พระเจ้าในทรรศนะของคริสตชน

ถ้าพระเจ้ามีจริง ถามที่น่าถามต่อไป คือ "พระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร ?" เพราะเพียงการยกเหตุผลหรืออ้างหลักฐานมายืนยันว่ามีพระเจ้าอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ อย่างน้อยที่สุดยังไม่ได้บอกเราว่าพระองค์คือใคร เพราะถ้าหากพระองค์ที่มีลักษณะเหมือนจอมเผด็จการผู้เหี้ยมโหดที่ไร้คุณธรรมแบบฮิตเลอร์ เราก็คงไม่ต้องการพระองค์แน่ ยิ่งกว่านั้น ใคร ๆ ต่างก็พูดหรือบรรยายพระเจ้าในลักษณะต่างกันไป แล้วพระเจ้าของใครถูกกันแน่ ฉะนั้น จึงใคร่ขอเชิญท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณของท่านศึกษาถึงพระเจ้าในทรรศนะของคริสตชนต่อไป

ท่านผู้อ่านหลายท่านคงคุ้นเคยกับนิทานเรื่องหนึ่ง ที่พูดถึงคนตาบอด 4 คน พยายามคลำดูว่าช้างมีลักษณะอย่างไร คนหนึ่งไปคลำถูกลำตัวของช้าง คนต่อมาคลำถูกงาช้าง คนถัดมาอีกจับถูกงวงช้าง และคนสุดท้ายไปเจาะเอาหางช้าง แล้วต่างกลับมารายงานลักษณะของช้างตามทรรศนะของตน ท่านผู้อ่านก็คงทราบว่าไม่มีคนตาบอดคนใดสามารถบรรยายลักษณะของช้างได้ถูกต้องสมบูรณ์ เพราะแต่ละคนต่างคิดว่าช้างคือส่วนที่เขาได้คลำถูกเพียงส่วนเดียว

นิทานเรื่องนี้พอจะยกมาเปรียบเทียบถึงความพยายามของมนุษย์ทุกยุคสมัยเมื่อจะคลำหาพระเจ้า แต่ผลที่ออกมา คือ ภาพพจน์ของพระเจ้าที่ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ เพราะถ้าจะใช้สติปัญญาอันจำกัดของมนุษย์มาช่วยกันคิดสร้างจินตนาการว่าพระเจ้ามีลักษณะอย่างไรแล้ว ต่างคนต่างก็ย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันไป โดยเหตุนี้ มนุษย์จึงเคารพบูชาตั้งแต่แม่น้ำ ลำธาร ภูเขา ต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และเลยเถิดไปสู่รูปปั้นรูปเคารพที่หลายคนสร้างขึ้นเพื่อกราบไหว้

แต่ความนึกคิดเรื่องพระเจ้าของคริสตชนผิดกับความนึกคิดของศาสนาเกือบทุกศาสนาในโลก เพราะจุดเริ่มต้นแห่งความรู้เรื่องพระเจ้าของคริสตชนไม่ได้มาจากหลักปรัชญาหรือความนึกคิดของมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาเดียวที่บอกเสียงดังฟังชัดให้มนุษย์ทุกคนทราบว่า มนุษย์จนปัญญาที่จะเอื้อมไปสู่พระเจ้าโดยความสามารถของตนเอง มีแต่พระเจ้าเป็นฝ่ายเข้าหามนุษย์ และเปิดเผยพระองค์เองให้มนุษย์ทราบถึงความจริงเกี่ยวกับพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะรู้จักความจริงที่แน่ชัดว่าพระองค์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร

หรือถ้าจะมองลึกเข้าไปอีก การเปิดเผยของพระเจ้าเกี่ยวกับพระองค์เอง เป็นเรื่องของเหตุและผลที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ เพราะถ้าพระเจ้าสร้างมนุษย์จริงก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่พระเจ้าต้องติดต่อกับมนุษย์ในลักษณะที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะโดยผ่านทางธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้าง ผ่านประวัติศาสตร์ชนชาติยิว ผ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และในที่สุดโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

พระลักษณะของพระเจ้าโดยสรุป

พระเจ้าของคริสตชนไม่ใช่สิ่งสมมุติที่มนุษย์ตั้งขึ้นเพื่ออธิบายหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่อาจเข้าใจได้ ไม่ใช่พลังหรือแม้กระทั่งอำนาจลึกลับที่เรียกกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะสิ่งดังกล่าวไม่มีบุคลิกลักษณะ แต่พระเจ้าของคริสตชนมีบุคลิกลักษณะประจำตัว ดังนี้

1. พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ

พระองค์ไม่ใช่สิ่งใด ๆ ที่เป็นวัตถุหรือมีรูปพรรณสัณฐานที่สัมผัสได้ด้วยประสาททั้งห้า สังเกตว่ามีข้อหนึ่งในบัญญัติสิบประการซึ่งพระเจ้ากำชับว่า

"อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน" (อพยพ 20:4)

ในพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งก็บันทึกว่า

"พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้" (กิจการ 17:24)

เมื่อพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ พระองค์จึงไม่ได้ถูกจำกัดโดยเวลาหรือสถานที่เหมือนสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหลาย พระองค์ทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะภายในจิตใจของผู้เชื่อในพระองค์ทุกคน ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถนมัสการพระเจ้าที่ไหน เมื่อไรก็ได้ เราสามารถร้องทูลขอต่อพระองค์ได้ทุกสถานที่

พระเจ้ากล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า

"พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (ยอห์น 4:24)

2. พระเจ้าเป็นความรัก

"ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก" (1ยอห์น 4:8)

พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงรักเราเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของความรักที่บริสุทธิ์ เราสังเกตว่าความรักของมนุษย์ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือสูงส่งแค่ไหน ก็ยังแฝงด้วยความเห็นแก่ตัวและเงื่อนไขนานาชนิด

แต่ความรักของพระเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากเงื่อนไขใด พระเจ้ารักทุกคนไม่ว่าเขาจะน่ารักหรือไม่น่ารัก ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว ไม่ว่าเขาจะเป็นคนผิวใดเชื้อชาติใด และไม่ว่าเขาจะมั่งมีหรือยากจน มีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา พระองค์ทรงรักเท่าเทียมกันหมด

เหตุฉะนั้น ทุกคนที่ยอมถ่อมใจนมัสการพระองค์ จะเข้าใกล้พระองค์ด้วยความรู้สึกที่มั่นใจและอบอุ่นใจในความรักความเข้าใจของพระองค์ ความสัมพันธ์ของคริสตชนต่อพระเจ้า คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรกับบิดา

"แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า" (ยอห์น 1:12)

เราจึงนมัสการพระเจ้าด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความกลัว ไม่ใช่ความหลงงมงาย เหตุที่เรารักเพราะเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ประทานทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของเรา ที่คุ้มครองรักษาและช่วยเหลือให้พ้นจากบาป

3. พระเจ้าเป็นองค์บริสุทธิ์ พระองค์รักษาให้มีความชอบธรรมสูงสุด

"15 แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ

16 ดังที่มีพระวจนะเขียนไว้แล้วว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์" (1เปโตร 1:15-16)

พระองค์ทรงบริสุทธิ์สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในพระองค์จะไม่มีความผิดบาปหรือความด่างพร้อยใด ๆ โดยเหตุนี้ พระองค์ไม่ส่งเสริมสิ่งใด ๆ ซึ่งขัดแย้งต่อพระลักษณะของพระองค์ โดยเฉพาะสิ่งซึ่งมนุษย์ทั่วไปชอบหวังกัน เป็นต้นว่า หวยเบอร์ โชคลาภ ทางผิด ๆ หรืออำนาจความลึกลับใด ๆ ที่เป็นภัยต่อคนอื่น ฯลฯ

และเป็นเพราะความบริสุทธิ์ควบคู่กับความชอบธรรมของพระเจ้านี่เอง ที่ทำให้พระองค์ต้องเกลียดชังความบาปและลงโทษความบาป แม้ความบาปที่มนุษย์คิดว่าขี้ประติ๋วเต็มทีก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่พระคัมภีร์กล่าวว่า

"เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)

"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา" (โรม 6:23)

4. พระเจ้าเป็นอยู่นิรันดร์

พระองค์ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระเจ้าตรัสว่า

"พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า 'เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น' " (อพยพ 3:14)

คือไม่มีใครสร้างพระองค์ขึ้นมา หลายท่านเคยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า "ถ้าพระเจ้าทรงสร้างสิ่งสารพัดแล้ว ใครสร้างพระเจ้า ?" ซึ่งผู้ถามเองลืมคิดไปว่า ถ้าเราพูดถึงการสร้าง หรือใครสร้างเมื่อไร เรากำลังเกี่ยวโยงสิ่งที่เราพูดนั้นเข้ากับ เวลา และ สถานที่ ทันที แต่พระเจ้าที่คริสตชนพูดถึงนี้ทรงอยู่นิรันดร์ คือ อยู่นอกเหนือสิ่งที่เรียกว่าเวลา สถานที่ ยิ่งกว่านั้น เราทุกคนน่าจะเข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ามีผู้สร้างจริง ผู้ที่ถูกสร้างก็ไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่ ๆ ฉะนั้น พระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง พระองค์ทรงเป็นอยู่ตั้งแต่ต้น ทรงเป็นอยู่ในปัจจุบัน และทรงเป็นอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะพระองค์เป็นอยู่นิรันดร์

5. พระเจ้ามีฤทธานุภาพไม่จำกัด

"แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดุจเสียงฝูงชนเป็นอันมาก ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่นว่า

'อาเลลูยา เพราะว่าพระเจ้าของเรา ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดทรงครอบครองอยู่' " (วิวรณ์ 19:6)

"19 และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์

20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน" (เอเฟซัส 1:19-20)

คือไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระองค์ทรงกระทำไม่ได้ พระองค์ทรงมีอิทธิฤทธิ์เหนือทุกสิ่ง และทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (องค์สัพพัญญู) พระองค์จึงสามารถช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ด้วยความถ่อมใจ

6. พระเจ้าเป็นความจริง

"ผู้ที่รับคำพยานของพระองค์ก็ประทับตราลงว่า พระเจ้าทรงสัตย์จริง" (ยอห์น 3:33)

"ข้าพระองค์มอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ใน พระหัตถ์ของพระองค์

ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าสัตย์จริง พระองค์ทรงไถ่ข้าพระองค์แล้ว" (สดุดี 31:5)

พระองค์ทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง พระคำของพระองค์เป็นสัจจะที่ไม่เปลี่ยนแปลง และพระราชกิจของพระองค์ก็เป็นความจริงที่สอดคล้องกับพระดำรัสของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่แท้จริง

"และเราทั้งหลายรู้ว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และได้ทรงประทานสติปัญญาให้เรา เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้าแท้ และเราอยู่ในพระเจ้าแท้นั้นโดยอยู่ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้และเป็นชีวิตนิรันดร์" (1ยอห์น 5:20)

ความจริงจึงเป็นพระลักษณะอีกอย่างหนึ่งของพระเจ้า

พระลักษณะของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

การสำแดงที่ชัดเจนและยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า คือ การสำแดงผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ดังคำตรัสในพระกิตติคุณยอห์นว่า

"พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา" (ยอห์น 1:14)

เหตุการณ์เกี่ยวกับพระองค์ได้ถูกบันทึกไว้ทั้งในประวัติศาสตร์สากลและประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงพระลักษณะของพระเจ้าอย่างชัดเจน พระองค์ทรงตรัสว่าบุคคลที่เห็นพระองค์ก็เท่ากับเห็นพระเจ้า บุคคลที่เชื่อพระองค์ก็เชื่อพระเจ้า บุคคลที่เกลียดชังพระองค์ก็เกลียดชังพระเจ้า และพระองค์กับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ถ้าท่านมีโอกาสศึกษาดูชีวิต คำพูด ตลอดจนการกระทำของพระองค์แม้เพียงผิวเผิน ท่านจะพบว่าพระองค์มีลักษณะพิเศษในตัวที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน พระองค์เสด็จมาในมาดใหญ่อย่างชนิดที่ใครก็ตามเมื่อได้ยินได้ฟังคำตรัสและคำอ้างของพระองค์แล้ว จะต้องเลือกตัดสินว่า แท้จริงแล้วพระองค์ตรัสความจริงหรือความเท็จเกี่ยวกับพระองค์กันแน่ เหตุผลเพราะพระองค์ทรงเน้นให้ทุกคนที่ฟังพระองค์มอบความศรัทธาไว้กับพระองค์มากกว่าคำสอนของพระองค์ พระองค์ทรงเน้นชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้ แทนที่จะเป็นความพยายามส่วนบุคคลที่จะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น

คำสอนของพระองค์แตกต่างจากคำสอนของคนทั่วไปอย่างมาก ขณะที่คนอื่น ๆ สอนว่า "นี่แน่ะ เจ้าจงเดินทางนี้ แล้วเจ้าจะพบกับชีวิต" แต่พระองค์กลับตรัสว่า

"พระเยซูตรัสกับเขาว่า 'เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา' " (ยอห์น 14:6)

ขณะที่คนอื่นบอกว่า "นี่แน่ะจงปฏิบัติตามหนทางนี้แล้วท่านจะพบกับพระเจ้า" แต่พระเยซูคริสต์กลับตรัสว่า "เราคือพระเจ้า"

ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ทรงสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ ทรงกระทำการอัศจรรย์นานัปการ ทรงตรัสคำอมตะที่มีอิทธิพลต่อคนทั่วโลก และในที่สุดพระองค์ได้ทรงยอมวายพระชนม์เพื่อความผิดบาปของมนุษย์บนไม้กางเขน และในวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงพระชนม์อยู่เป้นนิตย์ และทรงสัญญาว่า จะเสด็จกลับมาอีกในฐานะจอมกษัตริย์แห่งกษัตริย์ในวาระสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์โลก

ครับ พระเยซูคริสต์คือพระเจ้าที่จุติในร่างมนุษย์ เพื่อสำแดงพระลักษณะของพระองค์ (ขอแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง "เยซูคือใคร")

สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
จากหนังสือ เรื่อง พระเจ้ายุคอวกาศ
สำนักพิมพ์ กนกบรรณสาร

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com