พระเจ้ากับท่าน

"แล้วพระเจ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตฉันอย่างไร ?" หลายคนอาจจะถามขึ้น

คำตอบ คือ เกี่ยวข้องอย่างมากทีเดียว มากกว่าที่ท่านเคยคิดเสียอีก พระเจ้าที่เรากำลังกล่าวถึงสนใจท่าน รักท่าน และทรงมีแผนการชีวิตที่ดีสำหรับท่าน

พระประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์

ในบรรดาสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์มีค่าสูงสุด เพราะมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงสร้างตามพระฉายาของพระองค์ (พระฉายา ณ ที่นี้ หมายถึง ความรัก ความบริสุทธิ์ เสรีภาพในการเลือก ความยุติธรรม ฯลฯ) จุดประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ก็เพื่อให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ ถวายเกียรติแด่พระองค์ ครอบครองสรรพสิ่งที่ดีกับพระองค์ ถวายเกียรติแด่พระองค์ ครอบครองสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และใช้ชีวิตแห่งความรักและสันติสุขบนโลกมนุษย์

แต่ปัจจุบันนี้ ท่านคงทราบดีว่าสังคมมนุษย์อยู่ในสภาพเช่นใด มนุษย์ปราศจากความรักและสันติสุข ความสับสนวุ่นวายได้เข้ามาแทนที่ ทุกคนต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ อย่างยากเย็น และไร้จุดหมาย คนจำนวนมากมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ "เซ็งเหลือเกิน" ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ตะโกนออกมาดัง ๆ แต่บ่อยครั้งที่เราต้องถอนหายใจหนัก ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไหนจะปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเรียน ปัญหาส่วนตัว ปัญหาครอบครัว ปัญหาเพื่อน รวมถึงปัญหาสังคมที่เรารู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยแก้ไขให้ได้ผลจริง ๆ อย่างไร ชีวิตเหมือนความว่างเปล่า และเพิ่มขึ้นทุกที พร้อมกับความกดดันของชีวิตที่ทับถมบนตัวเรามากขึ้นแต่ละวัน หลายท่านจึงอดถามไม่ได้ว่า "ชีวิตมีความหมายอะไร ?" "ทำไมมนุษย์ส่วนมากจึงไม่พบกับสันติสุขที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนมี ?"

ทำไม

พระคำของพระเจ้าให้คำตอบว่า มนุษย์ในสภาพทุกวันนี้ ไม่ใช่ฐานเดิมที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ มนุษย์ในปัจจุบันตกจากสภาพเดิมที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของมนุษย์ พระคัมภีร์ได้วิเคราะห์ขั้นตอนแห่งการตกต่ำของมนุษย์อย่างชัดเจนในหนังสือพระคัมภีร์ โรม 1:18-32 ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า

มนุษย์รู้อยู่แก่ใจว่ามีพระเจ้า แต่ได้ตั้งใจปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า

"19 เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว

20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป" (โรม 1:19-21)

ขั้นตอนที่ 2 ผลที่ตามมา

การปฏิเสธพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ทำให้จิตใจของมนุษย์มองไม่เห็นความจริง มนุษย์จึงพยายามหาสิ่งทดแทนพระเจ้า

"22 เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป

23 และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน" (โรม 1:22-23)

ขั้นตอนที่ 3 ผลถัดมา

การตัดขาดจากความสัมพันธ์ของพระเจ้า ทำให้มนุษย์จมดิ่งสู่โลกแห่งราคะตัณหาสารพัด ทั้งปกติวิสัย และผิดปกติวิสัย

"24 เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจของเขาให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน

25 เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์ อาเมน

26 เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีกิเลสตัณหาอันน่าอัปยศ พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากการสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป

27 ฝ่ายผู้ชายก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วช้าอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา" (โรม 1:24-27)

ขั้นตอนที่ 4 ผลในปัจจุบัน

คือสังคมที่เละเทะชั่วร้าย ดังที่เราได้เห็นอยู่ทุกวันนี้

"28 และเพราะเขาไม่เห็นสมควรที่จะรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีใจชั่วและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม

29 พวกเขาเต็มไปด้วยสรรพการอธรรม ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การวิวาท การล่อลวง การคิดร้าย พูดนินทา

30 ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว ริทำชั่วแปลกๆ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา

31 โง่เขลา กลับสัตย์ ไม่มีความรักกัน ไร้ความปรานี

32 แม้เขาจะรู้พระบัญญัติของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย" (โรม 1:28-32)

ท่านลองเปรียบเทียบกับข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ดูว่า สิ่งที่พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นร่วม 2 พันปีมาแล้ว ตรงกับข้อเท็จจริงของสังคมปัจจุบันเพียงไร

ขั้นตอนที่ 5 ผลต่อชีวิตส่วนตัว

การขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ได้ส่งผลสะท้อนมาสู่ชีวิตส่วนตัวของเราด้วย เราทุกคนตระหนักดีว่า เรามีแนวโน้มที่จะไม่ดีมากกว่าที่จะทำความดี คือ สอนให้ดียาก แต่สอนให้ชั่วนั้นง่าย พระคำของพระเจ้าได้บรรยายถึงลักษณะการดิ้นรนต่อสู้อย่างอ่อนกำลังของคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ว่า

"15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น

19 ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่

23 แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า

24 โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้" (โรม 7:15,19,23,24)

ท่านอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ท่านอาจจะไม่เคยตระหนักว่าภายในกายเรามีกฎแห่งความบาปอันเป็นผลโดยตรงจากการปฏิเสธ ไม่ยอมรับรู้เรื่องพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มแรกของมนุษย์ เป็นผลให้มนุษย์ตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า กฎแห่งความบาปนี้มีอำนาจ ส่งผลกระทบสู่ชีวิตของเราให้ตกต่ำลงทุกที มันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ใจ ความหนักใจ ความท้อแท้ใจ ความเบื่อหน่าย ความว่างเปล่า และการขาดเป้าหมายในชีวิต ซึ่งหลายครั้งมนุษย์ได้พยายามแสวงหาหลายวิธีการเพื่อช่วยตัวเองให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ แต่ก็ไร้ผล หรือส่งผลเพียงชั่วคราว เพราะเรากำลังแก้ปัญหาผิดจุด การแก้ปัญหาต้องแก้ที่รากเหง้าของปัญหา นั่นคือจะต้องทำลายกฎแห่งความบาปที่คอยรบกวนเราอยู่โดยสิ้นเชิง และเราจำเป็นต้องกลับมาสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ซึ่งเบ่อเกิดแห่งชีวิตและต้นตอแห่งสันติสุขแท้

ทางแก้ไขของพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ คือทางแก้ไขซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้กับมนุษย์ พระเยซูทรงตรัสว่า

"เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์" (ยอห์น 10:10)

และหนทางซึ่งพระองค์ทรงกระทำเพื่อให้เราพบกับชีวิตนั้น ก็คือ การมอบชีวิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่โทษความบาปผิดแทนเราบนไม้กางเขน ความตายบนไม้กางเขนจึงเป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงเลือก เพื่อนำมนุษย์ให้กลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แต่การช่วยเหลือของพระเจ้าไม่ได้สิ้นสุดที่กางเขนเท่านั้น พระเยซูคริสต์ทรงพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าที่แท้จริงโดยการฟื้นขึ้นจากความตาย และยังทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ในปัจจุบัน

แม้ท่านจะคิดว่าเรากำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นลักษณะนิยาย ที่ปราศจากมูลความจริง แต่ถ้าท่านศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ ท่านจะรู้ว่านี่คือข้อเท็จจริงที่สามารถยืนยันได้โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพราะกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า "คริสตชน" ได้ปรากฎขึ้นบนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลก ก็โดยพื้นฐานเพียงสองสิ่งเท่านั้น คือ "การตายเพื่อไถ่บาป" และ "การฟื้นขึ้นจากความตาย" ของพระเยซูคริสต์ และโดยพื้นฐานเดียวกันนี้ ที่มหาชนทั่วโลกในทุกยุคทุกสมัยได้มอบความศรัทธาในพระองค์ และผลที่เกิดขึ้นคือ ชีวิตของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เขาพบกับความหมายของชีวิตใหม่ สันติสุขใหม่ ความหวังใหม่ และพลังใหม่ในการผจญกับปัญหาทุกอย่างในชีวิต

และในปัจจุบันนี้ ข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งซึ่งเคยได้รับการพิสูจน์ว่าได้เกิดขึ้นจริงในชีวิตของทุกคน ทุกชั้นทุกวัยในประเทศ ยังรอคอยท่านพิสูจน์ความจริงอยู่ นั่นก็คือ

"เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

การตัดสินใจขึ้นอยู๋กับตัวท่าน

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
จากหนังสือ เรื่อง พระเจ้ายุคอวกาศ
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com