มัทธิว 11

(28/03/2008)

ผู้ส่งข่าวของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา

"บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรค ผู้นั้นเป็นสุข" (มัทธิว 11:6)

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ

เราต้องสังเกตให้ดี ว่าในชีวิตของเรา เรามีพระองค์เป็นอุปสรรคหรือไม่ ?

ตัวอย่างเช่น ในที่ทำงาน เรากลัวหรือไม่ ว่าจะบอกว่าเราเป็นคริสเตียน ? เรากลัวหรือไม่ ที่จะต้องถวายสิบลด ? ซึ่งบางคนไม่กล้าบอกใครว่าเป็นคริสเตียน เพราะกลัวจะโดนล้อเลียนหรือติเตียน หรือข่มเหง หรือบางคนไม่อยากมาเป็นคริสเตียน เพราะกลัวที่จะต้องถวายสิบลด ซึ่งคนเหล่านี้เห็นว่าพระองค์เป็นอุปสรรค จึงไม่สามารถที่จะมารู้จักกับพระองค์อย่างแท้จริงได้

เวลาเราเจอปัญหา เรากล้าที่จะเผชิญปัญหาเหล่านั้นหรือไม่ ? เราเห็นว่าพระคริสต์เป็นอุปสรรคหรือไม่ ? พร้อมที่จะเผชิญปัญหาเหล่านั้นร่วมกับพระเยซูคริสต์หรือไม่ ? ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ดังนั้น เราจะต้องไม่กลัว เมื่อเจอกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย เพราะเรามั่นใจว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย และเผชิญกับปัญหาเหล่านั้น ด้วยความวางใจในพระองค์

จากตัวอย่างในพระคัมภีร์ จะเห็นได้ว่า อาจารย์ยอห์นผู้ให้บัพติสมา โดนจับ และโดนข่มเหง แต่ว่าท่านไม่เห็นว่าพระคริสต์เป็นอุปสรรค และท่านยอมที่จะเผชิญกับการข่มเหงนั้น มั่นใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่กับท่านตลอดเวลา ท่านจึงไม่กลัวในสิ่งใด ๆ แม้ความตาย


"และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้" (มัทธิว 11:12)

แผ่นดินสวรรค์ เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก มีความสำคัญต่อคนที่จะเข้าไปอยู่ พระองค์ทรงเลือกสรรค์คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อที่จะอยู่ในแผ่นดินนี้ คือ คนที่เหมาะสมที่จะไปอยู่ ต้องเป็นคนที่ร้อนรนที่จะไปอยู่ ตั้งใจที่จะไปอยู่ อยากที่จะไปอยู่ จึงจะได้ไปอยู่ และพระองค์ก็ทรงจัดเตรียมที่แห่งนี้ เพื่อให้คนเหล่านั้นจะได้ไปอยู่ โดยให้พระเยซูคริสต์มาในโลกแห่งนี้ เพื่อที่จะสิ้นพระชนม์ เพื่อให้ผู้ที่วางใจในพระองค์นั้น มีโอกาสที่ได้เข้าในแผ่นดินนี้ ดังนั้น อยากให้เราใคร่ครวญให้ดีว่า แผ่นดินสวรรค์นี้มีความสำคัญมากในชีวิตของเราหรือไม่ ? เรามีความปรารถนาที่จะไปหรือไม่ ?

เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวในอดีต สมัยที่อิสราเอลออกจากอียิปต์ และได้มีผู้สอดแนม 12 คน ไปสำรวจแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ทรงสัญญา เป็นแผ่นดินแห่งพระสัญญา ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่อิสราเอล แต่ว่ามีเพียง 2 คนเท่านั้น ที่ปรารถนา อยากได้แผ่นดินแห่งนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ว่าอีก 10 คนไม่ปรารถนาอย่างแรงกล้า กลัวที่จะเผชิญกับอุปสรรค ปฏิเสธต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ คนเหล่านี้จึงไม่สมควรที่จะได้เข้าในแผ่นดินแห่งนั้น

ซึ่งเรื่องราวของหญิงพรหมจารีย์ 10 คนที่รอจ้าวบ่าว ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง หญิงทั้ง 10 คนปรารถนาที่จะไปงานเลี้ยง และทั้ง 10 คนก็รู้จักจ้าวบ่าว แต่ว่าเฉพาะคนที่กระตือรือร้น เตรียมพร้อมเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่ต้องการที่จะสบาย ต้องการที่จะอยู่เฉย ๆ แต่ว่าพระองค์ทรงตรัสสอนว่า เฉพาะคนที่ "แสวงหาด้วยใจร้อนรน" และ "ผู้ที่ใจร้อนรน" เท่านั้น จึงจะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้


"16 เราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาด ร้องแก่เพื่อนว่า

17 'พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ พวกฉันได้พิลาปร่ำไห้ และพวกเธอมิได้ตีอกชกหัว'

18 ด้วยว่ายอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม และเขาว่า 'มีผีเข้าสิงอยู่'

19 ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่า 'ดูเถิด นี่เป็นคนกินเติบและขี้เมา เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษี และคนนอกรีต' แต่พระปัญญาก็ปรากฏว่าชอบแล้วโดยผลแห่งพระปัญญานั้น" (มัทธิว 11:16-17)

ใครเป็นคนกำหนดทุกสิ่ง ? ในตอนนี้ เด็กเป็นผู้ที่กำหนดทุกอย่าง อยู่บนพื้นฐานของตัวเขาเอง โดยเอามาตรฐานของตัวเองเป็นตัวกำหนด ไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของความชอบธรรม หรือมาตรฐานของพระเจ้าเป็นหลัก

เช่นเดียวกันพวกฟาริสีเป็นคนกำหนดว่าจะต้องเป็นอย่างไร จะต้องทำอะไร โดยกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ มากมาย ที่เขาได้กำหนดขึ้นเองโดยตามใจตัวเอง โดยไม่ได้สนถึงกฎเกณฑ์ของพระเจ้าเป็นหลัก จึงเหมือนกับเด็กคนนั้น ที่กำหนดว่า เวลาเป่าปี่ เด็กคนอื่นจะต้องเต้นรำ และเมื่อร้องไหน คนอื่นจะต้องตีอกชกหัวตามด้วย

ซึ่งเราจะต้องติดตามพระเจ้า ตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนด ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเอาเอง ขอพระเจ้าช่วยเรา ที่เราจะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ จะต้องเอา "พระปัญญา" เป็นมาตรฐานที่จะเชื่อฟังกระทำตาม

วิบัติแก่เมืองที่มิได้กลับใจใหม่

"21 วิบัติแก่เจ้าเมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้าเมืองเบธไซดา ถ้าการมหัศจรรย์ ซึ่งได้กระทำท่ามกลางเจ้า ได้กระทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองคงได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้เถ้ากลับใจเสียใหม่นานมาแล้ว

22 แต่เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษเมืองไทระและเมืองไซดอน จะเบากว่าโทษของเจ้า

23 และฝ่ายเจ้าเมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ มิได้ เจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก ด้วยว่าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าได้กระทำในเมืองโสโดม เมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้

24 แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษา โทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า" (มัทธิว 11:21-24)

ข้อความนี้ จึงทำให้เราได้ทราบว่า เราได้เปรียบมาก เพราะว่าเราได้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ รู้ถึงการอัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระองค์ และได้รู้ถึงการฟื้นพระชนม์ของพระองค์ เราจึงได้เปรียบบุคคลในอดีตอย่างมาก ดังนั้นเราจะต้องกลับใจใหม่ ยอมเชื่อฟังพระเยซูคริสต์มากกว่าเดิม เราต้องรู้ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างไร ? จะต้องรู้ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์อย่างไร ? เพราะว่าถ้าเรายังไม่เชื่อฟังพระองค์ เรายังไม่วางใจในพระองค์ โทษของเราก็จะมากเสียยิ่งกว่าคนในอดีตอย่างแน่นอน


จงมาหาเรา และหายเหนื่อย

"25 ขณะนั้นพระเยซูทูลว่า 'ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด แต่ได้สำแดงให้ผู้น้อยรู้

26 ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงเห็นชอบดังนั้น' " (มัทธิว 11:28)

ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ ได้ชี้ให้เราเห็นได้อย่างแน่ชัดว่า ผู้ที่จะมารู้จักพระเจ้าได้นั้น คือ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ และ รู้ว่าตนเองต้องการความช่วยเหลือ ต้องการให้พระเยซูคริสต์มาช่วยในชีวิตของเขา

การเปิดเผยของพระองค์นั้น ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกที่จะเปิดเผยให้กับใคร และพระเจ้าจะทรงเปิดเผยพระองค์ให้กับเขา จะทรงเปิดเผยให้เขาได้รู้จักพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะนำเขาไปสู่ความสุขที่แท้จริงในที่สุด เพราะว่าทางสู่สันติสุขที่แท้จริง ก็คือ องค์พระเยซูคริสต์

แต่สำหรับผู้ที่คิดว่าตนเองเก่ง คิดว่าตนเองรู้ดีอยู่แล้ว คิดว่าตัวเองเอาตัวรอดอย่างไร รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงมีความสุข เขาเหล่านั้นจะปฏิเสธพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงไม่เปิดเผยให้กับเขาเข้าใจ


"27 พระบิดาของเรา ได้ทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา และไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้

28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา" (มัทธิว 11:27)

พระคัมภีร์ข้อนี้ ชี้ให้เห็นว่า พระบุตร หรือ พระเยซูนั้น ทรงมีความสำคัญต่อเราเพียงใด เพราะว่าเราจะไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้เลย ถ้าพระองค์ไม่ทรงสำแดงพระบิดาให้แก่เรา และจะไม่มีใครจะเป็นสุขได้อย่างแท้จริงได้ นอกจากจะวางใจในพระบุตร

สิ่งเหล่านี้ จะต้องเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่น เราจะต้องเชื่อมั่นตามข้อพระคัมภีร์ว่า องค์พระเยซูคริสต์ จะทรงให้สันติสุขแก่ผู้ที่มาหาพระองค์ เราไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครที่มีความสุขได้โดยวิธีทางอื่น แต่เรามั่นใจได้อย่างแน่นอนว่า ทางสู่ความสุขที่แท้จริง คือ ทางองค์พระเยซูคริสต์ เราสามารถเน้นย้ำแก่ผู้อื่นได้อย่างเต็มปาก และเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ เราจะสามารถประกาศด้วยความมั่นใจได้ทันทีว่า ถ้าผู้ใดที่แสวงหาพระองค์ พึ่งพาพระองค์ เขาก็จะได้ "หายเหนื่อย" และ "เป็นสุข" อย่างแน่นอน

นอกจากนั้น เราจะต้องยอมที่จะแบกแอกของพระองค์ โดยเอาพระองค์เป็นแบบอย่างในการเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เราจะต้อง "สุภาพและใจอ่อนน้อม" เราจะต้องเรียนจากพระองค์ โดยเราจะต้องไม่กลัวว่าเราจะเผชิญได้หรือไม่ เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสชัดเจนว่า แอกของพระองค์นั้นพอเหมาะ และภาระของพระองค์ก็เบา

แต่ทว่า การที่จะแอกแบกของพระองค์ได้นั้น วิธีเดียว คือ จะต้องวางแอกของเราไว้กับพระองค์ แล้วรับแอกของพระองค์แทน เพราะว่าเราไม่สามารถแบกแอกของเราเอง และจะรับแอกของพระองค์อีก เพราะนั่นจะเกินกำลังของเรา แต่พระองค์ทรงต้องการให้เราที่จะวางแอกของเราไว้ เพื่อที่จะสามารถรับแอกที่มาจากพระองค์ได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญ ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ เนื่องจากมีคริสเตียนหลายคน ที่ไม่วางแอกของตนเอง แล้วรับแอกของพระองค์อีก ซึ่งจะทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก นี่เป็นการแบกแอกของพระองค์ที่ผิดวิธี

แม้ว่าการติดตามพระเยซูคริสต์นั้น กายอาจจะลำบาก แต่ว่า จิตใจของเรา จะได้พักอย่างแน่นอน เราจะมีสันติสุขแม้ว่าเจอกับความยากลำบาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะต้องในสติปัญญาจากเบื้องบนเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้

นี่คือพระสัญญาของพระองค์ สำหรับผู้ที่มาหาพระองค์ ผู้ที่เรียนรู้กับพระองค์ จิตใจของผู้นั้นก็จะได้พัก อย่างแน่นอน และเขาก็จะได้พบกับวาระแห่งการพักผ่อนหย่อนใจที่มาจากพระเจ้า

"เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า" (กิจการ 3:19)

ขอพระเจ้าช่วย ที่เราจะเข้าใจ และจะสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกวิธี ถ้าเรารู้สึกว่าเราเหน็ดเหนื่อยอย่างมากกับการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ ก็ขอที่เราจะได้ใคร่ครวญ ว่าวิธีแบกแอกของเรานั้นถูกต้องหรือไม่ และปรับเปลี่ยนแผนเสียใหม่

ถ้าเรายังคงกังวลใจ หรือกลัวว่าพระเจ้าจะทรงละทิ้งเรา ก็ขอให้เราได้ทบทวนให้ดี เพราะว่าพระหัตถ์ของพระเจ้านั้น ไม่สั้นเกินไปอย่างแน่นอน

"พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 'พระหัตถ์ของพระเจ้าสั้นไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จเพื่อเจ้าจริงหรือไม่' " (กันดารวิถี 11:23)

อย่าให้พระเจ้าต้องทรงตรัสถามเราดังเช่นที่พระองค์ทรงตรัสแก่โมเสสเลย เพราะว่าเราคงจะต้องเจ็บปวด แต่ให้เราเชื่อและวางใจในพระองค์

อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
กลุ่มเซลล์เพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com