1 ยอห์น 2

พระคริสต์ผู้ทูลขอเพื่อเรา

"1 ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น

2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย

3 เรามั่นใจได้ว่า เราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือ ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์

4 คนใดที่กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์' แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย

5 แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงความบริบูรณ์ในคนนั้นแล้วอย่างแน่แท้ ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์

6 ผู้ใดกล่าวว่า ตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น" (1ยอห์น 2:1-6)

ถ้าเราอ่านพระธรรมตอนนี้ จะเข้าใจได้ว่า ท่านยอห์นแนะนำไม่ให้เราทำบาป และเราก็เข้าใจแล้วว่าบาปเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่หากเราทำบาป พระเยซูคริสต์ก็ทรงทูลขอเพื่อเราอยู่ นี่คือเป็นการตีความหมายตามลำดับข้อความ เป็นการโยงเข้าอย่างดีกับ 1ยอห์น 1:9 อย่างดี คือ เมื่อเราทำบาป เราก็สารภาพ และพระเจ้าก็จะทรงยกโทษให้แก่เรา

แต่การตีความหมายของพระธรรมตอนนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างดี

สิ่งที่ท่านยอห์นพูดถึงตอนนี้ ท่านยอห์นได้กล่าวต่อว่า ถ้าหากว่าเราได้คุ้นกับพระองค์ คือได้รู้จักกับพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว จะต้องยืนยันด้วยการอยู่ในธรรมบัญญัติของพระองค์ คนที่คุ้นกับพระเจ้าจะไม่ทำบาป จะรักษาบัญญัติอย่างดี นี่จึงเป็นการทำให้เราทราบว่าอาจารย์ยอห์นไม่ได้เปิดช่องให้เราทำบาปได้ เพื่อที่จะสารภาพภายหลัง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะขัดแย้งกับตัวของเราเอง และถ้าเรายังคงทำบาปเช่นนั้น ก็แสดงว่าเราไม่รู้จักพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความจริง ถ้าหากเรามุสา พระคริสต์ก็ทรงอยู่ในเราไม่ได้

"ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จ มันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา" (ยอห์น 8:44)

แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากเราประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงเรา ความบริบูรณ์ของพระเจ้าก็อยู่ในเรา

ถ้าเราอยู่ในพระองค์ พระองค์ก็ทรงอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงอยู่ในเรา เราจึงจำเป็นต้องแสดงออกอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นใคร มีของพระทานมากมายเพียงใด แต่ถ้าไม่มีลักษณะเช่นนี้ คือไม่เชื่อฟังบัญญัติของพระองค์ และยังคงแสดงลักษณะทางฝ่ายเนื้อหนัง เช่น การพูดคำหยาบคาย การที่มีลักษณะเป็นคนช่างฉุนเฉียว ทะเลาะวิวาท เป็นต้น ก็แสดงว่าเขายังไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าคนเช่นนี้ เขาคิดว่าได้อยู่ในพระองค์แล้ว แต่แท้จริงแล้วมิได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

"อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดี และเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง" (เอเฟซัส 4:29)

"เพราะว่า ความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำ จึงกระทำไม่ได้" (กาลาเทีย 5:17)

"9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์

10 คำสรรเสริญ และคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น

11 บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืด และน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ

12 พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อ จะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย (ยากอบ 3:9-12)

เป็นไปไม่ได้ ที่เมื่อพระวิญญาณอยู่ในเรา แล้วเราจะแช่งด่าผู้อื่น จะทำสิ่งที่ลามก พูดจาไม่สุภาพ และด้วยลักษณะเหล่านี้เราจะสามารถสังเกตได้ว่าผู้ใดอยู่ในพระเจ้า หรือไม่ได้อยู่ในพระเจ้า และเมื่อผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็จะมีลักษณะเหมือนพระองค์ คือ อ่อนโยนและสุภาพ

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อที่เราจะไปมองผู้อื่น แต่จะเป็นสิ่งที่เราควรจะนำมาใคร่ครวญกับชีวิตของเรา เรากำลังประนีประนอมกับบาปโดยคิดว่าสามารถอธิษฐานสารภาพได้หรือไม่?

"เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย" (ฮีบรู 10:26)

พระคริสต์ไม่เคยทำบาปเลย ในพระองค์ไม่มีบาปเลย และผู้ที่อยู่ในพระองค์ ก็ต้องดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงเดินนั้น

การที่อยู่ในพระองค์ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ เพราะเราจำเป็นจะต้องรับกางเขนของตนแบกไว้ แล้วเดินตามพระองค์ไป ดังที่พระองค์ทรงรับกางเขนของพระองค์ไว้ เดินไปสู่กางเขน เพื่อที่ช่วยเราให้พ้นบาป เราจำเป็นต้องสู้เต็มกำลัง เพื่อที่คำว่า "บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ" จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา

"ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์ และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์" (เอเฟซัส 1:4)

ท่านยอห์นได้เน้นย้ำให้เราเกรงกลัวต่อบาป ที่เราจะไม่ทำบาป เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เราออกจากทางของพระองค์ และจะนำเราไปสู่พระอาชญาของพระองค์ สำหรับพระเจ้าแล้ว ถ้าหากเราทำผิดบัญญัติเพียงข้อเดียวก็เท่ากับผิดทั้งหมด แม้ในสายตามนุษย์จะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

"เพราะว่า ผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด" (ยากอบ 2:10)

ถ้าเราผ่านก้าวนี้ด้วยความเข้าใจ ชีวิตของเราก็จะก้าวไปสู่ความบริบูรณ์ในพระองค์

พระบัญญัติใหม่

"7 ดูก่อน ท่านที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ ถึงท่านทั้งหลายเลย แต่เป็นพระบัญญัติเก่าซึ่งท่านทั้งหลายได้มีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเก่านั้นคือคำซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินมาแล้ว

8 อีกนัยหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย ที่ว่าใหม่ทั้งฝ่ายพระองค์ และฝ่ายท่านทั้งหลาย ก็เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะล่วงไป และความสว่างแท้ก็ส่องอยู่แล้ว

9 ผู้ใดที่กล่าวว่า ตนอยู่ในความสว่าง และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด

10 ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้สะดุด

11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตน ก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว

12 ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าได้ทรงยกบาปของท่านแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์

13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชนะมารร้ายนั้น ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระบิดา

14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว

15 อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น

16 เพราะว่า สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือ ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก

17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1ยอห์น 2:7-17)


บัญญัติทั้งเก่าและใหม่ ก็เป็นบัญญัติเดียวกัน แต่สิ่งที่ใหม่ก็คือ ความมืดกำลังจะล่วงไป และความสว่างแท้ได้ปรากฎแล้ว สิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ ก็ได้ประจักษ์แล้ว ได้เปลี่ยนเป็นความสมบูรณ์แล้ว โดยชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ซึ่งมิได้ทรงมีบาปเลย สิ่งซึ่งเนื้อหนังเอาชนะไม่ได้ บัดนี้เราจึงสามารถเอาชนะได้แล้ว ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

"3 เพราะว่า สิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป {หรือ เป็นเครื่องบูชาไถ่คนจากบาป} พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป

4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ (โรม 8:3-4)

ถ้าหากเราอยู่ในพระวิญญาณ เราจะมีกำลังที่จะเอาชนะเนื้อหนังได้ หรือกล่าวอย่างชัดเจนเลย ก็คือ ถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณแล้ว เราจะแพ้เนื้อหนังไม่ได้

"ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆ แล้ว ท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์" (โรม 8:9)

"ด้วยว่า ซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ ก็คือชีวิต และสันติสุข" (โรม 8:6)

โรมบทที่ 8 ได้อธิบายถึงลักษณะของชีวิตฝ่ายวิญญาณได้อย่างชัดเจนมากทีเดียว เราจำเป็นต้องศึกษาและจดจำให้ดี เพื่อที่เราจะเข้าใจได้ว่าลักษณะของผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร เพื่อที่เราจะมั่นใจได้ว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ จนถึงวันสุดท้ายที่จะได้รอดพ้นจากการพิพากษา

"13 ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ คือ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา

14 เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญ แด่พระสิริของพระองค์" (เอเฟซัส 1:13-14)

เราจำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อที่เราจะหลุดจากเนื้อหนังนี้ เพื่อที่เราจะประหารโลกียวิสัยในตัวเราเสีย โดยการตรึงตัวเก่าของเราไว้กับพระองค์ และมีชีวิตใหม่ในพระองค์

"เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ" (โคโลสี 3:5)

ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า (กาลาเทีย 2:20)

เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นบุตรหัวปี ดังนั้นพี่น้องจึงมิได้หมายถึงพี่น้องทางสายเลือดเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องรักกันและกันทั้งหมด เพราะผู้ที่อยู่ในพระคริสต์จะต้องรักกันและกัน และชีวิตในพระเจ้าจะเกลียดชังผู้ใดไม่ได้เลย เกลียดได้อย่างเดียว คือ ความบาป เราจะมีทั้งพระวิญญาณและเนื้อหนังไม่ได้

พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้เรารักแม้กระทั้งศัตรู ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงในการรักพี่น้องได้

ท่านยอห์นได้เปรียบเทียบกับผู้ที่เกลียดชังพี่น้องว่า เป็นผู้ที่อยู่ในความมืด เดินในทางมืด และมองไม่เห็นทาง ดังนั้น ถ้าหากว่าเราจะติดตามผู้ใด เราจะยึดใครเป็นแบบอย่าง ให้เราสังเกตดูให้ดีว่าผู้ที่เราจะติดตามนั้นเป็นเช่นไร เขาเดินในความสว่างหรือไม่? ในชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความรักหรือไม่? สังเกตลักษณะของชีวิตของเขาให้ดี เพื่อที่เราจะไม่ติดตามคนที่เป็นดั่งคนตาบอด แต่ถ้าผู้ที่เราจะติดตามนั้นเป็นบุคคลในฝ่ายวิญญาณ เดินในความสว่างแล้ว ให้เราติดตามเขาไปเถิด เอาชีวิตเขาเป็นแบบอย่าง แล้วเราจะก้าวสู่แผ่นดินสวรรค์ด้วยความมั่นใจ


12 ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าได้ทรงยกบาปของท่านแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์

13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชนะมารร้ายนั้น ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระบิดา

14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้คุ้นกับพระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว

15 อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น

16 เพราะว่า สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือ ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก

17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1ยอห์น 2:12-17)

พวกยิวทุกคน ได้รับการถ่ายทอดให้รู้ว่า พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนมีโลกนี้ เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่แล้ว เป็นผู้สร้างโลกนี้ ดังนั้น ชาวยิวจะคุ้นเคยกับพระเจ้ามาก ได้รับการถ่ายทอดมาอย่างดี

ผู้ที่เป็นบิดา เคยได้รับประสบการณ์จากการเลี้ยงดูของบิดามารดาของเขา เขาจึงเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า เช่นเดียวกัน ผู้ที่เป็นบุตร ก็จะได้รับประสบการณ์เช่นนั้น

คนหนุ่มที่ต่อสู้เพื่อพระนามของพระเจ้า เขาก็จะมีกำลังที่จะต่อสู้เผชิญ

พระคัมภีร์กล่าวว่า ถ้าเราต่อสู้ เราก็จะชนะมารร้าย

การต่อสู้โดยพระวจนของพระเจ้า คือ อะไร ก็คือ เมื่อเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เราปฏิบัติตาม พระเจ้าจะทรงเสริมกำลังให้แก่เราที่เราจะมีชัยชนะ เราจะมีชัยชนะต่อการทดลองของมาร ต่อการล่อลวงของมาร

มารพยายามที่จะชักจูงเราที่จะให้ทำผิดต่อพระเจ้า เราจึงจำเป็นต้องต่อสู้ โดยการที่เราเชื่อฟังพระเจ้า การต่อสู้นี่เอง จะทำให้เราได้รับกำลังจากพระเจ้า และเราก็จะมีชัยชนะ

มารอาจบอกให้เราโกหก เพื่อเราจะเอาตัวรอด ไม่ต้องรับผิด แต่ถ้าหากเราเชื่อฟังพระเจ้า พูดความจริง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความผิด ถ้าเราต่อสู้ พระเจ้าก็จะทรงอวยพรเรา เสริมกำลังให้แก่เรา ให้เราพ้นการทดลองนี้ได้

ผู้ที่เป็นพ่อ เขาได้รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เขาทำอะไร รู้ว่าจะชนะมารร้ายได้อย่างไร ก็จะเป็นสิ่งที่เขาจะต้องสอน ถ่ายทอดให้แก่รุ่นลูก

สิ่งที่น่ากลัว คือ มารใช้โลกนี้ ในการล่อลวงให้เราเกิดความปรารถนา คือ ตัณหาที่อยากได้สิ่งต่าง ๆ และมารก็จะแนะนำให้แก่เราว่า ถ้าหากเราอยากมีความสุขในโลกนี้ เราจำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย เราจำเป็นต้องมีชื่อเสียงมาก ๆ จำเป็นต้องมีอำนาจ เป็นใหญ่เป็นโต เพื่อที่จะมีคนมาปรนนิบัติ ต้องแสวงหาสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น ชีวิตของมนุษย์จึงแสวงหาสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าจะได้มาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องก็ตาม หาเงินทองมากมาย เพื่อหาความสุขให้แก่ตัวเอง

แต่คนที่รักสิ่งเหล่านี้ เขาก็จะลืมพระเจ้า ไม่คิดถึงพระเจ้า เพราะเขาคิดว่าเขามีปัจจัยต่าง ๆ ครบแล้ว ดังนั้น โลก ซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุต่าง ๆ มันก็จะทำให้เราคิดว่าสิ่งต่าง ๆ สำคัญ ให้เราคิดว่าเงินทอง บ้าน รถ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะขาดไม่ได้ นี่จึงเป็นพื้นฐานของบาป เป็นสาเหตุของคอรัปชั่นต่าง ๆ

ถ้าเรารักโลก และสิ่งของที่มีในโลก เราจะเสียความรักที่มีต่อพระเจ้า

อาจมีผู้สงสัยว่า ถ้าเราไม่มีของเหล่านี้ในโลก เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร?

พระเจ้าบอกว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เพียบพร้อมด้วยสรรพสิ่งทั้งมวล พระเจ้าจะทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่เราด้วย เพื่อเราจะไม่ขาดสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่เราจำเป็นจะต้องแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน สิ่งเหล่านี้พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่เรา

พระเจ้าทรงอวยพรข้าพเจ้าแม้ในปีแห้งแล้ง ชีวิตที่อยู่ในพระเจ้า เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะทรงประทานสิ่งดีให้แก่เรา สิ่งที่จำเป็นให้แก่เรา เพิ่มเติมให้แก่เราอย่างไม่คาดคิด แม้ว่าเราจะไม่ได้ทุ่มเทเพื่อสิ่งเหล่านั้นก็ตาม เราจึงไม่จำเป็นต้องเอาใจของเราไปผูกกับโลก และสิ่งของของโลก เพราะสิ่งเหล่านี้กำลังจะล่วงไป ไม่ยั่งยืน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ไม่สามารถทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจำเป็นต้องรับเอาจากพระวจนะ

เมื่อข้าพเจ้าเริ่มทำงานใหม่ ๆ ก็วาดฝันว่าจะต้องมีฐานะดี มีบ้าน มีรถ เมื่อแต่งงานแล้วจะได้มีฐานะมั่นคง ดำรงชีวิตอย่างสบาย เมื่อมีความคิดเช่นนั้น ก็ได้ทุ่มเทกับการทำงาน จนบางครั้งก็ลืมที่จะอ่านพระคัมภีร์ มาคริสตจ้กร โดยคิดว่าเมื่อเราได้สิ่งที่เราต้องการแล้วเราค่อยทำก็ได้ นี่แหละ โลกกำลังจะดึงเราออกจากพระองค์

ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงฉุดรั้งข้าพเจ้าไว้ สิ่งต่าง ๆ ที่คาดหวังก็ไม่เป็นเช่นนั้น และได้มาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวจัดเจนว่า ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นกับเราเลย แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ถ้าเราหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้สิ่งเหล่านั้น แต่เมื่อข้าพเจ้าได้เลือกที่จะแสวงหาพระองค์ ไม่ยึดกับสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าก็ทรงอวยพรอย่างมากมาย ไม่ขาดสิ่งดีในโลกนี้เลย

นอกจากเราได้ทำให้พระเจ้าพอพระทัยแล้ว เรายังจะได้รับพรในโลกนี้อย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็นจริงตามพระสัญญา

ถ้าเรามีพระเจ้า เราก็มีทุกอย่าง แต่ตรงข้าม ถ้าหากเรามีอย่างอื่น เราก็ไม่ได้สิ่งเหล่านั้น และก็ไม่มีพระเจ้าดูแลชีวิตของเรา

ถ้าพระเจ้าทรงนำ เราก็ไม่จำเป็นต้องห่วง เพราะพระเจ้าทรงมีพระสัญญาอย่างมากมาย ทำสิ่งใดก็จะเกิดผลดี เป็นพรของพระเจ้าที่มีแก่เรา ถ้าเราได้สัมผัสแล้ว เราก็จะยิ่งเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

สิ่งที่เราควรจะเลือก คือ อย่าไปมองโลก และสิ่งที่โลกหยิบยื่นให้แก่เรา แต่ขอที่เราจะยึดเอาพระวจนะคำของพระเจ้า และดำเนินตามนั้น เพราะพระวจนะของพระเจ้าจะให้คำตอบ ให้ความสุขที่แท้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับเงินทอง ไม่ขึ้นกับชื่อเสียง ความสำเร็จ แต่สันติสุข คือ การที่รู้ว่าเรามีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่อยู่กับเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด และเราก็จะไม่ขาดสิ่งดีใด ๆ ในโลกนี้

สิ่งสำคัญ คือ เราจำเป็นต้องประพฤติตามพระทัยพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์ยอห์นเผยเคล็ดลับให้แก่เรา

ปฏิปักษ์ของพระคริสต์

"18 ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า ปฏิปักษ์ของพระคริสต์จะมีมา บัดนี้ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ก็มีมากแล้ว ฉะนั้นเราจึงรู้ว่า บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว

19 เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่เขาได้ออกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า เขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราไม่

20 และท่านทั้งหลายได้รับการทรงเจิมจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์แล้ว และท่านทุกคนก็มีความรู้ {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ท่านก็รู้ทุกสิ่ง}

21 ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย มิใช่เพราะท่านไม่รู้สัจจะ แต่เพราะท่านทั้งหลายรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสามิใช่มาจากสัจจะ

22 ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่า พระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์

23 ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตร ผู้นั้นก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดที่รับพระบุตร ผู้นั้นก็มีพระบิดาด้วย

24 ฝ่ายท่านทั้งหลาย จงให้ข้อความที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้น ดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าข้อความที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านก็ตั้งมั่นคงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดาด้วย

25 นี่แหละ เป็นพระสัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงสัญญาไว้แก่เรา คือ โปรดให้มีชีวิตนิรันดร์

26 ข้าพเจ้าได้เขียนข้อความนี้ถึงท่าน กล่าวถึงคนเหล่านั้นที่หลอกลวงท่าน

27 และฝ่ายท่านทั้งหลาย การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่านทั้งหลาย เพราะว่าการเจิมนั้นได้สอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง และไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นสอนท่านทั้งหลายแล้วอย่างใด ท่านจงตั้งมั่นคงอยู่กับพระองค์อย่างนั้น

28 และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา

29 ถ้าท่านทั้งหลายรู้ว่า พระองค์เที่ยงธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกคนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรมได้บังเกิดมาจากพระองค์ด้วย" (1ยอห์น 2:18-29)

นี่เป็นความจริงที่เราจำเป็นต้องใส่ใจ

คำว่า "วาระสุดท้าย" เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์สำแดงให้เราเห็นว่า เวลาแห่งการเสด็จกลับมราของพระเยซูคริสต์นั้น ใกล้เข้ามาแล้ว เราจะประมาทนี้ไม่ได้เลย เราจำเป็นต้องอดทน ยึดพระเจ้าไว้จนถึงที่สุด เพราะในวันที่พระองค์เสด็จมา จะเป็นวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะทรงรับผู้ที่พร้อมให้ไปร่วมกับขบวนที่ยิ่งใหญ่ เพื่อที่ปลดเราจากความทุกข์ในโลก พาเราไปยังสวรรค์ แต่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็จะร้องไห้เสียใจ รู้สึกเสียดายที่เขาไม่ได้เลือกที่จะรับพระเยซูเป็นพระเจ้าในชีวิต ไม่ได้เลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับพระองค์

สถานการณ์รอบตัวเรา จะทำให้เรายิ่งทราบว่า จะต้องเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง และจะเห็นได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ล้วนทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นจริงตามพระวจนะ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ กันดารอาหาร โลกระบาด สงครามก็พบว่ายังไม่สงบ ยังมีการผลิตอาวุธสงคราม นี่เป็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนวันที่พระองค์เสด็จกลับมา

อาจารย์ยอห์น ได้กล่าวถึง "ปฏิบักษ์ของพระคริสต์" ซึ่งได้แก่ มารและพรรคพวก ซึ่งพวกมันจะสำแดงฤทธิ์ของมัน เพื่อต่อสู้กับพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อดึงให้คนหันไปนับถือพวกมัน และละทิ้งพระเจ้า

ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ ได้มีมาตั้งแต่หลังจากพระเยซูทรงเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว และปัจจุบันก็ยังมีอยู่ชัดเจน เวลาการเสด็จกลับมาจึงยิ่งใกล้เข้าไปเสียอีก จึงขอที่เราจะระมัดระวัง เตรียมชีวิตให้พร้อมอยู่เสมอ

ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ ทำให้กลุ่มคนแยกออกไป คนที่เป็นฝ่ายปฏิปักษ์ก็จะออกจากเหล่าสาวกของพระองค์ และพระเยซูคริสต์ก็ทรงสอนให้สาวกรักซึ่งกันและกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน ความเชื่อต่าง ๆ ก็จะสอดคล้องกัน แต่ผู้ที่อยู่ฝ่ายปฏิปักษ์ รับคำสอนที่ผิดมา ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกลุ่มกับเหล่าสาวกได้ต่อไป

ถ้าสิ่งใดที่สอนไม่ตรงตามพระคัมภีร์ ขอที่เราอย่าเชื่อ ขอที่เราจะระมัดระวังให้ดี เพราะคำสอนผิดต่าง ๆ จะแทรกซึมเข้ามา โดยอาจอ้างพระคัมภีร์ แต่ว่าจะอ้างผิด ๆ พวกผู้สอนผิดจะพยายามล่อลวงเราให้ออกจากทางของพระเจ้า เหมือนกับที่มารล่อลวงอาดัมและเอวาที่สวนเอเดน

กลยุทธิ์ของปฏิบักษ์ จะไม่ได้มาโดยตรงไปตรงมา แต่จะพยายามที่จะทำให้เราเข้าใจผิด และพวกเขาก็จะแยกตัวออกไป คำสอนเหล่านี้จะเป็นเหมือนเนื้อร้าย

เราได้รับการเจิมจากพระเจ้าแล้ว การเจิมคือการแต่งตั้ง ก็คือเราได้รับการแต่งตั้งแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เมื่อเรารับพระองค์เข้ามา ให้เราได้เป็นบุตรของพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราได้รับจากพระเจ้าเท่านั้น ยกเว้นการเจิมเพื่อที่จะแต่งตั้งให้เรารับใช้ในตำแหน่งเฉพาะ

ถ้าเราได้รับการเจิมจากผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิจากพระเจ้าแล้ว เราก็จะเป็นเหมือนทาสของเขา

"15 "ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา

16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป

17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์

เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน" (ยอห์น 14:15-17)

เมื่อเราฟังเสียงของพระเจ้า ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าก็จะทรงประทานความเข้าใจให้แก่เรามากขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ที่สอนเรา จะทรงเปิดเผยให้แก่เรา จะประทานความเข้าใจให้แก่เรา เพื่อให้เรากระจ่าง แม้ว่าสิ่งที่เราได้เรียนจากผู้สอนจะผิด แต่เมื่อเรากลับมาใคร่ครวญพระวจนะ เราก็จะเข้าใจอย่างถูกต้อง และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นมัดจำแก่เรา จนเราได้รับความรอด

"13 ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา
14 เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์" (เอเฟซัส 1:13-14)

ถ้อยคำที่พระเยซูคริสต์ตรัส และที่พระบิดาตรัส จะเป็นถ้อยคำเดียวกัน

ถ้อยคำในพระคัมภีร์เดิม พระยาเวห์กล่าวว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามของพระเจ้า ผู้นั้นจะรอด

ในพระคัมภีร์ใหม่ ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็คือพระนามของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นจะรอด

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com