น้ำพระทัยพระองค์

"พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง"
(โรม 8:28)

หลังจากที่ร่วมงานกับพี่ลิลลี่ได้ 1 ปี ฉันก็ได้งานใหม่ วันที่ฉันยื่นใบลาออก พี่ลิลลี่ดูไม่ค่อยสบายใจ เธอถามว่า "อธิษฐานกับพระเจ้าหรือยัง"

"พระเจ้าพาเธอมาถึงที่นี่เพื่อพบกับพระองค์ แม้จะจากไป เพื่อไปทำงานที่อื่น ก็ขออย่าละทิ้งพระองค์นะ"

"พี่หวังว่าจะยังพบเธอที่โบสถ์เหมือนเดิม" พี่ลิลลี่ให้พรด้วยความเป็นห่วง

อันที่จริงฉันสมัครงานตำแหน่งนี้ไปเมื่อ 6 เดือนก่อน เป็นเพียงงานเดียวที่ฉันส่งใบสมัครไป เพียงเพราะว่า เงินเดือนที่ได้รับอยู่ ไม่มีเหลือที่จะเก็บไว้ให้นิคกี้เข้าเรียนหนังสือในปีหน้า ฉันบอกกับพระเจ้าว่า ฉันจะสมัครงานเพียงที่เดียว ถ้าพระองค์ให้ไป ฉันก็จะไป ถ้าพระองค์ไม่อนุญาตให้ออกจากอาณาจักรของพระองค์ ฉันก็จะอยู่ ฉันไม่ได้งานนั้น และฉันก็ยอมรับว่า พระเจ้ามีแผนการอันดีสำหรับฉันเสมอ พระองค์จะจัดเตรียมทุกสิ่งให้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

6 เดือนต่อมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณไมเคิล ชายอเมริกันผมขาว ร่างท้วม วัยเกษียณอายุ เจ้าของบริษัทฝึกอบรมที่ฉันเคยไปสัมภาษณ์งานไว้ "คุณสรินยา ไม่ทราบว่า คุณยังสนใจที่จะมาทำงานให้เราอยู่หรือไม่ คือว่า คนที่ผมจ้างมา ได้ลาออกไปแล้ว คุณเข้ามาพบผมอีกครั้งได้ไหม" ฉันมารู้ภายหลังว่า ครั้งนั้น ไมเคิลเลือกผู้สมัครอีกคน เพราะว่าเธอต้องการค่าตอบแทนที่ถูกกว่าหลายพันบาท

ฉันกลับไปคุยกับไมเคิลอีกครั้ง เขาให้ข้อเสนอว่า "ที่คุณขอมาคราวที่แล้ว ผมตกลง และผมจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณอีกใน 3 เดือนข้างหน้า ถ้าผลการทำงานของคุณเป็นที่น่าพอใจ" และเขาก็ไม่เคยผิดคำพูดที่ให้ไว้กับฉัน


บริษัทของไมเคิล ดำเนินกิจการฝึกฝนความเป็นผู้นำให้กับพนักงานบริษัทเอกชน และนักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติ สำนักงานที่กรุงเทพฯ นั้นมีเพียงแค่ไมเคิลและเลขานุการ ซึ่งทำหน้าที่หาลูกค้าส่งให้ทางฝ่ายปฏิบัติการที่หัวหิน เป็นผู้พาลูกค้าไปเข้าค่ายพักแรมที่อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด โดยใช้หลักการเรียนรู้การพัฒนาผู้นำจากกิจกรรมนอกห้องเรียน ก่อนเข้าทำงาน ไมเคิลส่งฉันไปที่หัวหินเพื่อทำความรู้จักกับพนักงานอีกเกือบ 20 คน และหลังจากนั้น ฉันก็ต้องนั่งทำงานกับเขาทุกวันในสำนักงานที่มีพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร

ภรรยาของไมเคิลดูแลสำนักงานอยู่ที่หัวหิน เพราะเธอไม่ชอบกรุงเทพฯ ฉันตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะไมเคิลมักจะทำงานแค่ช่วงเช้าและแอบไปหาเมียน้อยของเขาหลังอาหารกลางวัน เขาจะสั่งให้ฉันโกหกภรรยาว่าเขามีประชุมกับลูกค้าในช่วงบ่าย บางครั้งฉันอดคิดไม่ได้ว่า พระเจ้ากำลังตีสอนฉันที่ละทิ้งแผ่นดินของพระองค์มาใช่ไหม ทำไมพระองค์อนุญาตให้ฉันมาทำงานกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยาของตนเอง ฉันตื่นจากภวังค์เมื่อไมเคิลกวักมือเรียกให้เข้าไปพบในห้องทำงาน

"คุณทราบหรือยังว่า ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการคนใหม่จะมาถึงเมืองไทยในเดือนหน้านี้ คอลินเป็นชาวอังกฤษซึ่งมาก่อตั้งบริษัทร่วมกับผม เขาลางานไปเรียนปริญญาโท 2 ปี และจะกลับมารับตำแหน่งที่สูงขึ้น ผมอยากให้คุณอีเมลไปแนะนำตัวเอง จัดการเรื่องโรงแรมให้เขาด้วย เขาจะพักที่กรุงเทพฯ 1 คืนและไปหัวหินในวันรุ่งขึ้น"

"ได้ค่ะ แล้วฉันจะเขียนหาเขา" ฉันไม่ค่อยชอบอยู่ในห้องเจ้านายจอมเจ้าชู้นานมากนัก จึงรีบหอบงานออกจากห้องทันที และส่งอีเมลถึงคอลินตามที่นายสั่ง แนะนำตัวเอง บอกรายละเอียดโรงแรมที่เขาจะเข้าพัก และย้ำว่า ไมเคิลจะไปรับเขาที่สนามบิน เพื่อพาไปส่งยังที่พัก

พนักงานที่หัวหินมีน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่น้อยในโทรศัพท์ เมื่อพวกเขาพูดถึงคอลิน พวกเขาชมว่า คอลินเป็นคนดีมีน้ำใจ รักเพื่อนร่วมงานและลูกน้อง ใครๆ ก็รอคอยการกลับมาของเขา รุ่นพี่คนหนึ่งหยอกล้อฉันว่า "ที่สำคัญ เขายังไม่แต่งงาน มาถึงแล้ว น้องเค็งจีบเลยนะ ตอนนี้ดูรูปเขาไปก่อน รูปหมู่ที่ติดอยู่บนกำแพง แถวบนคนซ้ายสุดนะจ๊ะ"

ฉันอดขำไม่ได้ ทำไมต้องแนะนำให้ฉันไปดูรูปเขาด้วย แต่แล้วตลอดทั้งเดือน ทุกครั้งที่เดินผ่านภาพถ่ายใบนั้นบนกำแพง ฉันก็ต้องชำเลืองมองดูรูปชายคนหนึ่ง ซึ่งใครๆ ก็ชื่นชม เขาจะดีจริงอย่างที่ทุกคนพูดถึงหรือเปล่า ฉันตั้งคำถามกับตัวเองทุกวัน


"เค็ง ผมรับคอลินมาจากสนามบินแล้วนะ ตอนนี้รอเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ คุณช่วยเตรียมกาแฟไว้ให้พวกเราด้วย เราจะเข้ามาประชุมกันเมื่อคอลินแต่งตัวเสร็จ" ไมเคิลโทรเข้ามาในขณะที่นั่งรอคอลินอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม

คอลินมาถึงออฟฟิศในเสื้อยืดสีเขียวที่มีตราของบริษัทปักอยู่ที่กระเป๋าด้านซ้าย เขาเดินเข้ามาจับมือเชคแฮนด์กับฉัน และถามว่า

"คุณแนะนำตัวในอีเมลว่า สรินยา แต่ตอนขับรถมาไมเคิลบอกว่า เลขาฯ ของเขาชื่อ เค็ง ตกลงคุณชื่ออะไรกันแน่ครับ" เขาถามด้วยรอยยิ้มอันนุ่มนวล

"เรียกอันไหนก็ได้ค่ะ ฉันไม่รังเกียจ เพราะว่าเป็นชื่อของฉันทั้ง 2 ชื่อค่ะ"

"ขอกาแฟเลยนะ เราจะเริ่มประชุมเลย ถ้าใครโทรเข้ามาก็รับข้อความไว้ให้ผมก่อน" ไมเคิลตัดบท

ฉันนั่งแอบมองพวกเขา 2 คนคุยกันในห้องประชุมกระจกใส อดคิดไม่ได้ว่า "คนอะไร เดินทางมาไกลกว่า 12 ชม. ลงจากเครื่องบินปุ๊บ ก็ไปเปลี่ยนชุดฟอร์มและมาประชุมกับนายทันที ถ้าเป็นฉัน ฉันคงต้องขอนอนพักเอาแรงสักวันก่อน"

ไมเคิลกลับบ้านไปแล้ว คงจะไปพบเมียน้อยเหมือนเคย แต่คอลินยังนั่งขีดเขียนสมุดตรงหน้าอย่างหมกมุ่น ทุกครั้งที่ฉันเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่ ก็พบชายผมสีทองและดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจับจองอยู่ที่ใบหน้าของฉัน เขารีบก้มหน้าลงขีดเขียนงานต่อไป เป็นอย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งทนไม่ได้ จึงเดินออกมาจากห้องประชุม

"ผมคิดว่า ผมควรจะกลับไปพักผ่อนแล้วล่ะ เพราะผมเริ่มรู้สึกง่วงนอนเอามากๆ"

"ก็นั่นน่ะสิคะ เพิ่งมาถึงวันแรกก็มาประชุมเลย พรุ่งนี้คุณจะไปหัวหินแล้ว ฉันฝากการ์ดคริสต์มาสพวกนี้ไปให้พนักงานที่นั่นได้ไหมคะ" ฉันยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลที่มีการ์ดอวยพรถึงเพื่อนร่วมงานให้กับเขา

"ได้ครับ ไม่มีปัญหา"

"รูปเด็กที่ไหนครับ น่ารักจัง" เขาเหลือบไปมองที่รูปของนิคกี้บนจอคอมพิวเตอร์

"ลูกสาวของฉันเอง ชื่อนิคกี้ อายุ 2 ขวบกว่า กำลังช่างถาม"

"คุณกับสามีคงปวดหัวแย่ในการหาคำตอบให้เธอ" คอลินซัก

"ฉันไม่มีสามีหรอก ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อของนิคกี้ทิ้งฉันไปตั้งแต่เธอยังไม่เกิดแล้ว"

"ผมเสียใจด้วยนะครับ พี่สะใภ้ของผมเขาทำงานบริษัทผลิตหนังสือเด็ก ไว้ผมจะแนะนำหนังสือดีๆ ให้นิคกี้นะครับ" ตอนนี้ฉันเริ่มสัมผัสได้แล้วว่า ทำไมทุกๆ คนที่หัวหินถึงรักคอลิน และทำไมทุกๆ คนตั้งตารอคอยการกลับมาของเขา เสน่ห์ของเขาคงอยู่ตรงที่ ความสนใจที่เขามีให้กับคนรอบข้างนั่นเอง


จากวันนั้น ฉันไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับคอลินอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์หรืออีเมล เพราะงานของฉัน ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับฝ่ายปฏิบัติการมากนัก โดยมากไมเคิลจะเป็นผู้ป้อนงานให้เขาโดยตรง จนกระทั่ง 2 เดือนถัดมา ฉันก็ได้รับอีเมลที่เฝ้ารอคอยจากเขา

"สวัสดีครับ คุณเค็ง คุณสบายดีหรือเปล่า ผมขอโทษด้วยที่ไม่ได้เขียนมาขอบคุณสำหรับการ์ดคริสต์มาสที่คุณส่งให้ผมและลูกน้องทุกคนที่หัวหิน อีก 2 อาทิตย์จะมีการประชุมพนักงานประจำปี ไม่ทราบว่า คุณจะมาหัวหินด้วยหรือเปล่า ถ้าคุณมา ผมอยากจะพาคุณไปทานอาหารเย็นสักมื้อเพื่อเป็นการตอบแทนจะได้ไหมครับ"

อีเมลของคอลินทำให้ฉันอมยิ้มทั้งวัน ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ฉันแอบถามพระเจ้าว่า เขาคนนี้หรือเปล่า ความรู้สึกบางอย่างบอกว่า ฉันก็อยากพบเขาอีกครั้ง และอยากรู้จักเขาให้มากกว่าที่คอยฟังจากปากของเพื่อนร่วมงาน ฉันตอบอีเมลของคอลินไปอย่างไม่โรแมนติกนัก

"สวัสดีค่ะ คุณคอลิน ฉันจะไปประชุมที่หัวหินด้วย แต่ว่าฉันจะไปกับแม่ น้องสาวคนเล็ก และนิคกี้ ถือโอกาสพาทุกคนไปเที่ยวทะเล หากคุณอยากทานข้าวกับพวกเรา ก็ยินดีค่ะ"

เมื่อครอบครัวของเราไปถึงหัวหินในเช้าวันเสาร์ ก็พบว่าคอลินมานั่งรออยู่ที่แผนกต้อนรับของโรงแรม เขาทานอาหารกับครอบครัวของฉันก่อนที่จะมีการประชุมพนักงาน ตอนเย็นหลังเลิกประชุม ครอบครัวของพนักงานพากันไปว่ายน้ำและทานอาหารเย็นที่บ้านของไมเคิล เช้าวันอาทิตย์คอลินมาปลุกพวกเราไปเดินเล่นที่ทะเลแต่เช้า และพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ที่เพชรบุรีก่อนที่จะมาส่งพวกเราขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ ฉันไม่แน่ใจว่าจะได้พบคอลินอีกครั้งเมื่อไร แต่ก็พอใจกับเวลาดีๆ ที่พระเจ้าประทานให้

ไมเคิลเหน็บแนมฉันในเช้าวันจันทร์ว่า "ผมรู้สึกว่า คอลินเขาจะให้ความสนใจคุณเป็นพิเศษนะ ปกติเขาจะเก็บตัวอยู่คนเดียวที่บ้านพักในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่วันหยุดนี้เขามาคอยดูแลครอบครัวของคุณทั้ง 2 วันเลย"

"คงเป็นเพราะว่า นานๆ ฉันจะลงไปหัวหินมั้งคะ" ฉันตอบไมเคิล และเตือนตัวเองว่านั่นคงเป็นแค่เหตุผลเดียว

แต่ลึกๆ ในใจ ฉันถามพระเจ้าทุกวัน ว่าเขาจะโทรมาไหม ใช่เขาหรือเปล่า แล้วบ่ายวันหนึ่งฉันก็ได้รับสายจากคนที่รอคอย คำพูดของเขาในวันนั้น ฉันไม่เคยลืม

"เค็ง ผมจะมากรุงเทพฯ พรุ่งนี้ เพื่อไปต่อวีซ่า ที่สวนพลู ไมเคิลบอกว่า เขาอนุญาตให้คุณพาผมไป"

"ปกติฉันก็พาเจ้าหน้าที่ต่างชาติไปต่อวีซ่าอยู่แล้วค่ะ คอลิน"

"แต่คือว่า ผม... ผมอยากชวนคุณไปดูหนังด้วย ตอนเย็น จะได้ไหมครับ"

สรินยา วูด
จากหนังสือ แสงแห่งความหวัง

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com