อัศจรรย์แห่งรัก

ในโลกของเรานี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่งดงาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่งดงามที่สุดที่อยู่คู่โลกของมนุษย์ตั้งแต่โลกของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ค้ำจุนโลกของเราให้สามารถผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ นั่นก็คือ ความรัก...

นอกจากนั้น ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติของเราก็มีนิทานและนิยายเกี่ยวกับความรักอยู่อย่างมากมาย...

มีนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นนิทานที่แสดงออกถึงความรักได้อย่างน่ารักทีเดียว...

นิทานเรื่องนี้ได้บรรยายถึงความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่มีต่อกันว่า...

ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างก็เป็นคนยากจน มีครั้งหนึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก เขาทั้งสองจึงอยากจะมอบของขวัญให้แก่กันและกัน

ฝ่ายชายอยากจะซื้อกล่องเก็บสายสร้อยที่มีเสียงดนตรีให้กับฝ่ายหญิง

ส่วนฝ่ายหญิงก็อยากจะซื้อกล่องทองเหลืองที่เก็บหีบเพลงปากให้กับฝ่ายชาย

แต่ก็ไม่มีเงินที่จะทำตามที่ตั้งใจ

ฝ่ายชายจึงเอาหีบเพลงปากที่เขารักมากไปขาย และนำเงินไปซื้อกล่องเก็บสายสร้อยที่มีเสียงดนตรี

ฝ่ายหญิงก็เช่นเดียวกัน เธอก็ได้นำสายสร้อยของเธอไปขาย ที่จะนำเงินไปซื้อกล่องทองเหลืองที่เก็บหีบเพลงปากให้กับฝ่ายชาย...

ในตอนเย็นของวันแห่งความรัก ทั้งสองต่างก็นำของขวัญมามอบให้กันและกัน เมื่อเปิดของขวัญออกมา และเห็นของขวัญแล้ว ดวงตาของเขาทั้งสองก็จ้องมองกันด้วยความเข้าใจในส่วนลึกของกันและกัน...

นิทานเรื่องนี้กำลังจะบอกให้ผู้ที่อ่านทราบว่า

"ความรักคือการให้...ไม่ใช่การเรียกร้อง"

ใคร ๆ ก็อยากมีความรัก...

ความรักดีไหม?...

ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดี

ถ้าความรักเป็นสิ่งที่ดี เพราะเหตุใดบางคนจึงมีความคิดที่อยากจะตัดความรัก?...

นั่นเพราะเขาไม่รู้จักความรัก และใช้ความรักอย่างไม่ถูกต้อง

ความรักคืออะไร?...

ในภาษากรีก มี 4 คำที่บรรยายถึงความรัก ซึ่งพอจะทำให้พวกเราทราบถึงว่าในชีวิตของมนุษย์เรานั้น มีความรักอยู่หลายประเภท และความรักแต่ละประเภทนั้น มนุษย์เราต้องใช้ให้ถูกต้อง

1. เอโรส

เป็นความรักที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง อยากเป็นเจ้าของครอบครอง และเรียกร้องให้คนที่เรารักตอบสนองต่อเรา ไม่ใช่ทางจิตใจ แต่เป็นทางร่างกาย คนกรีกจะกำหนดคำนี้ให้ใช้กับ "ความรักที่มีขีดจำกัดเฉพาะความใคร่เท่านั้น" ซึ่งพวกเขาจะใช้คำนี้ในการบรรยายถึงความรักที่ผิด ๆ ของหนุ่มสาว นั่นก็คือ การเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนองต่อความต้องการหรือความพอใจทางร่างกายของตัวเอง หรือการมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นเครื่องมือในการปลดปล่อยทางเพศ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก ๆ

2. สเตอร์เก

เป็นความรักที่ไม่ต้องสร้าง แต่มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ จะผูกพันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการมีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่ถึงจะมากจะน้อย ก็ยังมีความผูกพันลึกซึ้งกันอยู่ ความรักเช่นนี้ อบอุ่น ตัดไม่ขาด และไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ความรักแบบนี้เป็นความรักของ พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ญาติ ที่มีต่อกัน

3. ฟีเลน

ความรักประเภทนี้ คนกรีกบอกว่าเป็นเหมือนเมล็ดพืชที่สองคนช่วยกันปลูก และช่วยกันดูแล รดน้ำ ป้องกันสิ่งที่มารบกวน จนกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตขึ้นมา ความรักประเภทนี้ เมื่ออยู่ด้วยกันไปไม่นาน เราก็จะกล้าพูดกันแบบตรงไปตรงมา เราก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวจริงของเราเองให้อีกฝ่าย ไม่ปกปิดกันและกัน อย่างนี้เขาเรียกว่าความรักแบบสามีภรรยา เพื่อนสนิท ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า สามี ภรรยา มักจะมีการทะเลาะ ขัดแย้งกันอยู่เสมอ เมื่อสามีปฏิบัติต่อภรรยา หรือ ภรรยาปฏิบัติต่อสามี ก็แตกต่างกับพวกเขาปฏิบัติกับคนอื่น พวกเขาอาจจะพูดอย่างสุภาพกับคนอื่น แต่สำหรับคู่หรือเพื่อนสนิทของเขาแล้ว เขาก็อาจจะไม่สุภาพเหมือนกับที่เขาพูดคุยกับคนอื่น นั่นเป็นเพราะว่า สำหรับคนที่เราสนิทแล้ว เราจะกล้าเปิดเผยตัวจริงให้แก่กันและกัน

4. อากาเป้

ความรักประเภทนี้ คนกรีกเรียกว่า "รักบริสุทธิ์ รักที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีทางที่มนุษย์จะสร้างได้ หาได้ แต่ต้องมาจากเบื้องบน ผู้ที่เป็นเจ้าของมนุษย์เท่านั้น" คนกรีกยังมีความคิดอีกว่า ความรักประเภทนี้เป็นความรักในโลกแห่งความฝันที่อยู่เฉพาะในความคิดของมนุษย์เท่านั้น ไม่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีความรักเช่นนี้ได้ ผู้ที่มีความรักเช่นนี้จะต้องรักแบบไม่มีข้อแม้ ยอมได้แม้ชีวิต เพื่อคนที่เขารัก เป็นความรักที่ไม่มีการทำลายความรู้สึกของฝ่ายตรงกันข้าม เป็นความรักที่ทำให้ผู้ที่รับความรักจากเขากล้าวางใจ และบอกถึงความในใจทุกอย่างแก่เขา ความรักเช่นนี้ไม่มีการเห็นแก่ตัว แต่ให้คนที่เขารักได้ในสิ่งที่ดีเท่ากับเขา ความรักเช่นนี้เป็นความรักที่พร้อมจะให้อภัยในสิ่งที่เราได้ทำผิดพลั้งลงไป

สำหรับมนุษย์เราทุกคนแล้ว เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มนุษย์เราล้วนแต่ต้องการความรักที่บริสุทธิ์และแท้จริงนี้กันทุกคน

เพราะอะไรมนุษย์เราจึงมีความกระหาย และมีความต้องการในการแสวงหาความรักเช่นนี้?...

นั่นก็เพราะว่า ความรักในโลกของเรานี้มีขีดจำกัด ความรักของมนุษย์เราล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และมักจะทำให้เราผิดหวัง ความรักในโลกนี้ไม่สามารถที่จะตอบสนองต่อความต้องการในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์เราได้เลย

ขณะที่มนุษย์เรากำลังแสวงหาความรักเช่นนี้ ซึ่งเราทราบแล้วว่าไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ แต่ต้องมาจากเบื้องบนเท่านั้น นั่นก็คือ มาจากพระเจ้าผู้ที่ทรงสร้างมนุษย์เรานั่นเอง...

พระองค์ทรงทราบดีว่า มนุษย์เราต้องการความรักที่บริสุทธิ์ที่แท้จริงนี้ ดังนั้นเมื่อราว 2000 ปีที่แล้ว พระองค์จึงได้ทรงส่งชายคนหนึ่งเข้ามาในโลก เพื่อให้ชายคนนี้ได้สำแดงความรักที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง และมาเพื่อตอบสนองความกระหายในความรักเช่นนี้ของมนุษย์

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ท่านผู้ที่ไม่เคนทำผิดใด ๆ ในปากของท่านไม่มีคำหลอกลวงและมุสา

ท่านถูกด่าก็ไม่ด่าตอบ ท่านถูกทำร้าย แต่ท่านไม่ได้พูดข่มขู่ ท่ากลับถูกจับตรึงที่ไม้กางเขนเพื่อให้มนุษย์ได้รับการชำระจากความบาป และกลับกลายเป็นคนใหม่

พระนามของท่าน คือ "เยซู"

พระองค์ทรงรักท่าน เสียสละเพื่อท่าน...เสียงเอะอะวุ่นวายของประชาชน ความดุดันของฝูงชน ทหารได้เอาตะปูแหลมยาวสามดอกตอกแรง ๆ ไปที่ฝ่ามือและเท้าของพระองค์ เลือดแดง ๆ ได้ไหลออกมา...เพื่อชำระความผิดบาปของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง...

มีคนถามพระองค์ว่า

"พระเยซูเจ้าข้า เพราะเหตุไรพระองค์จึงมาตายเพื่อข้าพระองค์?"

พระเยซูตอบว่า

"เลือดของเราไหลออกก็เพื่อท่าน ชีวิตของเราเทออกก็เพื่อท่าน ทั้งหมดก็เพราะเรารักท่าน"

มีคนถามพระองค์อีกว่า

"พระเยซูเจ้าข้า พระองค์รักข้าพระองค์จริง ๆ หรือ?"

พระเยซูตอบว่า

"ดูที่มือสองข้างของเราสิ"

ท่านผู้อ่านที่รัก นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ มีคนนับหลายร้อยหลายพันล้านคนทั่วโลกที่ได้รับและได้สัมผัสกับความรักขององค์พระเยซูคริสต์ ต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า พระองค์ทรงเป็นและทรงมีความรักที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง ที่มนุษย์เราทุกคนทั่วโลกต่างต้องการนั่นเอง เป็นความรักที่อัศจรรย์ เป็นความรักที่เห็นคุณค่าของเรา เข้าใจความรู้สึกส่วนลึกในใจของเรา พระองค์ทรงรักเราแบบไม่มีข้อแม้ ไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ปฏิเสธเรา ถึงแม้เราจะเป็นเช่นไร พระองค์ก็ยังทรงรัก และยอมมอบชีวิตเพื่อรับโทษบาปแทนเรา พระองค์ทรงปรารถนาให้เราได้รับสิ่งดีจากพระองค์ นอกจากนั้นความรักที่พระองค์ทรงมอบให้แก่มนุษย์เรานั้น ยังเป็นความรักที่สร้างชีวิตของเราขึ้นมาใหม่ ให้กำลังใจ และนำทางแก่มนุษย์เราในการเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต...

อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์