ศาสนาช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกเราว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเหมือน "งูเห่า" (สดุดี 58:3-4) ซึ่งงูเห่านั้นมันมีเชื้อพิษตั้งแต่อยู่ในไข่

แล้วทำไมพระคัมภีร์จึงเปรียบมนุษย์ดุจงูเห่าล่ะ

ถ้าเราดูงูเห่าเมื่อมันออกมาจากไข่ใหม่ ๆ นั้น ลำตัวของมันจะยาวประมาณ 10 กว่านิ้วเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นมันยังกัดคนไม่ตายและทำอันตรายคนไม่ได้ เพราะต่อมพิษในหัวของมันยังไม่ทำงานและเขี้ยวยังไม่งอก แต่พอหลังจากนั้นเมื่อมันเริ่มโตขึ้น เวลานี้มันเริ่มกัดคนตายแล้ว ซึ่งถ้าเราจะไปบอกงูว่าเห่าว่า "ห้ามมีพิษนะ" คงจะเป็นไปไม่ได้

เช่นเดียวกัน มนุษย์เรา เมื่อออกจากครรภ์ของมารดาใหม่ ๆ ด่าคนก็ไม่เป็น เพราะต่อมบาปยังไม่เริ่มทำงาน แต่พอโตขึ้นมาหน่อยไม่ต้องมีใครมาสอน ก็เริ่มโกหกทะเลาะ ด่าทอเป็นแล้ว นั่นเป็นเพราะ ต่อมบาปมันเริ่มทำงานตามปกติของมันแล้ว นั่นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่ามนุษย์ทำไมจึง ทำบาป ก็เพราะเขามีบาปและเป็นคนบาปเหมือนงูที่มีพิษ เพราะเป็นงูพิษ

ดังนั้น ไม่ใช่มนุษย์ทำบาปแล้วจึงเป็นคนบาป แต่เพราะมนุษย์เป็นคนบาปจึงทำบาป เหมือนงูพิษ ไม่ใช่กัดคนตายแล้วมันจึงมีพิษ แต่เพราะมันมีพิษมันจึงกัดคนตาย การติดเชื้อบาปของมนุษย์เหมือนกันการติดเชื้อเอดส์จากมารดาไปสู่เด็กในครรภ์ ซึ่งเขาไม่อยากมีโรคนี้ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้

เวลานี้มนุษย์ทุกคนเปรียบเสมือนคนที่มี โรคมะเร็งกระจายอยู่ทั่วตัว คนที่เป็นโรคมะเร็งนั้นไม่อยากปวดก็ต้องปวด ถึงแม้เราจะไป บอกเขาว่า "อย่าปวด" "ห้ามปวด" แต่ยังไงเขาก็ต้องปวดอยู่ดี เช่นเดียวกัน มนุษย์เรามีโรคบาป ดังนั้น ถึงแม้เขาไม่อยากแสดงอาการบาป เขาก็ต้องแสดงอาการบาปออกมา ถึงจะบอกเขาว่า "อย่าทำบาป" "ห้ามทำบาป" เขาก็ยังต้องทำอยู่ดี

ดังนั้น จึงเป็นเหตุที่ทำให้

... เรารู้ว่าโกหกไม่ดี เราไม่อยากคบกับคนโกหก แต่เราก็โกหก

... เรารู้ว่าโลภไม่ดีแต่เราก็โลภ

... เรารู้ว่าหยิ่งจองหองไม่ดี แต่เราก็หยิ่งจองหอง

... เรารู้ว่าทะเลาะวิวาทไม่ดี แต่เราก็ทะเลาะวิวาท

... เรารู้ว่าลามกไม่ดี แต่เราก็ลามก

... เรารู้ว่าทำให้พ่อแม่เสียใจไม่ดี เถียงพ่อแม่ไม่ดี แต่เราก็ทำ

และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรารู้ว่าไม่ดี เราไม่อยากทำ แต่เราก็ทำ

"เราจะรอดพ้นจากโรคบาปนี้ได้หรือ"

ศาสนาช่วยมนุษย์ได้ไหม?

"ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี" เป็นคำพูดที่ถูกต้อง 100 % เพราะถ้าหากไม่สอน ให้คนเป็นคนดีแล้ว เขาคงจะไม่ตั้งเป็นศาสนา หรือเรียกว่าศาสนาอย่างแน่นอน ซึ่งพระคัมภีร์ เองก็สนับสนุนคำพูดนี้

"ศาสนานั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" (1 ทิโมธี 1:8)

จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า พระคัมภีร์ได้บอกว่า ศาสนานั้นดีถ้าใช้ให้ถูก ใช้ถูกอย่างไร ก็คือใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ของมัน แล้วศาสนามีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไรล่ะ

"...ศาสนานั้นทำให้เรารู้จักบาปได้" (โรม 3:20) (กาลาเทีย 3:19)

จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นนี้เราจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของศาสนาก็เพื่อให้มนุษย์ รู้จักบาปได้ หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ศาสนานั้นเปรียบเสมือนเครื่องเอ็กซเรย์ที่ถูก สร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่ดี คือนำมาวินิจฉัยโรคภายในตัวของมนุษย์ (ซึ่งเราก็ไม่จำเป็น จะต้องมานั่งเถียงกันว่าเครื่องเอ็กซเรย์ยี่ห้อไหนมันดีกว่ากัน) เมื่อคนหนึ่งที่มีโรคร้ายถ้าเขา จะเข้าไปหาเครื่องเอ็กซเรย์ ก็จะทำให้เขาเห็นความน่ากลัวของโรคร้ายมากขึ้น

เช่นเดียวกัน เมื่อมนุษย์ยิ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาเขาก็จะยิ่งเห็นถึงความน่ากลัวของความผิดบาปของตนเอง ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน ตา ปาก มือ ใจ ความคิด ฯลฯ และยังมีความผิดบาป อีกมากมาย ที่เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาจะสามารถเห็นได้ในตัวเขา แต่แม้จะเห็น และรู้อย่างชัดเจนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เครื่องเอ็กซเรย์รักษาโรคไม่ได้ฉันใด ศาสนา ก็รักษาโรคบาปไม่ได้ฉันนั้น เครื่องเอ็กซเรย์เป็นทางผ่านพาคนป่วยไปหาหมอเพื่อรักษา โรคร้ายฉันใด ศาสนาก็เป็นทางผ่านฉันนั้น

ปัญหาที่มนุษย์ทุกคนเผชิญอยู่ทุกวันนี้ "ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองมีบาป" และมิใช่ว่า "ไม่รู้ว่าจะต้องความผิดบาปออก" เพราะศาสนาหรือเครื่องเอ็กซเรย์ก็ได้ชื่อให้เห็นถึง ความผิดบาปหรือโรคร้ายที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าเขาจะต้องเอาออก

แต่ปัญหาของมนุษย์อยู่ที่ว่า "ฉันเป็นคนไข้ ฉันไม่ใช่หมอ ฉันจะช่วยตัวเองได้อย่างไร ฉันต้องการหมอ" แล้วใครล่ะคือหมอผู้ที่สามารถรักษาโรคบาปนั้นได้ เมื่อเรารู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็มีเชื้อบาปและก็กำลังแสดงอาการบาปออกมา ในชีวิต แต่ถ้าเขาไม่ต้องการหมอในการรักษา เขาจะมีเพียง 3 วิธีเท่านั้นในการเผชิญหน้า กับโรคแห่งความผิดบาปนี้ คือ

1. ปลง - รู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรงแต่ก็ปลงตกตายก็ตาย พวกนี้เป็นพวกไหนในสังคม ก็คือพวกที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำบาป ทำในสิ่งที่ไม่สมควร ทำในสิ่งที่สังคมรังเกียจแต่จะทำ อย่างไรได้ บาปก็บาป ตายก็ตาย อยู่อย่างไม่แคร์สังคม ใช้ชีวิตอย่างหมดอาลัยตายอยาก พวกนี้ส่วนมากจะเป็นใช้ชีวิตอยู่ในคลับ บาร์ ซ่อง คาราโอเกะ และหมกมุ่นอยู่กับ สิ่งเสพติดต่าง ๆ

2. ปกปิด - พวกนี้พอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย ก็ปะหน้า ทาแป้ง บอกคนอื่นว่า "ฉันไม่มีโรคร้าย อะไร" ซึ่งก็สามารถหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองและคนรอบข้างไม่ได้เลย พวกนี้เป็นพวกไหน ก็คือพวกที่มือข้างหนึ่งทำบุญมืออีกข้างหนึ่งก็ทำบาป มือถือสากปากถือศีล ถือศาสนาแต่ เปลือกนอก แต่แก่นแท้ของศาสนานั้นไม่ยอมปฏิบัติตามพวกนี้พยายามที่จะหลอกตัวเองว่า "ทำบุญล้างบาปได้" ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การทำบุญไม่มีทางที่จะล้างบาปได้เลย

3. กินยาแก้ปวด - พวกนี้พอรู้ว่าตัวเองมีโรคร้ายและอาการเริ่มแสดงออกมา แต่เขาก็ ไม่ต้องการหมอ เขาเริ่มรู้สึกปวด ดังนั้น เขาจึงกินยาแก้ปวด ยาแก้ปวดนี้ดี กินบุ๊ป หายบั๊ป แต่พอยาหมดฤทธิ์ เริ่มปวดอีก และยิ่งมาก็ต้องยิ่งเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยาก็ ไม่ได้รักษาโรคร้ายเพียงแต่ระงับอาการปวดเท่านั้น โรคร้ายก็ยังอยู่เหมือนเดิมพวกนี้เป็น พวกไหนในสังคม พวกนี้เป็นพวกที่รู้ว่าตัวเองมีบาปและเริ่มเห็นอาการบาปของตนเอง แต่ก็พยายามช่วยตัวเองโดยการกินยาแก้ปวดเพื่อระงับอาการปวด นั่นก็คือการรักษา ข้อบังคับทางศาสนา ซึ่งวันไหนรักษาศีล วันนั้นอาการบาปก็ไม่ออก แต่วันไหนหยุดรักษา หรือเวลาไหนหยุดกินยาแก้ปวด วันนั้นเวลานั้นอาการบาปก็ออกมาอีก ซึ่งยิ่งมาก็ต้องยิ่ง รักษาศีลมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีทางที่จะรักษาโรคแห่งความผิดบาปได้เลย มันทำได้เพียง ระงับอาการบาปไม่ให้ปรากฏออกมาเท่านั้น

สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น การปลง การปกปิด การกิน ยาระงับปวด ต่างก็ไม่สามารถขจัดโรคร้ายแห่งความผิดบาปได้เลย และเมื่อพิษของโรคร้าย แล่นเข้าสู่หัวใจก็ต้องพบกับจุดจบของชีวิตแน่นอน นั่นก็คือ มนุษย์จะไม่มีทางหนีพ้นจาก การกระทำความผิดบาปของตนเองได้เลย เขาจะต้องพบกับการพิพากษาหลังจากที่ จากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวจริง ๆ (คือการทรมานในนรกเป็นนิตย์) แต่ด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์จึงได้ ทรงส่งคุณหมอท่านหนึ่งเข้ามาในโลก นั่นก็คือองค์พระเยซูคริสต์ เมื่อขณะที่พระเยซู อยู่ในโลกนี้ พระองค์ได้ตรัสว่า พระองค์เป็นหมอ

"คนเจ็บต้องการหมอ คนปกติไม่ต้องการ หมอ เราเข้ามาในโลกไม่ใช่มาหาคนที่นึกว่าตัวเองเป็นคนดี แต่เรามาหาคนเหล่านั้นที่รู้ตัว ว่าป่วยเป็นโรคบาปให้หายจากโรคบาปของเขา" (มาระโก 2:17)

เวลาที่พวกเราต้องการหมอ หรือไปหาหมอ จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 3 ประการ คือ

1. รู้ตัวว่าป่วย

2. อยากหายจากโรค

3. รู้ว่าช่วยตัวเองไม่ได้

ถ้าคุณไม่ป่วยคุณก็ไม่ต้องการหมอ ถ้าคุณป่วยแต่ไม่อยากหายคุณก็ไม่ต้องการหมอ ถ้าคุณป่วย คุณอยากหาย แต่คุณบอกว่าฉันช่วยตัวเองได้ คุณไม่ต้องการหมอ แต่พระเยซูคริสต์มาหาคนที่รู้ว่าตัวเองป่วย อยากหาย และรู้ว่าช่วยตัวเองไม่ได้

ถ้าวันนี้คุณรู้ว่าคุณป่วยเป็นโรคบาป คุณอยากหายจากโรคบาป และคุณช่วยตัวเองจาก โรคบาปไม่ได้ ขอเชิญคุณมาหาพระเยซูคริสต์ คนที่เป็นโรคมะเร็งนั้นมีวิธีที่จะรักษาให้หายได้เด็ดขาด โดยการตัดเนื้อร้ายนั้นทิ้ง แต่พระเยซูทรงทราบดีว่าโรคบาปที่มนุษย์เป็นนั้นไม่มีทางรักษา เป็นแล้วต้องตาย (ลงนรก) สถานเดียว

ดังนั้นด้วยความรักมนุษย์ พระเยซูจึงมาตายบนไม้กางเขน เอาชีวิตของพระองค์ แลกกับชีวิตของคนบาปบนไม้กางเขนนั้นพระองค์ทรงรับการลงโทษแทนทุกคนที่ยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนบาป สำนึกและเสียใจต่อการกระทำของตนเอง และถ่อมใจขอให้พระองค์ช่วยเขา วิธีรักษาของพระองค์คือเอาโรคบาปของคนที่มาหาพระองค์มาไว้บนพระองค์ (อิสยาห์ 53.4)

เวลาเราไปหาคุณหมอ เราไม่จำเป็นต้องไปช่วยคุณหมอรักษา เพียงแต่บอกอาการ คุณหมอก็จะรักษาให้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราอยากหายจากโรคบาป ขอเพียงแต่เราพูดกับ พระเยซูคริสต์ (ที่ไหนก็ได้) บอกพระองค์ว่า

"พระเยซูฉันเป็นคนบาป ฉันอยากหาย ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ช่วยฉันที ขอทรงโปรดยกโทษความบาปให้ฉันด้วย และขอพระองค์ เข้ามาในใจฉัน ช่วยฉันอย่าให้ทำบาปอีก ขอในนามพระเยซู อาเมน"

เท่านี้ พระองค์ก็จะ ทรงยกโทษความผิดให้แก่เรา (ถ้าเราพูดจากใจจริง) ผู้อ่านที่รัก พระเจ้าทรงให้โอกาสคุณรอดจากการพิพากาษา ตราบที่คุณยังมี ลมหายใจอยู่เท่านั้น ถ้าคุณหมดลมหายใจเมื่อไหร่ ก็หมดโอกาสเมื่อนั้น พระองค์ จะไม่บังคับมนุษย์ แต่พระองค์จะให้มนุษย์เลือก พี่น้องครับคุณป่วยเป็นโรคบาปหรือไม่ คุณอยากหายจากโรคบาปใช่ไหม คุณไม่สามารถช่วยตัวเองจากโรคบาปได้ใช่ไหม คุณพยายามดิ้นรนต่อสู้กับโรคบาปอยู่หรือเปล่าถ้าใช่ ขอเชิญคุณมาหาคุณหมอคนนี้ คือ องค์พระะเยซูคริสต์

อ.นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.ccma.i-p.com

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com