|
R12ในที่นี้ ย่อมาจาก "Romans 12" หรือ พระธรรมโรม บทที่ 12 นั่นเอง ในพระธรรมโรม อาจารย์เปาโลได้เขียนถึงหลักข้อเชื่อสำคัญของคริสเตียน ท่านเขียนเป็นระบบ โดยเริ่มจากบทที่ 1-3 เป็นการกล่าวถึงว่า เราทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีใครชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า, บทที่ 4-6 พระเจ้ามีแผนการถึงความรอดของมนุษย์โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์, บทที่ 7-8 เป็นหลักการปฏิบัติ, บทที่ 10-11 กล่าวถึงแผนการสำหรับชาวยิว และในโรมบทที่ 12 อาจารย์เปาโลเรียกร้องให้เรารับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ต้องการให้ชีวิตของเราเป็น (God's Dream for Your Life) คือชีวิตที่มีลักษณะ 5 "S" ได้แก่
I. Surrender to God
ขั้นตอนแรก อาจารย์เปาโลเรียกร้องให้เราถวายชีวิตให้แก่พระเจ้า อยากให้เราถามตัวเองว่า ตลอดเวลาที่เราเป็นคริสเตียน ชีวิตเราเป็นอย่างไร? และเราได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรามากที่สุด คือ ตัวของเราเอง ไม่ใช่สิ่งของของเรา ไม่ใช่สิ่งอื่นใดทั้งสิ้น จากโรม บทที่ 1-9 อาจารย์เปาโลได้แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระเจ้า คำว่า "พระเจ้า" คือคนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต และสิ่งที่เราจะต้องตอบสนองต่อพระองค์ก็คือ "Total Commitment" ในงานแต่งงาน ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ต่างฝ่ายก็ต่างมี total commitment ต่อกัน ก็คือ แต่ละฝ่าย จะมีอีกฝ่ายหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกัน ชีวิตของเราก็จะต้องทำ total commitment กับพระเจ้า ชีวิตของเราได้ทำ total commitment กับพระเจ้าหรือยัง? เราได้จะมอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้าทั้งหมดแล้วหรือยัง? การทำ total commitment เป็นการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ความสามารถ กำลัง สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต มอบแด่พระเจ้า ยอมที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ที่จะเป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า คำว่า "surrender" ในทางการงานทั่วไป แต่ละคนจะไม่ค่อยชอบ เพราะว่าจะรู้สึกว่าเป็นผู้ที่เสียเปรียบ แต่พระเจ้าได้ทรงเรียกร้องให้เรายอมจำนนต่อพระเจ้า การที่เรายอมให้กับพระเจ้า ก็คือ ยอมให้พระเจ้าทรงใช้เรา เพื่อที่เราจะพูดได้เต็มปากว่า นี่แหละเป็นแผนการของพระเจ้า ถ้าเรามีความรู้ รู้ว่าสิ่งใดที่ดี เราก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อจะได้สิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกัน พระคำของพระองค์เป็นจริง เราทุ่มสุดตัวรึไม่ เพื่อที่เราจะได้ตามพระสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงประทานแก่เราตามพระคัมภีร์? มุมมองของคำว่า total commitment เราสามารถมองได้ทั้งสองด้าน คือ ด้านบวกและด้านลบ
เรามีมุมมองเกี่ยวกับ total commitment ที่เรามีให้แก่พระเจ้าอย่างไร? พระเยซูคริสต์ทรงยอมตามเพื่อไถ่บาปของเรา เราสมควรได้รับโทษ แต่พระเจ้าทรงยอมรับโทษแทนเรา เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงจ่ายหนี้แทนเราเรียบร้อยแล้ว แล้วพระองค์ทรงประทานเงินในธนาคารให้แก่เรา ขอที่เราจะเบิกออกมาใช้ นั่นคือ การที่เราจะขอพระเจ้า การที่เราจะใช้ของพระทานต่าง ๆ พระเจ้าทรงประทานแก่เราแล้ว เพียงแค่เราจะนำสิ่งเหล่านั้นออกมาใช้ ถ้าเราไม่ให้ทั้งหมดในชีวิตของเราให้แก่พระเจ้า เราก็จะไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากเราให้พระเจ้าทั้งหมด เชื่อในพระเจ้าของเรา เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงดูแล แล้วเราจะได้เห็นถึงการดูแลของพระเจ้า เราจะได้รับการปลดปล่อย เราจะได้รับสันติสุขอย่างแท้จริง
พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงพร้อมที่จะให้ของดีแก่เราเสมอ พระองค์มิได้หวงสิ่งดีไว้เลย และพระเจ้าทรงรักเราจริง ๆ พระองค์สามารถให้ในสิ่งดีที่สุดสำหรับทุกคนได้
II. Separate from the World
ตามอย่างคนยุคนี้ พระเจ้าหมายถึงอะไร? ก็คือ การเห็นแก่ตัว แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่เราจะให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง คนอื่นเป็นที่สอง และตัวเราเป็นที่สาม อย่าให้โลกเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างโลก ถ้าเราไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกวัน เราจะโดนสังคมโลกเปลี่ยนชีวิตของเราให้เป็นแบบโลก เพราะโลกจะพยายามเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเราให้เป็นแบบโลก โลกให้ค่านิยมว่าจะต้องใช้ของที่มียี่ห้อ มีราคา ขับรถหรู ๆ ถือกระเป๋าสวย ๆ จึงจะได้รับการยอมรับ แต่ขอที่เราจะสวนกระแส ที่เราจะเป็นคนใหม่ สิ่งเหล่านี้เราทำด้วยตัวเองไม่ได้ จะต้องพึ่งพาพระเจ้า หลายคน รับเชื่อ แต่ไม่ยอมที่กระทำตาม โรม 12:2 นี้ การทดลองที่มีในสังคมโลกปัจจุบัน มีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ
พระเจ้าไม่อยากให้เรารักโลกนี้ เพราะว่า สิ่งของในโลกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน เป็นสิ่งที่ล่มสลายได้ เสื่อมสลายไปได้ ไม่ยั่งยืนถาวร แต่พระวจนะคำของพระเจ้ามั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สูญหาย และเมื่อชีวิตของเรามีพระวจนะคำของพระเจ้า ความรักในโลกของเราก็จะหายไป การได้รับการเปลี่ยนใหม่ หรือ Transformed เราจะต้องเปลี่ยนแปลง เราจะต้องแตกต่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะได้รับจากพระเจ้า โดยเริ่มจากการที่ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วพระองค์จะเปลี่ยนอุปนิสัย เปลี่ยนชีวิตของเราได้ เราจะต้องรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เพราะซึ่งนี่เป็นคำสั่ง คือ "จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ" เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ตลอดเวลา เราอยู่ใกล้สิ่งใด เราก็จะเป็นเหมือนสิ่งนั่นมากขึ้น พระเจ้าได้ทรงเรียกร้องให้เราเข้าใกล้พระองค์ เข้าใกล้พระวจนะคำของพระองค์ เพื่อที่จะมีชีวิตเหมือนพระองค์มากขึ้น แล้วชีวิตเราจะสำแดงพระเจ้า สิ่งที่อยากเน้นย้ำเสมอ ๆ คือ
สิ่งเหล่านี้จะทำได้อย่างไร? มีวิธีเดียว คือ โดยฤทธิ์เดชของพระวจนะคำของพระเจ้า ไม่มีทางลัด พระวจนะคำของพระเจ้าเป็นเหมือนดาบ ที่เราจะใช้ขับไล่มาร เราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และเพื่อเราจะทำตามที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราทำ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ พระวจนะคำของพระเจ้าจะบอกเรา ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุด พระเจ้าอยากให้เราพบพระองค์ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะได้รับอะไรเมื่อเราเข้าเฝ้าพระองค์ แต่ว่าเราจะขาดสิ่งที่ดีถ้าหากว่าเราไม่เข้าเฝ้าพระเจ้า
III. Sober in Self-assessment
สิ่งที่เราควรจะถามตัวเอง ก็คือ
เราทุกคนมีของประทานที่แตกต่างกัน ของประทานเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้แก่มนุษย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อัศจรรย์ ไม่ใช่กำลังของเรา แต่เป็นกำลังที่มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราจะต้องรับ และพัฒนาและใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตามของประทานที่พระเจ้าให้ เรากำลังจะทำงานของคนอื่น เพราะทุกคนมีของประทานของตัวเอง ขอที่เราจะรับใช้ตามของประทานที่เราได้รับ สิ่งที่อยากจะให้เข้าใจ ก็คือ
IV. Serve in Love
จากพระธรรมตอนนี้ ได้สอนเราว่าท่าทีในการรับใช้ของเราจะต้องเป็นอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนยาก ซึ่งถ้าหากเราใช้กำลังของเรา ก็จะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะเราจะกระทำด้วยกำลังของตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้า พึ่งพากำลังจากพระเจ้า สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ง่าย เรารับใช้พระเจ้า ถ้าหากเรารับใช้พระเจ้าแล้วได้คำชม ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าได้รับคำติ ก็ยิ่งดี เพราะว่าเราได้รับใช้พระเจ้า และการรับใช้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า ผู้อื่นจะรับหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราให้เต็มที่กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็ได้รับเกียรติ ความรักที่สมบูรณ์ คือ การที่เราจะให้สิ่งที่ผู้รับต้องการมากที่สุด แต่ผู้รับไม่สมควรที่จะได้รับ และเราจะต้องเสียสละสิ่งสำคัญของเราให้แก่เขา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของความรักเช่นนี้ พระองค์ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์ เพื่อประทานความรอดแก่เรา แม้ว่าเราจะไม่สมควรที่จะได้รับ ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ ในเวลาที่เราจะต้องทำ นี่แหละ ที่เรียกว่า "ความขี้เกียจ" สิ่งนี้เป็นบาปเช่นกัน มีเรื่องเล่าว่า อาของซาตาน สอนหลานซาตาน ถึงวิธีที่ขัดขวางผู้ที่สนใจ ไม่ให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า และก็ได้สอนถึงเคล็ดลับ วิธีที่จะทำให้ผู้สนใจ ออกจากทางของพระเจ้า ก็คือ การทำให้ชีวิตของเขาราบเรียบ แต่ว่าค่อย ๆ slope ลง นี่แหละ จะทำให้เขาไม่สนใจเรื่องพระเจ้า และในที่สุด ชีวิตของเขาก็จะตกต่ำ สิ่งนี้จะทำให้มนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้า
V. Supernaturally Respond to Evil
สิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะ "การรักศัตรู" เป็นสิ่งที่ยาก และแท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เราทำ พระเจ้าไม่อยากให้เราแก้แค้นผู้ที่ทำผิดต่อเรา เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราทำกลับไป มีโอกาสที่เราจะทำหนักกว่าที่เราถูกกระทำ เพราะเราไม่รู้ขอบเขต และเราก็จะเป็นเหมือนเขา ล่วงเกินเขา ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เราทำกลับเขาเกินกว่าที่เขาทำกับเรา นี่ก็จะเป็นสิ่งที่เราทำผิดต่อเขา นอกจากนี้ เราไม่มีทางรู้ทั้งหมดในชีวิตของเขา จึงขอที่เราจะไม่ตัดสินเขา การที่เราจะทำดีสนองการชั่ว ก็เพื่อที่จะเกิดโอกาสที่เขาจะกลับใจจากสิ่งที่เขาทำผิดนั้น เมื่อเราถูกกระทำ เมื่อมีผู้ที่ทำผิดต่อเรา วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ ปลีกตัวอยู่คนเดียว และพูดกับพระเจ้าผู้เดียว อย่าไปพูดกับใคร แล้วเราจะได้เห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าจริง ๆ
คำถาม 5 คำถามอยากจะให้เรามีโอกาสที่จะใคร่ครวญคำถามเหล่านี้ในชีวิตของเราเสมอ
มน. จรียา ทวีแสงสกุลไทย คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 26/04/2009 เรื่อง Becoming R12 Christian สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
หมายเหตุ: ถ้าพี่น้องพบว่ามีข้อความส่วนใดที่ผิดพลาด รบกวนช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ เพื่อจะได้รีบทำการแก้ไขครับ เนื่องจากอาจเกิดจากความผิดพลาดในการสรุปของผมเองครับ ขอบคุณครับ
|
ได้รับการสนับสนุน Web Hosting จาก SPAComputer.com, ThaWang.com |