ขอบคุณพระเจ้าที่ในยุคปัจจุบัน ความรู้ได้ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วตามคำทำนายของดาเนียล ทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการของพระเจ้าได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มากยิ่งกว่าที่ผู้พยากรณ์ในพระคัมภีร์จะเข้าใจได้เสียอีก เพราะนอกจากเราจะมีพระคำแล้ว เรายังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยัน และได้เห็นสิ่งต่างๆ เป็นไปตามคำทำนายได้จนเกือบจะครบถ้วนแล้ว คงเหลือแต่เพียงไม่กี่คำทำนายที่ยังไม่สำเร็จตามนั้น
ในบทนี้ ผมอยากจะขอเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ โดยใช้เค้าโครงจากบทความที่เขียนโดย Alan Torres จากเว็บไซต์ biblicist.org (ตอนนี้ไม่สามารถเปิดได้แล้วครับ)
พระเยซูคริสต์ (พระเมสสิยาห์) มาเกิดที่เบธเลเฮม
พระคริสต์เสร็จสิ้นงานไถ่มนุษย์ที่ไม้กางเขน
พระวิหารถูกทำลาย ปี ค.ศ. 70 (พระคริสต์ทำนายไว้ใน มัทธิว 24:2)
ชาวยิวกระจัดกระจายไปทั่วโลก (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:15-29; เอเสเคียล 36:2-8; เศคาริยาห์ 10:9)
ยุคคริสตจักร (มัทธิว 13; เอเฟซัส 2) โดยคริสตจักรทั้ง 7 ในวิวรณ์ 2-3 มีอยู่จริงในสมัยอัครทูตยอห์น (ผู้เขียนวิวรณ์) และสภาพของคริสตจักรเหล่านี้ยังตรงกับคริสตจักรยุคต่างๆ ด้วย
เอเฟซัส (วิวรณ์ 2:1; ค.ศ. 30-100) เป็นตัวแทนของคริสตจักรสมัยอัครทูต
สเมอร์นา (วิวรณ์ 2:8; ค.ศ. 100-313) เป็นตัวแทนของคริสตจักรสมัยโรมที่ถูกข่มเหงอย่างหนัก
เปอร์กามัม (วิวรณ์ 2:12; ค.. 313-600) เป็นตัวแทนของคริสตจักรสมัยคอนสแตนติน
ธิยาทิรา (วิวรณ์ 2:18; ค.ศ. 600-1517) เป็นตัวแทนของคริสตจักรในยุคมืด
ซาร์ดิส (วิวรณ์ 3:1; ค.ศ. 1517-1648) เป็นตัวแทนของคริสตจักรยุคปฏิรูป
ฟิลาเดลเฟีย (วิวรณ์ 3:7; ค.ศ. 1648-1900) เป็นตัวแทนของคริสตจักรสมัยที่มีการตื่นตัวครั้งใหญ่ ซึ่งมีการส่งมิชชันนารีจำนวนมาก
เลาดีเซีย (วิวรณ์ 3:14; ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน) เป็นตัวแทนของคริสตจักรยุคปัจจุบัน ซึ่งเฉื่อยชา และออกห่างจากทางของพระเจ้า
การรวมชาติอิสราเอลในปี 1948 เป็นเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ และทำให้โลกต้องตะลึง แต่แท้จริงแล้ว พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ว่าอิสราเอลจะรวมชาติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และพระองค์ได้ระบุเวลาไว้อย่างชัดเจนด้วย ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดในปี 1948 (จากทฤษฎีของ Jeffrey)
3 จงเอาเหล็กแผ่นมา และทำให้มันเป็นเหมือนกำแพงเหล็กระหว่างเจ้ากับนครนั้น แล้วหันหน้าไปทางนครนั้น ให้นครนั้นถูกล้อมไว้ เจ้าจงล้อมนครนั้นไว้ นี่เป็นหมายสำคัญต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล
4 และจงนอนตะแคงข้างซ้าย แล้ววางความผิดบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลไว้เหนือตัวเจ้า เจ้านอนอยู่กี่วัน เจ้าก็จะแบกความผิดบาปของนครนั้นเท่านั้นวัน
5 และเราได้กำหนดจำนวนวันแก่เจ้าคือ 390 วันซึ่งเท่ากับจำนวนปีของความผิดบาปพวกเขา เป็นวันซึ่งเจ้าจะต้องแบกความผิดบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
6 และเมื่อเจ้าทำเช่นนี้จนครบจำนวนวันแล้ว เจ้าจะต้องนอนลงเป็นครั้งที่สองโดยนอนตะแคงข้างขวาและแบกความผิดบาปของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดแก่เจ้า 40 วัน 1 วันแทน 1 ปี
(เอเสเคียล 4:3-6)
จากพระคำตอนนี้ พระเจ้าได้กำหนดระยะเวลาของการลงโทษอิสราเอลไว้เป็นเวลา 430 ปี (390 + 40 วัน, 1 วัน = 1 ปี)
การลงโทษอิสราเอลเริ่มตั้งตั้งแต่ครั้งเมื่อบาบิโลนตีกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดต้อนเชลยชาวยิวไปจำนวนมาก และตามพระสัญญาของพระเจ้าผ่านทางเยเรมีย์ อิสราเอลบางส่วนได้กลับไปยังดินแดนของตนเมื่อประมาณ 70 ปีหลังจากที่สิ้นชาติ (ประมาณ 536 ปี ก่อน ค.ศ.) ดังนั้น จึงยังคงเหลือเวลาของการลงโทษอีก 430 - 70 = 360 ปี
แต่น่าเศร้า คนอิสราเอลส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบาบิโลนต่อ แทนที่จะกลับมายังแผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เขา การไม่เชื่อฟังของพวกเขา ส่งผลให้โทษของเขาเพิ่มเป็น 7 เท่า
และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเจ้าทั้งหลายยังไม่ฟังเรา เราก็จะลงโทษเจ้าเจ็ดเท่าของความผิดบาปของพวกเจ้า
(เลวีนิติ 26:18)
เวลาที่เหลืออยู่ 360 ปี จึงเพิ่มเป็น 360 x 7 = 2,520 ปีตามปฏิทินของยิว (360 วันต่อปี) ซึ่งเท่ากับ 2,484 ปีสากล
ดังนั้น พระคัมภีร์ได้ทำนายว่า อิสราเอลจะรวมชาติได้สำเร็จ 2,484 ปี หลังจาก 536 ปี ก่อน ค.ศ. ซึ่งก็ตรงกับปี ค.ศ. 1948 (2484 - 536 = 1948) ที่ประเทศอิสราเอลก่อตั้งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีหลังจากการสังหารหมู่ชาวยิวโดยนาซี
การรวมชาติอิสราเอลครั้งนี้ พวกยิวจะยังคงไม่เชื่อในพระเมสสิยาห์ และเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการพิพากษาจากพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในสัปตะสุดท้าย (เอเสเคียล 20:33-38; 22:17-22; เศฟันยาห์ 2:1-2) แต่ในอนาคต หลังจากเสร็จสิ้นสัปตะสุดท้ายแล้ว จะมีการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของชาวยิวในความเชื่อ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพระพรในยุคพันปี (อิสยาห์ 11:11-12)
แม้ชาวยิวจะรวมประเทศได้ แต่เขาก็ครอบครองเยรูซาเล็มได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และในปี ค.ศ. 1967 หลังสงครามหกวัน ยิวได้เข้าครอบครองเยรูซาเล็ม แย่งชิงส่วนเยรูซาเล็มดั้งเดิมมาจากจอร์แดนได้สำเร็จ
วิหารหลังที่สามเป็นส่วนสำคัญของคำพยากรณ์เกี่ยวกับวาระสุดท้ายของยุค และอาจเรียกว่าเป็นวิหารของช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก (tribulation temple)
คำทำนายมากมาย (ดาเนียล 9:27; มัทธิว 24:15; เธสะโลนิกา 2:2-3 และวิวรณ์ 11:1-2) กล่าวถึงวิหารหลังที่สามนี้ และล้วนเน้นย้ำถึงจุดกึ่งกลางของสัปตะสุดท้าย กล่าวว่าปรปักษ์พระคริสต์จะเข้าครอบครองวิหารนี้ และจะทำสิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งก่อให้เกิดความหายนะ
ขณะนี้วิหารหลังนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีแผนการสร้างที่ชัดเจนแล้วก็ตาม แต่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ชาวยิวสามารถเข้าครอบครองเขาพระวิหาร (Temple Mount) ได้แล้ว
ดาเนียล 7:23 บอกเราเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลโลกขึ้นมา ซึงจะเป็นเหตุการณ์นำสู่ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก
รัฐบาลนี้จะเป็นในรูปแบบจักรวรรดินิยม และจะมีอำนาจควบคุมทั้งโลก มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นในรูปแบบของสหประชาติ แต่อาจมาในรูปแบบผู้นำที่มีอำนาจและได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกก็เป็นได้
ในที่สุด รัฐบาลโลกจะถูกแบ่งเป็น 10 อาณาจักรซึ่งจะควบคุมทั้งโลกไว้อยู่ และจะมีผู้นำเป็นกษัตริย์ 10 องค์
หลายคนเพ่งเล็งว่าสหภาพยุโรปอาจเป็น 10 อาณาจักรดังกล่าว แต่ทว่าคงจะไม่ใช่ เพราะว่าไม่ตรงกับคำทำนายจากพระคัมภีร์ แม้ว่าในที่สุด สหภาพยุโรปอาจเป็นอาณาจักรหนึ่งใน 10 อาณาจักรนี้ก็ตาม
จากดาเนียล 7:24 ปรปักษ์พระคริสต์จะเรืองอำนาจขึ้นหลังจากรัฐบาลโลกถูกแบ่งเป็น 10 อาณาจักรแล้ว และจะปรากฏตัวก่อนเริ่มช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก
ก่อนเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก หรือสัปตะสุดท้าย จะเกิดเหตุการณ์ 2 อย่างขึ้น คือ การถูกรับไปของคริสตจักร (apostasia หรือ การจากไป) และการปรากฏตัวของคนนอกกฎหมายหรือลูกแห่งความพินาศ (2 เธสะโลนิกา 2:1-12)
ตามที่กล่าวไว้ใน 1 เธสะโลนิกา 5:1-3 ก่อนจะถึงวันแห่งความยากลำบาก จะมีสันติภาพเกิดขึ้นทั่วโลก หลังจากที่โลกได้รับการนำโดยปรปักษ์พระคริสต์และ 10 อาณาจักร
สิ่งที่จะนำโลกเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ไม่ใช่การถูกรับไปของคริสตจักร แต่เป็นการทำพันธสัญญากันระหว่างอิสราเอลและปรปักษ์พระคริสต์ (ดาเนียล 9:27; อิสยาห์ 28:14-22) ซึ่งหลังจากการทำพันธสัญญานี้ คริสตจักรก็จะถูกรับไป ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก
51 นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน
52 ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่
53 เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย
(1 โครินธ์ 15:51-53)
13 พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความเข้าใจเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง
14 เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์
15 ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกพวกท่านข้อนี้ว่า เราที่ยังมีชีวิตอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ล่วงหน้าไปก่อนพวกที่ล่วงหลับไปแล้ว
16 คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
17 หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
18 เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
(1 เธสะโลนิกา 4:13-18)
คริสตจักรในที่นี่ ประกอบด้วยผู้เชื่อแท้ทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยเพ็นเทคอสต์
วันหนึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในสัปตะสุดท้าย คริสตจักรจะถูกรับไปจากโลกนี้ในพริบตา พระคริสต์จะมาจากสวรรค์พร้อมด้วยเสียงของทูตสวรรค์และเสียงแตรของพระเจ้า ผู้เชื่อในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะฟื้นขึ้นมาก่อน ต่อมาผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้รับกายทิพย์ที่ไม่เสื่อมสลาย
คริสตจักรจะถูกรับขึ้นไปในเมฆ พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในอากาศ และจะอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ตลอดไป
10 แต่ตัวท่านเล่า ทำไมจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน? หรือท่านผู้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน? เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า
11 เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า 'เรามีชีวิตอยู่ตราบใด ทุกคนจะคุกเข่ากราบเรา และทุกลิ้นจะสรรเสริญพระเจ้า' "
12 ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า
(โรม 14:10-12)
ผู้เชื่อที่ถูกรับขึ้นสวรรค์ไป จะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อที่จะรับมงกุฎและบำเหน็จรางวัลสำหรับการกระทำในขณะที่มีชีวิตอยู่ การพิพากษานี้เกิดขึ้นหลังจากคริสตจักรถูกรับไป และเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากบนโลกนี้
7 ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว
8 และโปรดให้เจ้าสาวสวมใส่ ผ้าป่านเนื้อละเอียด มันระยับและสะอาด เพราะว่าผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นคือการประพฤติอันชอบธรรมของธรรมิกชน
9 และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า "จงเขียนลงไปว่า ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก" และท่านบอกอีกว่า "ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่สัตย์จริงของพระเจ้า"
(วิวรณ์ 19:7-9)
งานแต่งงานของพระเมษโปดกเกิดขึ้น เมื่อคริสตจักรได้ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ในสวรรค์ หลังจากการพิพากษาที่บัลลังก์ของพระคริสต์
เจ้าบ่าวก็คือพระคริสต์ พระองค์จะอยู่ร่วมกับเจ้าสาวของพระองค์ ซึ่งได้แก่คริสตจักรที่พระองค์รักตลอดกาล อันประกอบด้วยผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์จนถึงวันที่คริสตจักรถูกรับไป
เหตุการณ์ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก จะเกิดขึ้นในสัปตะสุดท้ายตามคำทำนายของดาเนียล (ดาเนียล 9:24-27)
จากเอเสเคียล 38-39 จะมีการบุกรุกอิสราเอลโดยชาติต่างๆ ซึ่งอาจเกิดก่อนหรือในช่วงสัปตะสุดท้ายก็ได้ แต่ว่าพระเจ้าจะช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นจากการบุกรุกนี้อย่างอัศจรรย์ และชนชาติเหล่านั้นจะถูกกวาดล้างไป
มีผู้สันนิษฐานว่า ชนชาติที่จะมาบุกรุกอิสราเอลที่ปรากฏในเอเสเคียลบทที่ 38-39 บ่งชี้ถึงเมืองหรือประเทศต่างๆ ดังนี้
เมเชค = มอสโกว์
ทูบัล = Tubalsk ในไซบีเรีย
เปอร์เซีย = อิหร่าน
คูช = เอธิโอเปีย
พูต = ลิเบีย
โกเมอร์ = เยอรมัน
เบธโทการมาห์ = อาร์มาเนีย
ในสัปตะสุดท้ายนี้ ปรปักษ์พระคริสต์จะครองอำนาจในอาณาจักรโรมที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง (ดาเนียล 2) และหลังจากนั้นก็จะครองได้เกือบหมดทั้งโลก
ปรปักษ์พระคริสต์จะทำพันธสัญญากับอิสราเอลเป็นเวลา 7 ปี ในช่วงครึ่งแรกจะเกิดเหตุการณ์ของตราทั้งหก (วิวรณ์ 6) คนยิวที่ได้รับการประทับตราจำนวน 144,000 คนจะประกาศข่าวประเสริฐไปทั่วทั้งโลก
เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปีครึ่ง ปรปักษ์พระคริสต์จะทำลายพันธสัญญานั้น ตั้ง"สิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งก่อให้เกิดความหายนะ" (มัทธิว 24:15) ขึ้น และจะเกิดช่วง "เวลาแห่งความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่" หรือ "กลียุค" (the great tribulation) ขึ้นในครึ่งหลังของสัปตะสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นช่วงของภัยพิบัติต่างๆ ตามที่ปรากฏในวิวรณ์บทที่ 7-18
ในช่วงกลียุคนี้ ปรปักษ์พระคริสต์จะตั้งรูปของเขาขึ้นและสั่งให้ทุกคนนมัสการรูปของเขา (วิวรณ์ 13:15) เขาจะเรืองอำนาจเป็นเวลา 42 เดือน หรือ 1,260 วัน ผู้เชื่อชาวอิสราเอลจะหลบหนีจากปรปักษ์พระคริสต์ไปอยู่ในภูเขาในช่วงเวลานี้ ซึ่งอาจเป็นที่เมืองเปตรา (Petra) เมืองหลวงของเอโดมที่อยู่ทางตะวันออกของทะเลตายในจอร์แดน
คำว่าอารมาเกดโดนมาจากภาษาฮีบรู แปลว่า "ภูเขาเมกิดโด" ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิสราเอล
ปรปักษ์พระคริสต์จะก่อส่งครามขึ้นกับพระคริสต์ที่นี่ และพระคริสต์จะมีชัยชนะเหนือกองกำลังทหารของปรปักษ์พระคริสต์จากทั่วทั้งโลก
พระคริสต์ร่วมกับคริสตจักร จะมาก่อตั้งอาณาจักรของดาวิดบนโลกนี้ และปิดฉาก "เวลาของคนต่างชาติ" (ลูกา 21:24) พร้อมทั้งการเมืองที่ฉ้อโกงของโลกนี้ (ดาเนียล 2:44)
วิวรณ์บทที่ 20 ได้บรรยายเหตุการณ์ว่า ซาตานจะถูกมัดและโยนลงไปในบาดาลลึก ส่งผลให้โลกนี้เต็มไปด้วยความชอบธรรมและสันติภาพ ภายใต้กายปกครองของพระคริสต์ ผู้เป็นกษัตริย์ของคนทุกชาติ
การพิพากษานี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามอารมาเกดโดนและจุดเริ่มต้นของยุคพันปี
คนยิวที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกพิพากษา โดยจะมีการพิพากษาแยกผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ
ผู้ไม่เชื่อ จะถูกทิ้งลงไปในที่มืด ที่ซึ่งจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน (มัทธิว 25:30) เพื่อรอคอยการพิพากษาการพิพากษาหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาว
ผู้เชื่อ จะเข้าสู่ยุคพันปี อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มและดินแดนอิสราเอลร่วมกับพระคริสต์
การพิพากษานี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามอารมาเกดโดนและจุดเริ่มต้นของยุคพันปีเช่นเดียวกับการพิพากษาชนชาติอิสราเอล
คนต่างชาติที่รอดชีวิตในช่วงสัปตะสุดท้ายจะถูกพิพากษาตามที่เขาทำกับพี่น้องของพระคริสต์ อันได้แก่คนยิว (เศคาริยาห์ 14:1-9; มัทธิว 25:31-46)
คนต่างชาติเหล่านี้ที่ปฏิเสธสิ่งที่พยานของพระคริสต์ประกาศในช่วงสัปตะสุดท้าย จะถูกลงโทษเป็นนิตย์ และรอคอยการพิพากษาหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาว
คนต่างชาติที่เชื่อสิ่งที่พยานของพระคริสต์ประกาศ ก็จะเข้าสู่ยุคพันปี
ผู้เชื่อในสมัยพันธสัญญาเดิม และผู้เชื่อที่เสียชีวิตเพราะความเชื่อในช่วงสัปตะสุดท้าย (วิวรณ์ 20:4-5) จะเป็นขึ้นมาเมื่อพระคริสต์เสด็จลงมายังโลกนี้อีกครั้ง (1 โครินธ์ 15:23)
ผู้ชอบธรรมเหล่านี้จะร่วมกับคริสตจักร และครอบครองร่วมกับพระคริสต์บนโลกนี้ในช่วงยุคพันปี
เป็นยุคที่เต็มไปด้วยสันติภาพและความชอบธรรม พระคริสต์จะครอบครองทุกชาติบนโลกนี้ด้วยคทาเหล็ก (วิวรณ์ 19:15) ประชาชาติจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กันและเขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป (อิสยาห์ 2:4)
งานแต่งงานระหว่างพระคริสต์และคริสตจักรเกิดขึ้นในสวรรค์ หลังจากที่คริสตจักรถูกรับไป แต่งานเลี้ยงเกิดขึ้นบนโลกนี้หลังจากพระคริสต์ลงมายังโลกนี้เป็นครั้งที่สอง ตามที่กล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่หลายครั้งเกี่ยวกับการเฉลิมฉลอง (มัทธิว 8:11; ลูกา 13:28-29; 22:16-18, 29-30
ผู้ที่ได้รับการเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ได้แก่ ผู้เชื่อในสมัยพันธสัญญาเดิมและในช่วงสัปตะสุดท้าย
ซาตานจะถูกปล่อยตัวออกมาหลังจากครบพันปี (วิวรณ์ 20:7-10) เขาจะล่อลวงคนมากมายที่อยู่ในยุคพันปีให้ไปร่วมกับเขา และในที่สุดกองทัพของพระเจ้าก็ทำลายซาตานและกองทัพของเขา
ซาตานได้ถูกพิพากษาแล้วที่กางเขน (ยอห์น 16:11) ถูกห้ามไม่ให้เข้าสวรรค์ (วิวรณ์ 12:7-12) ถูกผูกมัดและทิ้งลงในบาดาลลึก (วิวรณ์ 20:1-3) และท้ายที่สุด เขาจะพบจุดจบที่บึงไฟและกำมะถัน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จอยู่นั้น และพวกมันจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์ (วิวรณ์ 20:10-15)
โลกจะถูกชำระด้วยการเผาผลาญ (2 เปโตร 3:3-13; วิวรณ์ 20:11; 21:1)
ผู้ไม่เชื่อทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยจะต้องพบกับการพิพากษาครั้งสุดท้าย พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาหลังยุคพันปี ถูกพิพากษาตามการกระทำของเขา และถูกส่งไปยังบึงไฟนรก ซึ่งเป็นการตายครั้งที่สองของเขา (วิวรณ์ 20:12-15; 21:8; 22:10-15)
หลังจากที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกถูกเผาผลาญแล้ว ก็จะเกิดฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ขึ้นมา ที่นั่น ผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วตลอดทุกยุคทุกสมัยจะอยู่ที่นั่นและครอบครองร่วมกับพระคริสต์ตลอดไป! (2 เปโตร 3:13-14; วิวรณ์ 21:1-22:5)
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
John Fok Systematic Theology
End Times Bible Prophecy โดย Alan Torres
www.watchmanbiblestudy.com/Articles/1948PropheciesFulfilled.html
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น