1 ยอห์น 1

ยอห์นซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์มาก หลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรค์แล้ว อาจารย์ยอห์นได้เขียนจากสิ่งที่ท่านได้สัมผัส สิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

"ดังนั้น ยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด" (1โครินธ์ 13:13)

ในความรักอันนี้แหละ เป็นสิ่งที่ท่านยอห์นได้เขียนไปถึงบรรดาคริสตจักร ว่าท่านซาบซึ้งในความรักของพระเยซูคริสต์เช่นไร และเพื่อที่บรรดาสาวกจะได้เข้าใจว่าควรจะปฏิบัติเช่นไร

ในพระธรรม 1ยอห์น ได้เน้นถึง "ความรัก" ให้เรารักกันและกัน

ท่านได้เริ่มต้นเหมือนพระธรรมยอห์น คือ ได้กล่าวถึงพระวาทะซึ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ องค์พระเยซูคริสต์

พระวาทะแห่งชีวิต

"1 ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต

2 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย)

3 ซึ่งเราได้เห็น และได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์

4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความปลาบปลื้มยินดีของเรา {สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่าน} จะได้เต็มเปี่ยม (1ยอห์น 1:1-4)

ท่านได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือ ความเป็นพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ที่ชัดเจนมาก

เป็นสิ่งที่ยากที่จะยอมรับว่าผู้ที่เขาได้รู้จักนั้นดำรงอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยสร้างโลก และการที่จะยอมรับว่าใครเป็นพระเจ้านั้น บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่อาจารย์ยอห์นก็ได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์เช่นนั้น เพราะขณะที่ท่านติดตามพระเยซูคริสต์ ท่านได้พินิจพิจารณาชีวิตของพระเยซูคริสต์อย่างละเอียดมากได้สัมผัสกับพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด ท่านได้พบความสมบูรณ์แบบของพระองค์ และท่านยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระวาทะ

ลองคิดถึงว่าถ้าหากว่าเราได้อยู่ในสมัยนั้น เราก็คงจะดูพระองค์อย่างใกล้ชิด แทบจะเรียกว่าจับผิดเลยก็เป็นได้ ซึ่งท่านยอห์นก็คงจะเป็นเช่นนั้น และเมื่อท่านได้ดูชีวิตของพระองค์วันแล้ววันเล่า ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า

"1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว

2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า 'เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน'

3 เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น

4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน

5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน

6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่

7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก

8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ

9 เพราะว่า ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย

10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน" (ยอห์น 20:1-10)

จากเหตุการณ์นี้ จะเห็นได้ว่า ยอห์นวิ่งเร็วกว่า ไปถึงอุโมงค์ก่อน และเปโตรมาถึงทีหลัง แต่ปรากฎว่าเปโตรรีบเข้าไปข้างใน ในขณะที่ท่านยอห์นพิเคราะห์พิจารณา ท่านได้ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์มาตลอด ได้สังเกตชีวิตของพระองค์อย่างใกล้ชิด ได้สัมผัสพระองค์ และท่านก็ได้จดจำถ้อยคำของพระองค์ ท่านจึงใคร่ครวญ แม้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ท่านก็เก็บไปคิด เพราะท่านได้เห็นแล้วว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มาก ท่านรู้จักพระองค์เป็นอย่างดี นี่เป็นแบบอย่างที่ดีที่เราควรนำเป็นแบบอย่าง เพราะคนที่ยิ่งรู้จักพระองค์มาก ก็จะยิ่งตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่กับพระองค์ แล้วเขาก็จะไม่อยู่เฉย ๆ

คนที่รู้จักพระเจ้า จะพร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ถ้าเขายิ่งรู้จักพระเจ้ามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาจะไม่ให้สิ่งอื่นสำคัญกว่าพระองค์ พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อพระองค์ แต่ตรงกันข้าม ผู้ใดที่ไม่รู้จักกับพระองค์อย่างถ่องแท้ หรือรู้จักไม่มาก เขาจะไม่กระตือรือร้น และจะไม่สามารถเทิดทูนพระองค์ ถวายชีวิตแด่พระองค์ได้

"แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" (มัทธิว 6:33)

นี่คือสิ่งที่ทำให้รู้จักกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น คือ การที่เราแสวงหาแผ่นดินของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์ สิ่งนี้จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น และจะยิ่งรักพระเจ้ามากขึ้น

"ดังนี้แหละ เราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง" (1ยอห์น 3:16)

พระองค์ทรงรักเราด้วยชีวิต และพระเจ้าก็บอกให้เรารักพี่น้องเช่นกัน

แล้วเราจะรักพี่น้องอย่างไร? คือ ถึงขนาดที่จะยอมสละชีวิตเพื่อพี่น้องได้ สิ่งนี้จะเกิดได้โดยการที่เรารู้จักพระเยซูคริสต์

ยอห์นจึงได้เริ่มต้นโดยการที่บอกว่า เขาได้สัมผัสกับพระองค์อย่างใกล้ชิด และได้พบแล้วว่าพระองค์คือพระเจ้า สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุเดียวกันกับที่สาวกทุก ๆ คนยอมที่จะสละชีวิตให้กับพระองค์ และยอมทำทุกสิ่งให้กับพี่น้อง

ความยินดีที่ได้รับนั้นอยู่ในพระคริสต์ ความยินดีของเราจะเต็มเปี่ยมเมื่อใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ นี่จะเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งสันติสุขแท้ในพระองค์

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปสู่เบื้องขวาพระบิดา พระวิญญาณเราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สิ่งที่เราจะมองเห็นได้ คือ พี่น้อง และสิ่งที่เรากระทำต่อพี่น้อง ก็จะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเรารู้จักพระองค์เพียงไร

"13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์

14 เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง

15 คือ การเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วย บทบัญญัติ และกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข

16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป

17 และพระองค์ได้เสร็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้" (เอเฟซัส 2:13-17)

ถ้าเราไปมีเรื่องกับผู้ที่อิทธิพล ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเรา เราก็คงจะเกรงกลัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับเราเมื่อก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า เพราะเวลานั้นเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่เรากลับไม่รู้ว่าพระองค์น่ากลัวว่าสิ่งที่มีอำนาจที่เรากลัวเสียอีก

"อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้" (มัทธิว 10:28)

และพระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อที่เราจะไม่ต้องเป็นปฏิบักษ์กับพระเจ้า เราจึงมีสันติสุขอยู่ได้ และให้เราตระหนักเสมอว่า ถ้าหากเราอยู่ในบาป เราจะเป็นปฏิบักษ์กับพระองค์

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง

"5 นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกแก่ท่านทั้งหลาย คือว่า พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย

6 ถ้าเราจะว่า เราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง

7 แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่า เราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย

9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น

10 ถ้าเรากล่าวว่า เราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย" (1ยอห์น 1:5-10)

ในพระเจ้าเป็นความสว่างที่ไม่มีความมืดเลย ความมืดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระองค์ไม่ได้เลย นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องยึดเอาไว้ เพื่อเราจะเข้าใจในสิ่งต่อไปนี้

ถ้าเราบอกว่าเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่ยังดำเนินอยู่ในความมืด นั่นคือยังทำบาป ท่านยอห์นบอกว่า เรากำลังจะมุสา เพราะเป็นไปไม่ได้ ในความสว่างไม่มีความมืด ถ้าหากเราอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ในเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ต้องไม่มีความมืด และถ้าหากว่าเราทำบาป ก็จะเกิดกำแพงขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า

ถ้าเราอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง นั่นคือการมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระคริสต์ ชีวิตเราจะต้องไม่มีบาป ในเวลานั้น ฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตพระองค์ในการไถ่บาป จะสมบูรณ์ ชีวิตเราจะได้รับการชำระพระโลหิตของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

พระองค์ทรงประทานพระสัญญา ว่าเมื่อเราสารภาพบาปของเรา พระสัญญาของพระเจ้าจะปรากฎในชีวิตของเรา คือ ชำระชีวิตของเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น และเรากับพระเจ้าก็สามารถมีสามัคคีธรรมร่วมกัน การเกิดสามัคคีธรรมจะเกิดในเวลานั้น แต่ถ้าเรายังทำบาปอยู่ ความสามัคคีธรรมนั้นจะไม่เกิด

แต่ต่อมา ท่านยอห์นก็บอกว่า เราทุกคนทำบาป และถ้าเราบอกว่าเราไม่บาป เราก็โกหก

สิ่งเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนจะขัดแย้งกัน!

สภาพที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเวลาช่วงใด? เป็นเวลาก่อนที่เรารู้จักพระเจ้า หรือเมื่อเวลาที่เรารู้จักพระเจ้าแล้ว?

ก่อนที่เราจะมาถึงพระคริสต์ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีบาป ก็แสดงว่าเขากำลังบอกว่าพระคัมภีร์ผิด และเขาก็ไม่ต้องการพึ่งพระเยซูคริสต์ คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในชีวิต เพราะเขาปฏิเสธพระเจ้าอยู่เล้ว เขาจึงไม่สารภาพต่อพระเจ้าแน่นอน

ถ้าหากว่าเรารู้จักกับพระเจ้าแล้ว เราจะกล้าบอกหรือไม่ว่าเราไม่มีบาป? เราก็คงจะไม่บอกเช่นนั้น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเราก็รู้ว่าถ้าเราสารภาพ พระองค์ก็จะยกบาปของเรา และเราจะมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ได้ แต่ถ้าเราทำบาปอีก สามัคคีธรรมนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา เพราะพระองค์ไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับความบาปคือความมืดได้

ดังนั้น ถ้าหากเราทำบาป แล้วเราบอกว่าเรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นศัตรูกับความบาป

"7 อย่างไรก็ตาม เราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือ การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน

8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา

9 ในเรื่องความผิดนั้น คือ เพราะเขาไม่วางใจในเรา

10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก

11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว (ยอห์น 16:7-11)

งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ที่เราจะเข้าใจในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา พระองค์จะไม่ยอมให้เราทำบาป

อยากขอเน้นย้ำว่า พระคัมภีร์ 1ยอห์น 1:9 นี้ ไม่ใช่เหมือนเครื่องมือที่เราจะใช้ในการทำบาป

"เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)

แม้ในเวลาที่พระเยซูคริสต์ทรงไม่ถือโทษหญิงล่วงประเวณีที่ถูกนำตัวมาเพื่อรับการลงโทษ พระองค์ก็ได้กำชับต่อนางว่า พระองค์ไม่เอาโทษเขา แต่อย่าทำบาปอีก

"นางนั้นทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย' และพระเยซูตรัสว่า 'เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำผิดอีก' " (ยอห์น 8:11)

เมื่อเราได้รับโอกาสแห่งชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่เราได้รับจากพระเจ้าด้วยความรักของพระองค์ ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ให้แก่เราก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ เพราะว่าสิ่งที่เราควรได้รับ คือโทษเนื่องจากความบาปของเรา แต่โดยพระคุณและความรัก พระเยซูคริสต์จึงทรงยอมตาย ยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อเราจะได้มีโอกาสใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตใหม่ของเราจึงควรที่จะต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้นเราจะกลับไปทำบาปอีกไม่ได้ เราต้องเน้นยำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคริสเตียนก็จะทำบาปอยู่เรื่อย ๆ โดยคิดว่าทำบาปแล้วจะสารภาพได้ ถ้าเขาคิดเช่นนั้น ก็เป็นความขัดแย้งในตัวเขาเอง และเขาก็จะไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้เลย

ชีวิตเราจะต้องปฏิเสธความบาปทั้งสิ้น และรังเกียจบาปเหมือนกับที่พระองค์ทรงรังเกียจ อย่าเล่นกับสิ่งที่พระองค์รังเกียจ

"26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้น ก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย

27 แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษ และไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า" (ฮีบรู 10:26)

ถ้าคริสเตียนทำบาป กำแพงจะปรากฎ ขวางกันเขาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาจะอยู่ด้วยความหวาดกลัว

"7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า

8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยอห์น 4:7-8)

ถ้าผู้ใดที่รู้จักพระองค์ มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ เขาก็จะสามารถที่จะรักพี่น้อง แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่น่ารัก และถ้าเราไม่รัก ก็แสดงว่าเราก็ไม่รู้จักพระเจ้า แสดงว่าเราปฏิเสธพระเจ้า ความหวาดกลัวในการพิพากษาก็จะอยู่กับชีวิตเรา

การสารภาพที่ทำให้เกิดสามัคคีธรรมอย่างแท้จริง คือ การที่เราสารภาพ แล้วไม่ขืนกลับไปทำอีก คือไม่กลับไปทำบาปที่เกิดจากความเจตนาอีก แต่ถ้าเราตั้งใจแล้ว แล้วเราทำบาปโดยไม่เจตนา พระสัญญาของพระองค์ใน 1ยอห์น 1:9 นี้ก็จะเกิดผลในชีวิตของเขา

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าในพระองค์ จะต้องไม่มีความมืด และความบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่เราเสมอ ที่เราจะเริ่มต้นกลับมีความสัมพันธ์ มีความสามัคคีธรรมกับพระองค์ใหม่ได้ และโดยการสามัคคีธรรมที่แท้จริง พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จึงจะมีผลชำระเราให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

พระเจ้าของเราบริสุทธิ์ พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ ทรงเน้นย้ำเสมอให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์

สิ่งเหล่านี้ เราจะสามารถใช้ในการตอบคำถามแก่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ คือ มักจะมีคนมองว่า คริสเตียนสามารถทำบาปได้ เพราะในที่สุดเขาก็สามารถสารภาพได้ แต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเงื่อนไขการชำระ ก็คือ เราจำเป็นจะต้องสารภาพ และตั้งใจที่จะไม่กลับไปทำอีก นี่แหละ การชำระจึงจะเกิดผล ไม่ได้เป็นการชำระอย่างที่เขาเข้าใจ

"เหตุฉะนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า" (เอเฟซัส 2:19)

คำว่า "ธรรมิกชน" นั้น ในฉบับ King James ใช้คำว่า "saints" ซึ่งแปลว่า "วิสุทธิชน" นี่เป็นคำที่ทำให้เราเห็นภาพพจน์อย่างชัดเจน ว่าชีวิตเราจะต้องบริสุทธิ์ ขอที่เราจะเข้าใจ และดำเนินชีวิตใหม่ ที่จะเป็นชีวิตที่เป็นวิสุทธิชน แล้วเราจะไม่ต้องกลัวการพิพากษาอีกต่อไป

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com