โรม 3:19-31

ธรรมบัญญัติ ความชอบธรรม และความเชื่อ

พระธรรมโรม เป็นพระธรรมที่ลึกซึ้งอย่างมาก ได้บรรจุหลักศาสนศาสตร์อย่างมากมาย ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงประทานความเข้าใจฝ่ายวิญญาณให้แก่อาจารย์เปาโล ให้ท่านได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงหลักศาสนศาสตร์ที่ว่า ความชอบธรรม เราจะได้รับก็โดยทางความเชื่อเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอย่างท่านไม่ควรจะเข้าใจได้เลย เนื่องจากท่านเคยเป็นฟาริสี เน้นหลักการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างมาก ดังที่ท่านได้กล่าวในพระธรรมโรม 5:1 ซึ่งเป็นใจความสำคัญของพระธรรมโรม ว่า

"เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม เพราะความเชื่อแล้ว เราจึง {หรือ ให้เรา} มีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา" (โรม 5:1)

"19 เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า

20 เพราะว่า ในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้น ทำให้เรารู้จักบาปได้

21 แต่บัดนี้ ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้น ปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติ กับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่

22 คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งทรงประทาน โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน

23 เพราะว่า ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า

24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว

25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น

26 และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย

27 เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะเอาอะไรมาอวด ก็หมดหนทาง จะอ้างหลักอะไรว่าหมดหนทาง อ้างหลักการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือ ไม่ใช่ แต่ต้องอ้างหลักของความเชื่อ

28 เพราะเราทั้งหลายเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ

29 หรือว่าพระเจ้านั้น ทรงเป็นพระเจ้าของยิวพวกเดียวเท่านั้นหรือ พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของชนต่างชาติด้วยหรือ ถูกแล้วพระองค์ทรงพระเจ้าของชนต่างชาติด้วย

30 เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์ทรงโปรดยกโทษของคนที่เข้าสุหนัตโดยความเชื่อ และจะทรงโปรดยกโทษของคนที่ไม่เข้าสุหนัตก็เพราะความเชื่อดุจกัน

31 ถ้าเข่นนั้น เราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ เปล่าเลย เรากลับสนับสนุนธรรมบัญญัติเสียอีก" (โรม 3:19-31)


ในพระธรรมตอนนี้ เป็นตอนที่สำคัญ ที่จะทำให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านอกเหนือกฎบัญญัติ และหลักเกณฑ์ของความเชื่อ

ความสำคัญของธรรมบัญญัติ

"19 เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า

20 เพราะว่า ในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้น ทำให้เรารู้จักบาปได้" (โรม 3:19-20)

"เพราะว่า ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)

อาจารย์เปาโลได้เน้นย้ำมาตั้งแต่ โรมบทที่ 1 ข้อที่ 18 จนถึงโรมบทที่ 3 นี้ ว่า มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ชนชาติใด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือชาวต่างชาติ ล้วนก็เป็นคนบาป ได้ทำผิด มีความผิดต่อพระพักตร์พระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งชาวยิวก็ไม่ได้เปรียบกว่าชาวต่างชาติเลย

มีนักศาสนศาสตร์ได้ให้คำจำกัดความของความบาปได้อย่างชัดเจน ว่าความบาป คือ ความไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติทางศีลธรรมของพระเจ้า หรือ อะไรก็ตามในสิ่งทรงสร้างทั้งปวงที่ขัดแย้งกับพระลักษณะความบริสุทธิ์ของพระผู้สร้าง

ธรรมบัญญัติ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้แก่มนุษย์ เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม เป็นพระคุณที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ พระองค์มิได้ทรงประทานบทบัญญัติเพื่อที่จะประณามเราเมื่อเราทำไม่ได้ พระองค์มิได้ประทานธรรมบัญญัติมาเพื่อที่จะสามารถลงโทษมนุษย์ได้เมื่อเราทำผิด แต่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่ดีจึงทรงประทานธรรมญัติให้แก่มนุษย์

พระเจ้ามิได้ประทานธรรมบัญญัติมาเพื่อเป็นหนทางแก่มนุษย์ในการที่จะได้รับความรอด ธรรมบัญญัติไม่สามารถให้ชีวิตนิรันดร์แก่เราได้ เพราะด้วยความอ่อนแอของเนื้อหนังของมนุษย์เราจึงไม่สามารถที่จะกระทำตามได้อย่างครบถ้วน และมนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะมีความชอบธรรมผ่านทางการเชื่อฟังธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วนได้เช่นกัน

"21 ถ้าเช่นนั้น ธรรมบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าถ้าทรงตั้งธรรมบัญญัติอันอาจทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยธรรมบัญญัตินั้นจริง

22 แต่พระคัมภีร์ได้บ่งว่าทุกคนอยู่ในความบาป เพื่อจะประทานตามพระสัญญาแก่คนทั้งปวง ที่เชื่อโดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นหลัก " (กาลาเทีย 3:21-22)

แต่วัตถุประสงค์ที่พระองค์ประทานธรรมบัญญัติ ก็คือ (1) เพื่อทำให้เราสามารถเข้าใจถึงความบาป เพราะถ้าหากไม่ใช่ธรรมบัญญัติแล้ว เราคงจะไม่เข้าใจว่าสิ่งใดที่เรียกว่าบาป และเราก็คงจะไม่รู้จักบาป (2) เพื่อเป็นการสำแดงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้เราเห็นถึงความบาปของเรา ว่าต่างจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญที่สุด คือ (3) เพื่อที่จะนำมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นคนบาป ให้กลับมาหาพระเยซูคริสต์

"เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้ (หรืออาจแปลได้ว่า เป็นครูของเรา) จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ" (กาลาเทีย 3:24)

"Wherefore the law was our schoolmaster to bring us unto Christ, that we might be justified by faith." (Galatians 3:24 NKJV)

ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านอกเหนือกฎบัญญัติ

"21 แต่บัดนี้ ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้น ปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติ กับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่

22 คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งทรงประทาน โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน

23 เพราะว่า ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า

24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว

25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น

26 และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย" (โรม 3:21-22, 24-26)

อาจารย์เปาโล มิได้เพียงบอกเรา ว่าเราเป็นคนบาปเท่านั้น แต่ท่านยังได้สอนเราให้ทราบถึงความชอบธรรมจากพระเจ้า ซึ่งปรากฎอยู่นอกเหนือกฎบัญญัติ

สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับสิ่งที่อาจารย์เปาโลเคยเป็นอย่างสิ้นเชิง ท่านเคยตั้งใจที่จะเชื่อฟังธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน แต่ตอนนี้ ท่านกลับบอกว่า ความชอบธรรมของพระเจ้าได้สำแดงนอกเหนือธรรมบัญญัติ

ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงละทิ้งหรือยกเลิกธรรมบัญญัติ หรือท่านเองก็ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูคริสต์เจ้ามิได้ทรงสนใจธรรมบัญญัติ และรวมถึงท่านมิได้หมายถึงว่าเราคริสเตียน หลังจากได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว จะไม่ต้องทำตามธรรมบัญญัติ แต่ว่า อาจารย์เปาโลต้องการสื่อให้เราเข้าใจว่า การเชื่อฟังธรรมบัญญัติ ไม่สามารถที่จะกระทำได้จนสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นธรรมบัญญัติของยิวหรือชาวต่างชาติ และการที่เราจะได้รับความชอบธรรมจะต้องอาศัยทางอื่นนอกเหนือจากธรรมบัญญัติ นั่นก็คือ ทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

สิ่งเหล่านี้ มิใช่เป็นสิ่งที่เพิ่งมีการกล่าวในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ดังที่อาจารย์เปาโลได้บอกว่า "ธรรมบัญญัติ กับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่" ซึ่งก็หมายถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมทั้งหมด (ธรรมบัญญัติ หมายถึง พระธรรมเบญจบรรณ และพวกผู้เผยพระวจนะ หมายถึงพระคัมภีร์เดิมที่เหลือ) ได้เป็นพยานถึงความชอบธรรมนี้แล้ว

พระเจ้าไม่ได้ทรงถือว่าเราทุกคนต่างกัน ในแง่ที่ว่า เราทุกคน ล้วนจะมีความชอบธรรม หรืออีกนัยหนึ่งว่า เราทุกคนจะสามารถได้รับการยอมรับจากพระเจ้าได้ โดยทางเดียวเท่านั้น คือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า และเมื่อเรามาเป็นผู้เชื่อเช่นเดียวกันแล้ว ความเชื่อเอง ทำให้เราได้รับการนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้เชื่อทุกคนจึงเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนกัน เท่าเทียมกับ เพราะความชอบธรรมนี้ เป็นความชอบธรรมขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า และพระองค์ก็ทรงยอมรับเราทุกคนผู้ที่มีความชอบธรรมนี้

และสิ่งที่น่าอัศจรรย์ คือ แม้ว่าเราทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าก็ยังได้ทรงประทานพระคุณให้แก่เรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับ แม้ว่าเราจะไม่คู่ควร ไม่สมควรที่จะได้รับเลย พระเจ้าทรงประทานความชอบธรรมแก่เรา ทรงยอมรับเรา ให้เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยที่ไม่ได้ทรงคิดมูลค่าใด ๆ เลย โดยที่ได้ทรงประทานองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อเสด็จมาเป็นพระผู้ไถ่ มาเป็นเครื่องบูชา ถูกตรึงที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ เพื่อไถ่เราให้พ้นจากความบาปทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านั้น โลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ ยังเป็นที่ลบล้างพระอาชญา (propitiation)

คำว่า propitiation เป็นคำสำคัญ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ส่วนความบาปนั้นเป็นสิ่งที่ละเมิดฝ่าฝืนขัดแย้งกับพระลักษณะของพระองค์ และสมควรที่จะต้องได้รับการลงโทษ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อที่จะแบกรับการลงโทษที่เราควรจะได้รับ พระพิโรธของพระเจ้าอันเนื่องมาจากความบาปของมนุษย์ทั้งสิ้นตกอยู่ที่พระองค์บนไม้กางเขนนั้น ซึ่งนี่แหละ เป็นความสมบูรณ์ที่ทำให้พระลักษณะของพระเจ้าทั้งสองอย่าง คือ ความรักและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า สามารถสอดคล้องกันได้อย่างลงตัว

หลักเกณฑ์ของความเชื่อ

"27 เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะเอาอะไรมาอวด ก็หมดหนทาง จะอ้างหลักอะไรว่าหมดหนทาง อ้างหลักการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือ ไม่ใช่ แต่ต้องอ้างหลักของความเชื่อ

28 เพราะเราทั้งหลายเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ

29 หรือว่าพระเจ้านั้น ทรงเป็นพระเจ้าของยิวพวกเดียวเท่านั้นหรือ พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของชนต่างชาติด้วยหรือ ถูกแล้วพระองค์ทรงพระเจ้าของชนต่างชาติด้วย

30 เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์ทรงโปรดยกโทษของคนที่เข้าสุหนัตโดยความเชื่อ และจะทรงโปรดยกโทษของคนที่ไม่เข้าสุหนัตก็เพราะความเชื่อดุจกัน

31 ถ้าเข่นนั้น เราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ เปล่าเลย เรากลับสนับสนุนธรรมบัญญัติเสียอีก" (โรม 3:27-30)

ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของบรรดาประชาชาติทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เป็นพระเจ้าของทุกชนชาติ ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ ทั้งที่เข้าสุหนัดและไม่เข้าสุหนัด เป็นพระเจ้าของคนทุกคน ทรงเป็นความหวังของประชาชาติ เพียงแค่เขาเหล่านั้นมีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ก็จะได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าเท่าเทียมกัน

เนื่องด้วยความเชื่อนี่เอง จึงทำให้เรามีหนทางที่จะกลับมาได้รับการยอมรับกับพระองค์อีกครั้ง เป็นทางที่จะทำให้เราได้รับความชอบธรรม โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และเพราะหลักเกณฑ์ของความเชื่อนี่เอง จึงทำให้เราทุกคนเสมอภาคกัน ไม่มีใครที่ดีเกินไปจนไม่ต้องการองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และก็ไม่มีใครที่จะเลวเกินไปจนไม่สามารถได้รับความชอบธรรมนี้ได้ ขอบคุณพระเจ้า

ดังนั้นเราจึงหมดหนทางที่จะอวดได้ ไม่ว่าเราจะตั้งใจที่จะเชื่อฟังธรรมบัญญัติมากเพียงไร ไม่ว่าเราจะรับใช้พระเจ้ามากเพียงไร แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราชอบธรรมกว่าคนอื่น ๆ เลย (ต้องระวังอย่าสับสนกับบำเหน็จที่เราจะได้รับ บำเหน็จของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน โดยพระเจ้าจะทรงวัดที่การเชื่อฟังพระเจ้าเป็นหลัก) เพราะเราทุกคนล้วนชอบธรรมได้เพราะความชอบธรรมนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติเท่านั้น

และที่สำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจ คือ หลักเกณฑ์ของความเชื่อสนับสนุนธรรมบัญญัติ หลักเกณฑ์ของความเชื่อไม่ได้มาลบล้างธรรมบัญญัติ ไม่ใช่ว่าเมื่อเราได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อแล้วเราไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังธรรมบัญญัติ เพราะความหลักเกณฑ์ของความเชื่อ กลับยิ่งทำให้เรายกชูธรรมบัญญัติเสียอีก

ความเชื่อที่แท้จริง ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ย่อมนำไปสู่การทำดี ดังที่พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดด้วยความเชื่อโดยไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของเรา แต่ว่าที่พระองค์ทรงไถ่เรา เรารอดแล้ว เราจึงต้องทำดี

"9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้

10 เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ" (เอเฟซัส 2:9-10)

เราจะต้องเป็นแสงสว่างของโลก เป็นเกลือแห่งโลก และเราไม่สามารถเชื่อได้โดยปราศจากผลของความเชื่อ คือการกระทำ เพราะว่าเราซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราจำต้องมีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เกิดขึ้นในชีวิตของเรา

สรุปประเด็นสำคัญ

  • ธรรมบัญญัติ ทำให้เราสามารถรู้จักบาป

  • ไม่มีผู้ใดที่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการเชื่อฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น

  • ทุกคนที่เชื่อเหมือนกันหมด ไม่แตกต่างกัน ต่างก็ได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้าโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์

  • พระเยซูคริสต์เจ้าทรงไถ่เรา และทรงนำการลบล้างพระอาชญาให้แก่เรา

  • ธรรมบัญญัติมิได้ถูกยกเลิก แต่หลักเกณฑ์ของความเชื่อกลับทำให้เรายิ่งสนับสนุนธรรมบัญญัติ

สรุปบทเรียนที่ได้

  • ไม่มีผู้ใดที่จะดีเกินไป จนไม่ต้องการพระเยซูคริสต์เจ้า เราต้องการพระโลหิตของพระองค์ที่จะชำระเราจากความบาป

  • ไม่มีผู้ใดที่จะเลวเกินไปจนกระทั่งพระเยซูคริสต์ไม่สามารถไถ่ได้ หรือจนพระองค์ไม่สามารถที่จะนำการลบล้างพระอาชญามาให้ได้ ผู้ใดก็ตามที่มาหาพระเยซูคริสต์ ก็จะได้รับความชอบธรรมจากพระองค์เหมือนกันหมด โดยพระคุณของพระองค์

  • เราไม่สามารถที่อวดความชอบธรรมของเราได้ หรืออวดการประพฤติตามธรรมบัญญัติของเราได้ ไม่มีผู้ใดชอบธรรมกว่าผู้อื่น

  • แม้ว่าหลักเกณฑ์ของความเชื่อจะมีผลต่อเราโดยตรง แต่ว่าธรรมบัญญัติก็ยังคงมีความสำคัญต่อชีวิตเราอย่างมาก เพราะว่าธรรมบัญญัติ ทำให้เรารู้จักว่าสิ่งใดเป็นบาป และทำให้เราเห็นความชอบธรรม ความบริสุทธ์ของพระเจ้า

ธีรยสถ์ นิมมานนท์
ชั้นศึกษาพระคัมภีร์ ์สำหรับอนุชน คริสตจักรสะพานเหลือง
26/04/2009

  • โรม 3:19-31
    ธรรมบัญญัติ ความชอบธรรม และความเชื่อ

  • โรม 4:1-8
    ความชอบธรรม: ตัวอย่างของอับราฮัมและดาวิด

  • โรม 4:9-12
    ความชอบธรรม VS การเข้าสุหนัด

  • โรม 4:13-22
    แบบอย่างของความเชื่อ

  • โรม 4:23-25
    การถูกนับว่าชอบธรรม

  • โรม 12:1
    เครื่องบูชาที่มีชีวิต

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com