้ทุกอย่าง

เมื่อพูดเช่นนี้ ผมไม่ใช่หมายความว่างานรับใช้ด้านอื่น ๆ ไม่ยาก แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว ง่ายกว่ามาก เพราะอะไรน่ะหรือ ? ... ก็เพราะ การเทศนา การสอนรวีวารศึกษา หรือการสอนในโรงเรียนพระคริสตธรรมนั้น คนที่มาเรียนต่างก็เตรียมใจพร้อมแล้วที่จะมาฟัง แต่เมื่อออกไปประกาศ เราไม่ทราบเลยว่าคนเหล่านั้น พร้อมที่จะฟังเราหรือไม่ ?

เมื่อเราอ่านว่าพระดำรัสของพระเยซูคริสต์ ที่ว่า

"ไปเถอะ ดูเถิด เราใช้ท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า" (ลูกา 10:3)

เราอาจจะคิดว่าพระเยซูคริสต์อำมหิตก็ได้ เพราะถ้าใครสร้างคอกคอกหนึ่งแล้วเอาหมาป่าร้อยตัวปล่อยเข้าไปในคอก แล้วก็หย่อนลูกแกะลงไปหนึ่งตัว ให้อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่านั้น เป็นภาพที่น่าหวาดกลัว เหมือนอำมหิตมาก ๆ

แต่ความจริงแล้ว พระเยซูไม่ได้เป็นผู้อำมหิตเลย แต่พระองค์มอบสิทธิอำนาจให้แก่ลูกแกะนั้นด้วย เหมือนตำรวจที่มีอำนาจห้ามรถเป็นสิบ ๆ คัน กลางสี่แยก

"พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”" (มัทธิว 28:18-20)

เช่นเดียวกัน เราเป็นลูกแกะของพระเจ้า อาจจะดูเหมือนตัวเล็ก ๆ ไม่มีอำนาจอะไร แต่เมื่อเราไปพร้อมกับพระมหาบัญชาของพระองค์แล้ว ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็มีให้เราอย่างล้นเหลือ ซึ่งใครก็หยุดเราไม่ได้ และไม่สามารถขัดขวางเราได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต

และอีกประการหนึ่งก็เพื่อให้ลูกแกะทั้งหลายของพระองค์ทราบว่า เมื่อเขาได้รับชัยชนะในการประกาศ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง แต่ต้องเข้าใจว่าชัยชนะของเขานั้นมาจากพระเจ้า พระบิดาของเขาทั้งหลาย แต่สิทธิอำนาจหรือฤทธิ์เดชในการรับใช้พระองค์ที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่ลูกแกะของพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องใส่ใจ และเรียนรู้ว่าจะรับได้อย่างไร

หลักความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้บอกเราว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้าอยู่ในบุคคลที่มี 4 ประการนี้ ในชีวิต ได้แก่

  1. มีความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า

  2. มีชีวิตที่บริสุทธิ์

  3. มีความยุติธรรมหรือเที่ยงธรรม

  4. มีความรักของพระเจ้าที่จริงใจ

ที่ผ่านมา เราเคยประกาศข่าวประเสริฐแล้วหรือยัง ? ถ้ายัง ให้เราเริ่มต้นที่จะขยับตัวและเอ่ยปาก โดยเริ่มจากคนรอบข้างของเราดีไหม ? ....

ที่ผ่านมา เราเคยหวั่นกลัวไหมกับการประกาศ ? ... วันนี้เมื่อเราได้รู้จักความจริงนี้แล้วว่า เรามีสิทธิอำนาจ และฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ก็ขอให้เราเริ่มอีกครั้ง ในการทูลขอจากพระองค์ เพื่อขอไฟแห่งความกล้าหาญในการประกาศ และความรักต่อดวงวิญญาณที่กำลังพินาศ ให้ลุกโชติช่วงอีกครั้งภายในจิตใจของพวกเรา เราต้องยอมรับความกดดันในแง่บวกในเรื่องนี้ของพระเจ้า ต่อพวกเราที่เป็นคริสเตียน และท่องอยู่เสมอว่า

"เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า" (1โครินธ์ 9:16)


7. ความกดดันเพื่อฝึกชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ

"ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย

ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย

และท่านได้ลืมคำเตือน ที่พระองค์ได้ทรงเตือนในฐานะที่เป็นบุตรว่า

บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และอย่าท้อถอยในเมื่อพระองค์ทรงตีสอนนั้น

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น

ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง

แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ

อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะอยู่ใต้บังคับของพระบิดาแห่งวิญญาณจิต และมีชีวิตจำเริญมิใช่หรือ

เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์

เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น

และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ

จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย และอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย

จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป

อย่าให้ใครเป็นคนลามก หรือเป็นคนผิดธัมมะเหมือนอย่างเอซาว ผู้ได้เอาสิทธิของบุตรหัวปีนั้นขายเสีย เพราะเห็นแก่อาหารเพียงมื้อเดียว

เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเอซาวอยากได้รับพรนั้นเป็นมรดก เขาก็ได้รับคำปฏิเสธ เพราะเขาไม่มีหนทางแก้ไขเลย ถึงแม้ว่าได้กลับใจแสวงหาจนน้ำตาไหล" (ฮีบรู 12:3-17)

สำหรับความกดดันนี้ เป็นความกดดันในแง่บวกที่มีอยู่ในชีวิตของคริสเตียนเท่านั้น เมื่อคนหนึ่งได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะทรงฝึกชีวิตของเขาเพื่อสร้างชีวิตของเขาขึ้นมาใหม่ ให้ยิ่งมายิ่งเหมือนกับพระเยซูคริสต์

"เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก" (เอเฟซัส 5:1)

"เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก" (โรม 8:28-29)

โดยปกติแล้ว เมื่อคนหนึ่งมาเป็นคริสเตียนได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง คนรอบข้างจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาได้ และตัวของเขาเองก็จะสังเกตได้เช่นกัน นั่นเป็นเพราะเขากำลังเข้าสู่ระบบการฝึกที่เข้มงวดที่เป้นความกดดันในแง่บวกของพระเจ้าในชีวิตของเขานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

นิสัยต่าง ๆ

หลายคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียน อาจมีอารมณ์ร้อน มุทะลุ หยิ่งจองหอง โกรธง่าย ขี้น้อยใจ ลามก ชอบจดจำความผิด ไม่ยอมให้อภัย ไม่มีความอดทน ไม่มีความรัก ฯลฯ

แต่เมื่อเขาได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทรงฝึกนิสัยใหม่ให้แก่เขา และให้เขาต้องพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องแสดงนิสัยนี้ออกมา เพื่อเขาจะเรียนรู้ ฝึกที่จะเอาชนะมัน เช่น

... ถ้าเขาเป็นคนขี้น้อยใจ เขาก็จะพบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาฝึกที่จะไม่น้อยใจอีกต่อไป

... ถ้าเขาเป็นคนหยิ่งจองหอง พระเจ้าก็จะทรงให้เขาเจอเหตุการณ์หรือพบกับคนที่เขาจะต้องแสดงออกถึงความหยิ่งจองหองออกมา แบบตอนที่เขายังไม่เชื่อ เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะถ่อมใจ

... ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ให้อภัยคน พระเจ้าก็จะให้เขาเจอกับเหตุการณ์ที่เขาต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยคน

ซึ่งถ้าคริสเตียนคนใดยอมรับความกดดันในแง่บวกในการฝึกชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่พระเจ้าทรงให้แก่เขานี้ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขาก็จะเติบโตอย่างสม่ำเสมอแน่นอน

แต่ถ้าคริสเตียนคนใดไม่ยอมรับความกดดันในการฝึกชีวิตในเรื่องนี้ เขาก็จะเป็นคริสเตียนเนื้อหนัง และทารกต่อไป จนกว่าเขาจะยอมกลับใจใหม่ ยอมจำนนต่อความกดดันในแง่บวกในการรับการฝึกชีวิตจากพระเจ้าที่ทรงใส่ไว้ในเขา นั่นแหละจึงจะเป็นการก้าวในเส้นทางแห่งการฝึกนิสัยของชีวิตใหม่ของคริสเตียน

ความเชื่อ

ในชีวิตคริสเตียนนั้น มีความกดดันที่พิสูจน์ในความเชื่อที่เขาเชื่อ เมื่อคริสเตียนคนหนึ่งเรียนรู้และบอกว่าตนเองมีความเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดู หรือบอกว่าเขาจะต้องยอมทำตามสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง แน่นอนที่พระเจ้าทรงทราบดีว่า มนุษย์คนนั้นเชื่อพระองค์จริงหรือไม่ แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่รู้ว่าตนเองเชื่อตามที่พูดหรือไม่ ?

ดังนั้น พระเจ้าจะทรงพิสูจน์ให้เขาได้รุ้จักตนเองว่า เขานั้นเชื่อจริงหรือไม่ ?

โดยใช้ความกดดันในแง่บวกทดสอบเขา ถ้าเขาสามารถผ่านการทดสอบได้ เขาก็จะรู้สึกภูมิใจ และมีความสุข และพระเจ้าจะทรงฝึกความเชื่อของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของเขาก็จะยิ่งมายิ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้า และมีอิทธิพลในแง่บวกต่อคนรอบข้าง

แต่ถ้าเขาไม่ผ่านการทดสอบความเชื่อนี้ ก็เป็นผลดีสำหรับเขา เพราะจะทำให้เขารู้ดีว่า เขาไม่ได้เชื่อเหมือนที่เขาพูดออกมา เพื่อเขาจะได้ตรวจสอบและพัฒนาปรับปรุงตนเองให้เติบโตในเส้นทางแห่งความเชื่อของเขา

มีครั้งหนึ่ง ผมเห็นคริสเตียนคนหนึ่ง ที่เคยพูดว่า เขามีความเชื่อในการทรงเลี้ยงดูของพระเจ้า แต่เมื่อมีการทดสอบมาถึง เขาพยายามใช้วิธีของตนเองในการหาเงิน และฝ่าฝืนความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในชีวิตของเขา น่าเศร้ามาก ๆ ผ่านไปไม่นาน เขาก็ต้องรับผลแห่งการฝ่าฝืนความกดดันในแง่บวกนั้น

ในประสบการณ์การรับใช้ของผม ผมเห็นหลายคนที่พูดว่า พวกเขาเชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่เป็นความกดดันในแง่บวก เพื่อพิสูจน์ความเชื่อของพวกเขาแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็เห็นว่า พวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าจริง ๆ

แต่ผมก็เห็นหลายคน เมื่อมีการทดสอบความเชื่อ เขาก็สามารถที่จะผ่านการทดสอบและเข้มแข็งในความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

ในหนังสือเล่มเล็กนี้ เราคงไม่สามารถจะพูดรายระเอียดกันได้มากกว่านี้ แต่ผมขอหนุนใจพี่น้องคริสเตียนทุกท่านว่า ขอให้เรายอมรับความกดดันในแง่บวกของการฝึกชีวิตแห่งความเชื่อ และการยอมจำนนของพวกเราในเส้นทางของการดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า การฝึกนี้จะมีไปตลอดชีวิต ทุกวัน ทุกเวลา เพื่อเป็นผลดีแก่เรา การฝึกนี้จะยากขึ้นเรื่อย ๆ ...

ถ้าเราผ่านไปได้ พระเจ้าจะทรงขยายวงอิทธิพลของเราไปเรื่อย ๆ และทำให้เรามีชีวิตที่เป็นอิทธิพลในแง่บวก และเป็นพระพรแก่คนอื่น ๆ ...

และที่เหนืออื่นใด จะทำให้พระเจ้าทรงได้รับเกียรติ เพราะชีวิตแห่งความเชื่อและการยอมรับความกดดันในแง่บวกของเรา

ขอให้เราจำไว้ว่า การบ่นเป็นเครื่องหมายของการที่เราไม่ยอมรับความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเรา

ขอให้เรายอมจำนน ต่อการฝึกชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่พวกเราที่เป็นคริสเตียน ต้องต่อสู้กับความต้องการที่มันอยากให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำภายในจิตใจ

ขอให้เราเรียนจากพระเยซูคริสต์ที่ตรัสในสวนเกทเสเมนีว่า "ไม่ใช่ตามที่ข้าพระองค์เห็นชอบ แต่ตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ"

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ ความกดดันในแง่บวกที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com