คำพยานชีวิตของ ภญ. สิริวรรณ ภัคปกรณ์

สวัสดีค

ข้าพเจ้าชื่อ สิริวรรณ ภัคปกรณ์ ชื่อเล่น เป้ ข้าพเจ้าเติบโตมากับครอบครัวฝ่ายแม่ ถึงแม้จะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อและแม่ 100% เหมือนครอบครัวคนอื่นเขา แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขาดความอบอุ่น แต่กลับค่อนข้างจะอบอุ่นจนร้อนผ่าวด้วยซ้ำ เพราะถูกเลี้ยงโดย อากง อาม่า ป้าหนึ่งคน น้าสองคน และก็แม่ พวกท่านรักและเป็นห่วงข้าพเจ้าและน้องอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้จักคำว่ารัก แต่ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าทำตัวเหลวแหลกแต่ประการใด ข้าพเจ้าค่อนข้างเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ตั้งใจเรียนหนังสือ (เข้าข่ายตั้งใจเรียนเกินจนไม่สนใจคนรอบข้าง) แต่ทำไปเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ ไม่ได้ทำไปด้วยความรัก

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาเชื่อพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนที่เครียด คิดมาก และรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา เมื่อข้าพเจ้าไปหาหมอดู เขาก็บอกว่าในอนาคตข้าพเจ้าจะเป็นคนเครียด (อันนี้ข้าพเจ้าก็ดูเองได้ และยิ่งหมอดูมายืนยันเช่นนี้ ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเครียดเข้าไปใหญ่) เขาก็แนะนำให้ข้าพเจ้าพยายามอย่าเครียด (ข้าพเจ้าว่า ประโยคนี้หลายคนคงเห็นด้วยว่ามันเป็นอะไรที่พูดง่ายแต่ทำยาก และข้าพเจ้าก็ทำไม่ได้) และให้ไปฝึกสมาธิ ข้าพเจ้าก็ลองทำตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ข้าพเจ้าก็จะรู้สึกสงบและเจอสันติสุข รู้สึกจิตใจผ่อนคลาย แต่เมื่อข้าพเจ้าต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง กลับมาเจอปัญหาเดิมๆ คนเดิมๆ หน้าที่เดิมๆ ข้าพเจ้าก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก และข้าพเจ้าก็มั่นใจว่า ครอบครัวคงไม่พอใจแน่ ถ้าข้าพเจ้าจะลาออกจากโรงเรียนเพื่อมานั่งสมาธิอยู่ตลอด

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อมาเสมอ ไม่ว่าตอนที่นับถือสิ่งใดก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าสวรรค์ กับนรกมีจริง (สองสิ่งนี้น่าจะมีพูดถึงในทุกศาสนา) จากที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วนั่นคือ ข้าพเจ้าไม่อยากเกิดใหม่ ข้าพเจ้าอยากไปสวรรค์และอยู่ที่นั่นตลอดไปหลังจากที่ข้าพเจ้าตายไป แค่หนทางไหนละที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด

จนกระทั่งวันหนึ่ง น้าของข้าพเจ้าได้พูดเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าให้ข้าพเจ้าฟัง ตอนแรกข้าพเจ้ารู้สึกต่อต้าน เพราะคิดมาเสมอว่าศาสนาคริสต์งมงาย (จะว่าไปแล้วข้าพเจ้าคิดว่าศาสนาที่เป็นเทวนิยม ซึ่งก็คือ ศาสนาที่เชื่อในเรื่องพระเจ้า เป็นศาสนาที่งมงาย แต่จะรู้สึกเป็นพิเศษและแรงกล้ามากกับศาสนาคริสต์) สิ่งที่จับประเด็นได้จากที่เคยเรียนในวิชาสังคมศาตร์ก็คือ ศาสนาคริสต์จะเน้นเรื่องความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และเน้นการรักเพื่อนบ้าน ซึ่งมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าศานาคริสต์นี่ยิ่งไร้สาระเข้าไปใหญ่ กล่าวคือ มันดูไม่ขลังเอาซะเลย คือไม่ได้คิดว่าเรื่องความรักนี้ มันจะทำให้เราหลุดพ้น หรือไปสวรรค์ได้อย่างไร แล้วกับเรื่องแค่ความรักจะมีผลอย่างไรกับการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้า

แม้กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้ลองอ่านหนังสือที่น้าของข้าพเจ้านำมาให้ แต่ที่อ่านก็เพื่อพยายามหาข้อโต้แย้งและหาเรื่องมาเถียงอยู่เสมอ ข้าพเจ้าอ่านด้วยวิธีสัจนิรันดร์ คือถือเอาว่าหนังสือนี้เป็นเท็จ และประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าพเจ้าคือ เรื่องการสร้างโลกและสรรพสิ่งของพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าคิดเสมอมาว่าเป็นเรื่องแต่ง แต่ยิ่งข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเหล่านั้น คำตอบที่ได้ก็ค้านกับจิตใจของข้าพเจ้าอย่างสิ้นเชิง (ที่อยากให้เรื่องนี้เป็นเท็จ) สุดท้ายข้าพเจ้าก็ยอมรับว่านี่เป็นเรื่องจริง พร้อมกับได้พบว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงหนังสือที่มนุษย์นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเอง แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง

ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้ต้อนรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต และได้รับเชื่อเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2004

หลังจากที่ข้าพเจ้ารับเชื่อ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือสันติสุขและความรักจากพระเจ้า ความรู้สึกนี้อบอุ่นมาก เป็นความรู้สึกเหมือนว่าเราได้กลับบ้าน หลังจากรอนแรมมานานแสนนาน ซึ่งทำให้การมองโลกของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมาก (ในทางบวก) ข้าพเจ้ารู้สึกรักคนที่เราเคยมองข้าม ใส่ใจคนที่ไม่เคยเหลียวแล คิดถึงคนอื่นมากขึ้นและไม่คิดวิตกกังวลมากอย่างแต่ก่อน

ข้อพระคัมภีร์หนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบมากและช่วยให้ทุกวันนี้ข้าพเจ้าไม่เป็นคนที่ขี้วิตกกังวลอีกต่อไปก็คือ

"เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยว กับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารและร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ?
จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ?
เพราะ ฉะนั้นอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวล เกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว"
(มัทธิว 6:25,26,34 TNCV)

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านพระคัมภีร์มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่าความดีเป็นสิ่งที่พระเจ้าคาดหวังว่ามนุษย์ทุกคนควรจะทำ แต่ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่และไม่ใช่หนทางสู่การรอดพ้นจากกรรม เพราะด้วยกำลังมนุษย์เองมันยากนักที่จะทำได้ แต่มีทางเดียวเท่านั้นคือทางพระเยซู ผู้ที่แม้แต่ความตายยังไม่สามารถเอาชนะท่านได้

ท่านอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่หากมีคนหนึ่งที่ความตายยังเอาชนะเขาไม่ได้ แสดงว่าเขาก็เอาชนะความบาปได้เช่นกัน (ยกบาปกรรมเวรได้)

จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนัก แต่พระเจ้าก็สอนข้าพเจ้าผ่านหนังเรื่องหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ตอนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ คือ นางเอกกำลังขับรถพาลูกหนีสิ่งชั่วร้ายมา ลูกนอนอยู่เบาะหลัง แม่จอดรถอยู่แล้วหันมามองหน้าลูกพร้อมกับพูดว่า "ถ้าสิ่งต่างๆที่ไม่ดีมาตก กับแม่ให้หมดก็คงจะดีสินะ ขอเพียงแค่ให้ลูกรอด ปลอดภัยพอ" ตอนนั้นข้าพเจ้าเกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่าสิ่งที่พระเยซูมาทำก็เหมือนแม่คนนี้นี่เอง ถึงแม้ในตอนแรกๆข้าพเจ้าจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากแต่ที่ ข้าพเจ้ารู้แน่คือรู้สึกสบายใจที่ได้เป็นลูกพระเจ้า สามารถพูดคุยเหมือนลูกคุยกับพ่อ เพื่อนคุยกับเพื่อน ปรึกษาได้ทุกเรื่องอย่างอุ่นใจและสามารถเชื่อถือ ไว้ใจได้จริงๆ

ผู้อ่านที่รักคะ ลองคิดดูสิคะว่า ถ้าพระเจ้าสร้างเรามา พระเจ้าก็ต้องรู้จักเราเป็นอย่างดี (ก็พระองค์สร้างเรามานี่คะ) งั้นก็ต้องรู้จักข้อดี ข้อด้อยของเรา รู้ว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ เรากำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ และประกอบกับพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นพระองค์ก็น่าจะหาทางช่วยเหลือเราได้ ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทำไม่ได้ เมื่อข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็อุ่นใจ ถ้าพระองค์สร้างเรามาพระองค์ก็เหมือนพ่อของเรา พ่อก็คงจะมอบสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าจึงไม่กลัวและวิตกกังวลในเรื่องอนาคตอีกต่อไป เพราะข้าพเจ้าฝากอนาคตไว้ให้กับผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดในจักรวาล นั่น คือ พระเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอดู เพื่อหยั่งรู้อนาคตอีกต่อไป

ภญ. สิริวรรณ ภัคปกรณ์ (เป้)

  • ถ้าท่านอ่านแล้ว มีความปรารถนาที่จะเชิญพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของท่าน และเป็นพระเจ้าของท่าน กรุณาไปที่หน้า คำอธิษฐาน

  • ถ้าท่านอ่านแล้วสนใจ กรุณาติดต่อคริสตจักรใกล้บ้าน หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอีเมลสอบถามได้ที่ ton@followhissteps.com