โรม 4:13-22

แบบอย่างของความเชื่อ

"13 เพราะว่า พระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัม และผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้น ไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ

14 ถ้าเขาเหล่านั้น ที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์

15 เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ

16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้น จะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัม ผู้เป็นบิดาของพวกเรา

17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือ พระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น

18 ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจ ก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า "พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น"

19 ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงเอย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ ว่าเป็นหมัน

20 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า

21 ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้

22 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน" (โรม 4:13-22)

พระธรรมโรมบทที่ 4 นี้ ได้ทำให้เราเข้าใจถึงแผนการของพระเจ้า ที่ต้องการจะประทานความรอดแก่เราทุกคน โดยได้ให้เราเห็นถึงแบบอย่างของความชอบธรรมเพราะความเชื่อ โดยปราศจากการประพฤติ ของท่านอับราฮัมและกษัตริย์ดาวิด และทำให้เราได้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทุกชนชาติได้รับความรอด ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าสุหนัตหรือมิได้เข้าสุหนัต ทุกคนสามารถจะได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าเท่าเทียมกันหมด ซึ่งความชอบธรรมนี้ เราได้รับจากพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งยอมสละพระชนม์ของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อรับความผิดบาปของเรา และทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันอีสเตอร์ เราจึงได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์เมื่อเราเชื่อในพระองค์ และในวันสุดท้าย เราก็จะรอดพ้นจากการพิพากษา เนื่องจากความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ได้เข้าสู่ชีวิตของเรา ความชอบธรรมของพระองค์นี้เอง ทำให้เราสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ได้ แล้วเราจะได้อยู่ร่วมกับพระองค์บนสวรรคสถานชั่วนิรันดร์

ในพระธรรมตอนนี้ ได้สอนให้เราเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่าพระสัญญาได้รับผ่านทางความเชื่อ และได้เห็นถึงแบบอย่างของความเชื่อที่พระเจ้าทรงพอพระทัยของท่านอับราฮัม ซึ่งนำมาสู่ความชอบธรรมในที่สุด ซึ่งบทเรียนเหล่านี้ ทำให้เราทราบถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องที่เราควรจะมีต่อพระเจ้า

พระสัญญาได้รับผ่านทางความเชื่อ

"13 เพราะว่า พระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัม และผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้น ไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ

14 ถ้าเขาเหล่านั้น ที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์

15 เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ

16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้น จะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัม ผู้เป็นบิดาของพวกเรา

17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือ พระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น" (โรม 4:13-17)

พระเจ้าทรงประทานพระสัญญาให้แก่ท่านอับราฮัม 3 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่ ท่านจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดกซึ่งได้แก่คานาอัน ท่านจะเป็นชนชาติใหญ่มีลูกหลานมากหมาย และที่สำคัญที่สุด คือ ทางเชื้อสายของท่าน คือองค์พระเยซูคริสต์นี้เอง คนทั้งโลกจะได้รับพร ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับคนทั้งโลกให้ได้รับพร ให้ได้รับความรอดโดยผ่านทางเชื้อสายของอับราฮัม พระองค์มิประสงค์ให้ผู้ใดได้รับความพินาศเลย

สิ่งที่เราพบก็คือ ขณะที่พระเจ้าอวยพรท่านอับราฮัมนี้ อับราฮัมเป็นคนที่พลัดถิ่น ออกจากถิ่นฐานของตัวเอง ดูไม่มีทีท่าว่าจะสามารถครอบครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาได้เลย และท่านก็อายุมากแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านจะกลายเป็นชนชาติใหญ่ เชื้อสายของท่านจะมากมาย ในสายตามนุษย์คงจะบอกได้อย่างเดียวว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่สิ่งที่ท่านอับราฮัมได้ตอบสนอง คือ ท่านมีความเชื่อ ท่านเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า และท่านก็ได้รับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้แก่ท่าน

พระเจ้าของเราสัตย์ซื่อ ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงสัญญาแก่เราแล้วจะมิได้ทรงกระทำตาม แต่ทุกสิ่งจะต้องสำเร็จสิ้นตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และแน่นอนทีเดียว ในวันสุดท้าย เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับมา เหตุการณ์ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงสำแดงให้แก่เราผ่านทางพระคัมภีร์อย่างแน่นอน และผู้ที่เชื่อ ก็จะได้รับแผ่นดินสวรรค์ ได้เข้าสู่แผ่นดินที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างแน่นอน

จากพระธรรมตอนนี้ เราจะสามารถเห็นได้ถึง 2 กฎเกณฑ์ ได้แก่ ธรรมบัญญัติ และความเชื่อ

"13 เพราะว่า พระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัม และผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้น ไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ

14 ถ้าเขาเหล่านั้น ที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์

15 เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ" (โรม 4:13-15)

อับราฮัมไม่ได้พระสัญญาผ่านทางการเชื่อฟังธรรมบัญญัติอย่างแน่นอน เพราะสมัยของท่านอับราฮัม ยังไม่มีธรรมบัญญัติ เพราะธรรมบัญญัติพระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ในสมัยโมเสส แต่ท่านได้พระสัญญาผ่านทางความเชื่อ ท่านเชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าจะต้องเป็นจริง และท่านก็ดำเนินชีวิตตามความเชื่อของท่าน เพราะความเชื่อของท่านที่เอง เราทั้งหลายจึงสามารถเป็นทายาทของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อด้วยเช่นกัน ในทางฝ่ายวิญญาณ เราทั้งหลายเป็นเชื้อสายอับราฮัมทั้งสิ้น

แต่สิ่งที่พระคัมภีร์ตอนนี้บอก คือ ธรรมบัญญัติทำให้ความเชื่อไร้ประโยชน์ ทำให้พระสัญญาไร้ประโยชน์ เป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา

ธรรมบัญญัติในที่นี้ หมายถึง การเชื่อฟังบัญญัติที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางโมเสส ซึ่งหมายถึงความพยายามที่จะเชื่อฟัง กระทำตามพระบัญญัติทั้งหมดที่บอกไว้ในสมัยโมเสส

อาจารย์เปาโลหมายความเช่นไร ที่บอกว่า "ถ้าเขาเหล่านั้น ที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์"?

ข้อความตอนนี้ ต้องการสอนให้เรารู้ว่า การที่เราได้รับทุกสิ่งตามพระสัญญานั้น ไม่ได้ขึ้นกับการกระทำของเราเลย ถ้าหากว่าเราจะพยายามที่จะเชื่อฟังตามพระบัญญัติ เพื่อที่จะให้พระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริง เพื่อที่จะได้เป็นทายาทของท่านอับราฮัม เพื่อที่จะได้รับความรอด ได้รับความชอบธรรม เราก็กำลังจะเข้าใจผิด และที่สำคัญกว่านั้น ถ้าหากเรามีท่าทีเช่นนั้น คือ อาศัยการพระพฤติ ด้วยความพยายามของเราที่จะทำตามพระบัญญัติ โดยคิดว่านี่เป็นวิธีที่จะทำให้ได้รับความรอด จนไม่เหลือช่องว่างให้ความเชื่อเลย สิ่งที่ร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราอาจไม่ได้รับตามพระสัญญานั้นเลย

บทสรุปของข้อความนี้ก็คือ ตราบใดที่เราพยายามที่จะเชื่อฟังธรรมบัญญัติ โดยคิดว่านี่เป็นวิธีที่เราจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ พระสัญญาของพระเจ้าก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะว่าพระสัญญาจะเกิดได้โดยความเชื่อที่ถูกต้อง และพระสัญญานี้มิได้ผ่านทางการเชื่อฟังธรรมบัญญัติ แล้วเราก็จะไม่ได้เป็นทายาท เราก็จะไม่ได้รับพรที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เนื่องจากท่าทีเช่นนี้จะทำให้เราไม่สามารถมีความเชื่อที่ถูกต้องได้เลย

และอาจารย์เปาโลก็ได้กล่าวข้อความที่ฟังดูแล้วน่ากลัว ฟังดูแล้วขัดกับความคิดของชาวยิวมากที่เดียว คือ "เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ" สิ่งเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?

แน่นอนทีเดียว ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์นั้น ถือเป็นพระคุณ เพราะว่าธรรมบัญญัติทำให้มนุษย์สามารถเห็นถึงความชอบธรรมของพระเจ้า ทำให้มนุษย์รู้ว่าความบาปคืออะไร ทำให้มนุษย์รู้ว่าไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้โดยผ่านทางการเชื่อฟังธรรมบัญญัติ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ทราบว่าเขาต้องการองค์พระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์เจ้า ที่จะช่วยเขาให้พ้นจากพระพิโรธนี้

ธรรมบัญญัติของพระเจ้านั้น ละเอียดรอบคอบ บริสุทธิ์อย่างมาก ทำให้เราเข้าใจถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกัน การที่เราได้รับธรรมบัญญัติที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้เราพบว่า ชีวิตเราเหมาะกับพระพิโรธเพียงใด แทนที่การพยายามเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้าโดยคิดว่าความพยายามของเรานี้เองจะนำมาสู่พระพร นำมาสู่ความรอด ทำให้เราได้รับสันติสุข ตรงกันข้าม เรากลับยิ่งพบถึงการประกาศความผิดของเรา เราจะยิ่งรู้ความผิดของเรา และเราก็จะสิ้นหวัง เพราะชีวิตเราจะยิ่งเหมาะสมกับการได้รับพระอาชญา

ยิ่งธรรมบัญญัติละเอียดรอบคอบเท่าไร พระอาชญาก็จะยิ่งทวีมากขึ้น เพราะสิ่งที่พระบัญญัติไม่ได้ระบุโทษเอาไว้ ไม่ได้บอกว่าผิด สิ่งนั้นก็จะไม่เป็นความผิด

แต่ทว่า ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถแก้ตัวได้เช่นกัน ว่าไม่มีธรรมบัญญัติ เลยไม่ต้องรับพระอาชญา เพราะแท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงประทานบัญญัติไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนทราบว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ดังนั้น กฎแห่งสามัญสำนึกของเขา ก็จะยังคงทำให้ชีวิตของเขาเหมาะกับพระอาชญาเช่นกัน และบรรดาผู้ที่มีธรรมบัญญัติจะยิ่งสมควรได้รับพระอาชญาหนักเสียยิ่งกว่า

เราจึงเห็นได้ว่า แทนที่การพยายามเชื่อฟังธรรมบัญญัติ โดยคิดว่าสิ่งนี้จะนำพรมาสู่เรา ทำให้พระสัญญาสำเร็จ ทำให้เราได้รับความรอด ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้เราพบกับพระอาชญา กลับยิ่งทำให้เราพลาดจากพระพรของพระเจ้า

สิ่งที่จะทำให้เราสามารถได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้น ก็คือ โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ

"16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้น จะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัม ผู้เป็นบิดาของพวกเรา

17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือ พระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น" (โรม 4:16-17)

การจะได้รับพระสัญญาของพระเจ้านั้น ก็โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น และกฎนี้ก็เป็นจริงสำหรับผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัม ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ เป็นจริงสำหรับชีวิตของเราผู้ซึ่งสืบเชื้อสายจากท่านอับราฮัมผ่านทางความเชื่อด้วยเช่นกัน พระสัญญานี้ เราได้รับผ่านทางบิดาแห่งความเชื่อ คือ ท่านอับราฮัมนี้เอง

และที่สำคัญที่สุด พระสัญญาของพระเจ้านั้น เป็นจากฤทธานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทางสามารถชุบชีวิตคนตายให้มีขึ้น และทรงเรียกสิ่งของที่มิได้มีให้มีขึ้น

สำหรับชาวยิวแล้ว เขาเชื่อว่าผู้ที่เป็นหมันไม่มีบุตร ก็เป็นผู้ที่ถูกสาปแช่ง เป็นเหมือนตายทั้งเป็น และอายุของท่านอับราฮัมกับซาราห์ก็มากแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่าทั้งสองจะสามารถมีบุตรร่วมกันได้ แต่พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์ ทำให้พระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงได้ ทรงทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้น คือในที่สุดแล้ว พระเจ้าก็ทรงประทานทายาทแห่งพระสัญญา ผ่านทางครรภ์ของนางซาราห์ นอกจากนี้ เมื่อเราอ่านพระธรรมโรมต่อไปในข้อสุดท้ายของบทที่ 4 นี้ เราจะพบว่า แท้จริงแล้วอาจารย์เปาโลมิได้ต้องการกล่าวถึงเพียงแค่การชุบชีวิตโดยการเปิดครรภ์นางซาราห์เท่านั้น แต่อาจารย์เปาโลยังต้องการเล็งถึงพระเจ้าผู้ทรงชุบชีวิตองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจากความตาย ซึ่งจุดนี้เอง เป็นหัวใจสำคัญของความเชื่อของคริสเตียนทีเดียว

และเช่นกัน การที่ท่านอับราฮัมได้กลายเป็นชนชาติใหญ่ ได้เป็นพรแก่ชาวโลกนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่ในสายตามนุษย์เป็นไปไม่ได้เช่นกัน แต่พระเจ้าของเราทรงฤทธิ์ ทรงสามารถทำให้พระสัญญาเป็นจริงได้ ทรงเรียกสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นได้

แบบอย่างของความเชื่อของอับราฮัม

18 ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจ ก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า "พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น"

19 ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงเอย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ ว่าเป็นหมัน

20 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า

21 ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้

22 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน" (โรม 4:18-22)

ต่อมา อาจารย์เปาโลก็ได้แสดงให้เราเห็นถึงท่าที เห็นถึงความเชื่อของอับราฮัม ซึ่งนำมาสู่ความชอบธรรมสำหรับท่าน ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1. ท่านอับราฮัมมีความเชื่อ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง

แน่นอนทีเดียว แม้ว่าเริ่มแรกท่านจะยังไม่เข้าใจว่าพระสัญญาจะเป็นจริงได้อย่างไร ที่ว่าท่านจะได้เป็นชนชาติใหญ่ จะมีพงศ์พันธ์มากมาย และในเริ่มแรกท่านก็ตอบสนองด้วยวิธีของมนุษย์ ยอมทำตามนางซาราห์ คือ ร่วมหลับนอนกับสาวใช้ แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ ไม่ได้เป็นตามพระสัญญาของพระเจ้า

ด้วยความหวัง และความเชื่อที่ท่านมี ท่านจึงกระทำตามพระสัญญาของพระเจ้า และในที่สุด ท่านก็มีบุตรกับนางซาราห์ เป็นทายาทแห่งพระสัญญา ท่านมีความหวังเต็มเปี่ยมในองค์พระผู้เป็นเจ้า

2. ท่านอับราฮัมไม่หวั่นไหว ไม่มีความแคลงใจในพระสัญญา

ด้วยที่ว่าท่านเป็นหมัน ไม่มีบุตร และอายุมากแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นการง่ายที่ท่านจะเลิกหวัง และเลิกเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ว่าท่านอับราฮัมมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านไม่หวั่นไหว แม้ว่าท่านจะยังไม่เข้าใจว่าจะเกิดได้อย่างไร ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงไปเลย แต่ตรงกันข้าม ความเชื่อของท่านกลับยิ่งมั่นคงแข็งแรงขึ้น และความเชื่อของท่านก็จึงทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติ

แม้ว่าดูในเรื่องราวของท่านอับราฮัม อาจพบว่า ท่านก็มีช่วงที่เหมือนกับสงสัย มีช่วงที่ท่านต้องต่อสู้กับตัวเองเช่นกัน จนท่านก็พลาดพลั้งหลายครั้ง แต่สิ่งที่เราพบก็คือ ไม่ว่าเช่นไร ท่านก็ยังคงมั่นคงในความเชื่อที่มีในพระสัญญาของพระเจ้า

และผลที่เกิดขึ้นจากความเชื่อเช่นนี้ คือ

"ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน" (โรม 4:22)

พระธรรมข้อนี้เอง เป็นเหมือนบทสรุปของท่านเปาโล หลังจากที่ท่านได้กล่าวมาตั้งแต่บทที่ 1-3 ถึงความบาปของมนุษย์ ถึงความสิ้นหวังของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งบทที่ 4 ที่ท่านพยายามอธิบายถึงกฎของความชอบธรรมโดยพระคุณเพราะความเชื่อ อธิบายให้เราเห็นภาพพจน์โดยใช้ตัวอย่างที่เราสามารถเข้าใจได้ และท่านจึงสรุปเป็นบทสรุปว่า ความเชื่อของท่านอับราฮัมเอง ที่ทำให้ท่านถูกนับความเป็นผู้ชอบธรรม ซึ่งกฎเกณฑ์นี้จะเป็นจริงสำหรับเราผู้ซึ่งเป็นลูกหลานของอับราฮัมผ่นทางความเชื่อเช่นกัน พระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงผ่านทางความเชื่อ ซึ่งบทสรุปตอนนี้จะเป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิบายเพิ่มเติมต่อไปในข้อที่ 23-25 ถึงการถูกนับว่าชอบธรรม (Justification)

ธีรยสถ์ นิมมานนท์
ชั้นศึกษาพระคัมภีร์ ์สำหรับอนุชน คริสตจักรสะพานเหลือง
07/06/2009

  • โรม 3:19-31
    ธรรมบัญญัติ ความชอบธรรม และความเชื่อ

  • โรม 4:1-8
    ความชอบธรรม: ตัวอย่างของอับราฮัมและดาวิด

  • โรม 4:9-12
    ความชอบธรรม VS การเข้าสุหนัด

  • โรม 4:13-22
    แบบอย่างของความเชื่อ

  • โรม 4:23-25
    การถูกนับว่าชอบธรรม

  • โรม 12:1
    เครื่องบูชาที่มีชีวิต

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com